ตอนพิเศษ 63 ค่ำคืนอันงดงาม พบหน้าลูกเขยเวิง (1)
“เอ่อ… ชิงสุ่ยเจินเหริน?”
ผู้พิพากษาชุยเคยพบชิงสุ่ยเจินเหรินมาก่อน แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่เคยพบเขา ด้วยเหตุนี้ครั้นผู้พิพากษาชุยเรียกขานนามของเขา ปฏิกิริยาแรกของเขาจึงเป็นการขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักข้า?”
ผู้พิพากษาชุยอยากบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าข้าไม่เพียงรู้จักเจ้า แต่ยังรู้จักบุตรสาวเจ้าด้วย เจ้านายของข้าคลุกคลีอยู่กับนางทุกวัน
ใต้เท้าเจ้าตำหนักส่งสายตาหาผู้พิพากษาชุยให้ระวังคำพูด ตับไตของผู้พิพากษาชุยสั่นระรัว ปรับสีหน้าให้เรียบร้อยแล้วคลี่ยิ้มบางๆ เหมือนเวลาอยู่ในหน้าที่ออกมา “เมื่อหนึ่งพันปีก่อน ในวันเกิดของยอดเซียน ข้าเคยโชคดีได้พบหน้าชิงสุ่ยเจินเหรินครั้งหนึ่ง ชิงสุ่ยเจินเหรินเป็นผู้สูงส่งมักมีเรื่องราวให้จำมาก น่าจะจำข้าไม่ได้แล้ว ข้าแซ่ชุย เป็นผู้พิพากษาของยมโลกแดนตะวันออก”
แดนยมโลกแบ่งออกเป็นแดนเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตกและแดนกลาง แต่ละแดนจะมีผู้พิพากษาประจำหนึ่งตำแหน่ง โดยมีผู้พิพากษาแดนตะวันออกเป็นหัวหน้าผู้พิพากษาทั้งห้า เมื่อครานั้นแดนยมโลกได้ส่งคนไปร่วมงานวันเกิดของยอดเซียนจริงๆ ผู้พิพากษาแดนตะวันออกมีโอกาสสูงที่จะได้อยู่ในรายชื่อผู้ร่วมงาน เพียงแต่ว่าบุคคลที่มีฐานะเช่นนี้ หากเคยได้พบหน้ากันจริงตนน่าจะต้องจำได้ถึงจะถูก
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองผู้พิพากษาชุยด้วยความสงสัยทีหนึ่ง ใจคิดอยากจะถามต่อแต่ก็กลัวว่าตนจะละลาบละล้วงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เห็นว่า ผู้พิพากษาแดนยมโลกไม่มีเหตุให้ต้องปั้นแต่งเรื่องโกหก
เขาเก็บความคิดที่ไม่จำเป็นกลับมา เอ่ยทักทายกับผู้พิพากษาชุยแล้วจึงหันไปเอ่ยกับบุรุษที่อยู่หลังโต๊ะหิน “ไม่ทราบว่าท่านคือเจ้าตำหนักชิงเฉิงใช่หรือไม่?”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักตอบอืมเสียงเรียบ เอ่ยอย่างไม่เร่งร้อนว่า “ไม่ทราบว่าท่านเจินเหรินจะมาที่นี่ อาจจะเสียมารยาทไปบ้าง เชิญท่านเจินเหรินนั่งก่อน”
ผู้พิพากษาชุยเห็นท่าทางเย่อหยิ่งของใต้เท้าตนก็รู้ว่าเขาวางมาดอีกแล้ว ระยะเวลาสองหมื่นปีไม่ได้ทำให้นิสัยชอบวางมาดของเขาดีขึ้นเลย ท่วงท่าเช่นนี้จะใช้กับใครก็ได้อย่างนั้นหรือ นี่เป็นถึงบิดาของมังกรน้อยเชียวนะ!
หลังจากนี้เจ้าลำบากแน่!
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ได้ร่ายเวทยามอยู่ต่อหน้าชิงสุ่ยเจินเหริน แต่แปลงให้เห็นเป็นรูปลักษณ์ของเจ้าตำหนักชิงเฉิงไปเลย “ไปชงชามาให้เจินเหรินที เอาเป็นชาปี้หลัวชุนชั้นดีนะ”
ผู้พิพากษาชุยกรอกตาบนใส่ใต้เท้าของตนแล้วจึงเดินเข้าห้องไปชงชามาให้ทั้งสอง
ชาของแดนยมโลกย่อมไม่ใช่ชาจริงๆ แต่เป็นปราณยมโลกที่ได้จากการเลี้ยงดูวิญญาณประเภทหนึ่ง ปราณยมโลกประเภทนี้ก็ใช่ว่าจะหาพบได้ทั่วไป โดยเฉพาะชา “ปี้หลัวชุน” ที่ใต้เท้าของเขาดื่ม นั่นจำเป็นต้องเป็นปราณยมโลกที่บริสุทธิ์ที่สุด บำรุงร่างกายดีที่สุด และมีสรรพคุณเป็นรองเพียงชาหุนหุ่ยเท่านั้น
ผู้พิพากษาชุยชง “ชา” กลับมา
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่สู้จะคุ้นชินกับการดื่มชาประเภทนี้ จึงไม่ได้ยกดื่มแต่เอ่ยเข้าประเด็นว่า “วันนี้ที่ข้ามาหาเจ้าตำหนักชิงเฉิงนั้น อันที่จริงแล้วเพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะถาม”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักถามเสียงเรียบเรื่อย “เจินเหรินอยากถามเรื่องดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของเมื่อปีนั้น?”
ชิงสุ่ยเจินเหรินคลี่ยิ้มเกรงใจ “เจ้าตำหนักช่างล่วงรู้ราวกับเซียน ไม่ทราบว่าเจ้าตำหนักพอจะรู้ร่องรอยของเขารึไม่”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักยกชาขึ้นจิบนิ่งๆ “ข้าย่อมรู้ เพียงแต่ว่าข้าไม่อาจเปิดเผยร่องรอยเขากับคนนอกได้ หวังว่าชิงสุ่ยเจินเหรินจะเข้าใจ”
ถึงอย่างไรชิงสุ่ยเจินเหรินก็มาเพื่อขอร้องอีกฝ่าย ท่าทางมารยาทจึงดีมาก ยิ่งไปกว่านั้นหากมองจากอีกมุมหนึ่งแล้ว ประสบการณ์ของเจ้าตำหนักชิงเฉิงไม่ต่างกับท่านเซียนมากนัก ชิงสุ่ยเจินเหรินยิ่งไม่มีเหตุให้ไม่เกรงใจยามอยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย “ข้ามีเรื่องด่วนต้องการจะพบเขา หากใต้เท้าเจ้าตำหนักสามารถช่วยเหลือได้ ชิงสุ่ยจะซึ้งใจยิ่งแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักถอนหายใจเบาๆ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่เพราะร่องรอยของเขาไม่สมควรจะเปิดเผยจริงๆ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน หากเจินเหรินเชื่อใจข้า ก็บอกผ่านทางข้ามาว่าอยากพบเขาด้วยเรื่องอันใด ข้าจะช่วยบอกเขาให้แทนเจินเหรินเอง”
ผู้พิพากษาชุ่ย “อะแฮ่ม!”
ชิงสุ่ยเจินเหรินหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง เอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “หากเจินเหรินไม่เชื่อใจข้า…”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ชะงักไป
ชิงสุ่ยเจินเหรินรีบบอก “มิได้ ข้าไม่ได้ไม่เชื่อใจใต้เท้าเจ้าตำหนัก แค่ใต้เท้าเจ้าตำหนักยินดีเอาความไปบอกให้ ข้าก็ซึ้งใจยิ่งแล้ว”
ผู้พิพากษาชุยขยับปาก คิดจะโพล่งอะไรขึ้นมาอีก ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้วิชาเวทย์กับเขา ผู้พิพากษาชุยเลยกลายเป็นใบ้
ใต้เท้าเจ้าตำหนักอมยิ้มมองชิงสุ่ยเจินเหริน “เจินเหรินเชิญกล่าว หากมีอะไรที่ข้าช่วยเหลือได้ ข้าจะต้องทำเต็มที่แน่นอน”
“ข้าขอขอบคุณเจ้าตำหนักไว้ ณ ที่นี้” ชิงสุ่ยเจินเหรินประสานมือส่งให้แล้วเริ่มเอ่ยถึงความประสงค์ของตน “อันที่จริงที่ข้าต้องการพบจอมเทพผู้นั้นก็เพื่อเปิดทางไปยังแดนเทพ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่ได้บอกว่าเหตุใดถึงต้องการเปิดทาง ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ไม่ได้ถาม หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นมาหาเขา คงเป็นเพราะต้องการลอยขึ้นไปกลายเป็นเทพ แต่ที่ชิงสุ่ยเจินเหรินต้องการเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะต้องการตามหามารดาของมังกรน้อย
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเดิมทีคิดจะเปิดเส้นทางอยู่แล้ว เวลานี้เมื่อมีผู้ช่วยเพิ่มมาอีกคน เหตุใดจะต้องปฏิเสธ?
ใต้เท้าเจ้าตำหนักแสร้งทำเป็นลังเล “อันที่จริงจอมเทพก็มีความประสงค์ที่จะกลับไปยังแดนเทพ เพียงแต่กายหยาบของเขาสลายสิ้นไปแล้ว ด้วยวิญญาณที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอที่จะเปิดทางไปยังแดนเทพได้ จึงจำต้อง… ก่อกายหยาบให้เขาใหม่ก่อนจึงจะเป็นการดี”
หากเป็นเพียงกายหยาบของผู้ฝึกตนทั่วไป ยอดเซียนก็สามารถทำได้ แต่กายหยาบของจอมเทพ… ชิงสุ่ยเจินเหรินคิดว่าคงจะไม่ง่ายเช่นนั้น
ชิงสุ่ยเจินเหรินหันไปมองใต้เท้าเจ้าตำหนัก “ยินดีรับฟัง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักบอกว่า “จอมเทพเริ่มลงมือหล่อร่างใหม่แล้ว เพียงแต่ยังขาดของอีกสองอย่างที่ยังไม่ได้มา”
“ของสิ่งใดหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินถาม
“ไม้พันหงสา กับดินเทพธิดาหนี่ว์วา” ใต้เท้าเจ้าสำนักบอก
ผู้พิพากษาชุยอึ้งงัน ยังมีโลหิตมารมังกรอีกนะ ท่านกินไปแล้วหรือ!
ชิงสุ่ยเจินเหรินนิ่งไป “ไม้พันหงสาอยู่ในมือข้านี่เอง หากสามารถช่วยจอมเทพหล่อร่างใหม่ได้ ข้าสามารถให้ได้ทันที แต่ดินเทพธิดาหนี่ว์วานี้… เมื่อครั้งพระแม่หนี่ว์วาสร้างเผ่ามนุษย์นั้นได้ใช้ดินวิเศษไปหมดแล้ว ไม่เหลืออยู่เลย”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักนิ่งไป
หากดินเทพธิดาหนี่ว์วาได้มาง่ายๆ เพียงนั้น คงไม่ถึงขั้นไม่มีร่องรอยของมันมาจนถึงบัดนี้
ชิงสุ่ยเจินเหรินบอกว่า “ข้าจะกลับไปถามศิษย์พี่ของข้าดู บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบ้าง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยอย่างมีมารยาท “เจินเหรินกลับดีๆ”
หลังจากชิงสุ่ยเจินเหรินออกจากยมโลกแล้วก็รีบนำดวงจิตตั้งต้นกลับคืนที่แล้วเหาะขึ้นไปยังแดนเซียน
ยอดเซียนเสกปีกขนาดมหึมาออกมา กำลังใช้ยาทากุ้ยฮวาที่เทพธิดาปี้สยาให้มาใช้บำรุงความงามของขนนกอยู่ พอเห็นว่าเขามาก็ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง “มีเรื่องอะไรอีกเล่า”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยเข้าประเด็นทันที “ศิษย์พี่ เจ้าเคยได้ยินเรื่องดินเทพธิดาหนี่ว์วาหรือไม่”
ยอดเซียนยังคงบำรุงขนนกของตนต่อไป “เคยได้ยินสิ มีอะไรหรือ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินถามต่อ “เจ้ารู้รึไม่ว่ายังมีที่ไหนมีอีก”
มือที่กำลังทายากุ้ยฮวาพลันชะงัก “เจ้าจะเอาไปทำอะไร สร้างมนุษย์หรือ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินนิ่งคิดก่อนพยักหน้า “อื้ม”
ยอดเซียนสะบัดปีกที่กว้างใหญ่ของตนทีหนึ่งแล้วกลับมาเป็นร่างคนเหมือนเดิม สายตาที่หันมองศิษย์น้องของตนราวกับกำลังมองคนบ้า “สมองเจ้าพิการไปแล้วหรือไร”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเล่าเรื่องเมื่อครั้งได้พบกับเจ้าตำหนักชิงเฉิงให้ยอดเซียนฟังอย่างไม่มีตกหล่น “… เวลานี้เขาขาดเพียงดินเทพธิดาหนี่ว์วาแล้ว หากสืบรู้ที่อยู่ของดินเทพธิดาหนี่ว์วา ก็จะสามารถสร้างร่างของจอมเทพได้แล้ว มีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสเปิดหนทางสู่แดนเทพได้”
“ดินเทพธิดาหนี่ว์วา ไม้พันหงสา…” ยอดเซียนนับนิ้ว “เช่นนี้แล้วเขาก็เจอศิลาตัดวิญญาณ เพลิงปีศาจหมื่นพิภพกับน้ำพุหมื่นราตรีแล้วสิ”
“หือ?” ชิงสุ่ยเจินเหรินนิ่งไป
ยอดเซียนเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ห้าธาตุก่อเกิดห้าอวัยวะ เมื่อห้าอวัยวะครบถ้วนแล้วจึงจะรวมจิตได้ เจ้าตำหนักบอกว่าจอมเทพขาดแค่เพียงดินเทพธิดาหนี่ว์วากับไม้พันหงสา หากกล่าวเช่นนี้เท่ากับว่าอวัยวะอีกสามส่วนหาวัตถุดิบที่เหมาะสมได้แล้วงั้นสิ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าไม่ได้ถาม”
ยอดเซียนทำเสียงหึหึ “ของเหล่านี้เหมาะสมที่สุดที่จะนำมาหล่อเป็นอวัยวะให้จอมเทพจริงๆ หากเขากำลังตามหาดินเทพธิดาหนี่ว์วากับไม้พันหงสา เช่นนั้นเจ้าตำหนักชิงเฉิงก็คงไม่ได้หลอกเจ้า”
ชิงสุ่ยเจินเหรินถอนหายใจ “แต่ดินเทพธิดาหนี่ว์วาไม่เหลืออยู่แล้ว”
ยอดเซียนเลิกคิ้ว “มีสิ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินอึ้งไป “มีหรือ”
ยอดเซียนเชิดคางขึ้น “ในอดีตเมื่อครั้งเทพธิดาหนี่ว์วาสรรสร้างมนุษย์นั้น ไม่ทันระวังทำดินก้อนหนึ่งหล่นลงบนพื้น หลังเกิดเรื่องเถิงเสอที่อยู่ใต้ที่นั่งนางเป็นคนมาเก็บกลับไป เถิงเสอเกิดมัวแต่ห่วงเล่นสนุกจึงลืมเอาดินก้อนนี้คืนให้เทพธิดาหนี่ว์วา ครั้นเทพธิดาหนี่ว์วาซ่อมฟ้าปะนภานั้นขาดของบางอย่างไป สุดท้ายเลยใช้ตนเองเติมจนเต็ม เรื่องนี้เมื่อจักรพรรดิสวรรค์รู้เข้า ด้วยความพิโรธจึงขับเถิงเสอออกจากตำหนักเทพ ตอนเถิงเสอจากมา ได้เอาดินก้อนนั้นของเทพธิดาหนี่ว์วาติดตัวมาด้วย เจ้าไปหาเถิงเสอเถิด”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยด้วยความงุนงง “เถิงเสอตัวจริงมิได้ตายไปแล้วหรือ เถิงเสอถูกราชายมโลกฆ่าตาย หลังจากนั้นราชายมโลกก็ถูกลงโทษให้มีรูปร่างเช่นเดียวกับเถิงเสอ และถูกกักขังให้อยู่ในแดนยมโลกตลอดกาล…”
ยอดเซียนเสกปีกของตนออกมาอีกครั้ง ถูยาดอกกุ้ยฮวาพลางบอกว่า “เช่นนั้นก็ไปถามราชายมโลก เขาเป็นคนสุดท้ายที่ได้พบเถิงเสอ บางทีเขาอาจจะรู้อะไรบ้าง”
ดังนั้นชิงสุ่ยเจินเหรินจึงกลับไปยังแดนยมโลกอีกครั้ง
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมีหรือจะคิดว่าเขาจะกลับมาเร็วเพียงนี้ เขากำลังพาเฉียวเวยเวยไปล่องเรือจับวิญญาณอยู่ที่แม่น้ำลืมเลือนอยู่ทีเดียว
หลังจากเกิดเรื่องยักษาขึ้น ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ไม่กล้าให้เฉียวเวยเวยอยู่ห่างสายตาตนอีก เฉียวเวยเวยนั่งอยู่บนตักเขาอย่างเรียบร้อย คอยกินวิญญาณที่เขาจับมา
ตอนผู้พิพากษาชุยพาชิงสุ่ยเจินเหรินมาที่แม่น้ำลืมเลือนนั้น สิ่งที่เห็นคือใต้เท้าเจ้าตำหนักที่นั่งอยู่บนเรือลำเล็ก มีเด็กน้อยรูปร่างผอมเพรียวนั่งอยู่บนตักเขา ท่าทางดูอบอุ่น
ใบหน้าและลำตัวของเด็กสาวถูกรูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาบังเอาไว้ แต่กลับยังคงเห็นเท้าเปลือยเปล่าที่โผล่ออกมาจากชายกระโปรงของนาง งดงามราวกับหยก ทั้งขาวผ่องและประณีต
เด็กสาวพิงซบอยู่กับหัวไหล่เขา ผมยาวดำขลับทิ้งตัวสยาย เกาะเกี่ยวอยู่กับผมดำของเขา
ภาพนี้ดูอบอุ่นหวานซึ้งจนคนไม่กล้ามอง
ชิงสุ่ยเจินเหรินกระแอมเบาๆ พร้อมเบือนสายตาหนี แต่ก็ยังหันไปเหลือบมองอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว ใจเกิดความรู้สึกประหลาด ความรู้สึกที่อยากจับใต้เท้าเจ้าตำหนักมาอัดให้น่วมสักยกนั่นมันอะไรกัน…