ตอนพิเศษ 62-1 มหาอัสนีวิบาก (2)
เฉียวเวยเวยเติบใหญ่แล้ว แต่ก็ยังไม่โตมากเท่าไรนัก นางดูอายุน้อยกว่าหลิงจือนิดหน่อย นางงามพริ้มเพรา ผิวละม้ายคล้ายดอกบัวน้ำแข็ง ทั้งเย็นเฉียบและเรียบเนียน ดวงตาคล้ายธารน้ำใสไหลริน ใสกระจ่างเหลือจะพรรณนา
หลิงจือเห็นว่านางยังตัวเล็กกว่าตนเองอยู่ ในใจก็รู้สึกสงบอย่างยิ่ง
ไม่เช่นนั้นเกิดเจ้าซาลาเปาน้อยที่เลี้ยงมาหลายปีจู่ๆ ตัวโตกว่าตนเอง หลิงจือคงรู้สึกอยากทึ้งหัวตัวเอง
ตอนนี้หลิงจือเข้าใจแล้วว่าเหตุใดที่ผ่านมาเวยเวยไม่ยอมเรียกนางว่าพี่สาว นั่นก็เพราะว่าถึงเวยเวยจะอยู่ในร่างมังกรน้อยตัวหนึ่ง แต่นางเป็นลูกมังกรที่ฝึกตนมาแล้วหลายร้อยปี อายุมากพอจะนับเป็นบรรพบุรุษของหลิงจือได้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นสติปัญญาของเวยเวยก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง ดังนั้นหากมองจากจุดนี้หลิงจือก็ยังนับว่าเป็นพี่สาวของนางได้อยู่ดี
มหาอัสนีวิบากสร้างเรื่องไว้ใหญ่โตเหลือเกิน เพียงไม่ถึงวัน ทั่วทั้งแดนกลางก็รู้แล้วว่านายน้อยของเผ่ามารคือเฉียวเวยเวย เฉียวเวยเวยคนนี้ยังมีร่างอีกร่างเป็นดอกบัวน้ำแข็งน้อย แถมดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกนี้ยังเป็นลูกสาวของชิงสุ่ยเจินเหรินและเป็นหลานสาวของยอดเซียน ยิ่งไปกว่านั้นเฉียวเวยเวยคนนี้ยังผ่านมหาอัสนีวิบากจนเติบใหญ่ขึ้นมาสำเร็จแล้วด้วย
ผู้ฝึกตนที่โชคดีเห็นร่างจริงของชิงสุ่ยเจินเหริน รวมไปถึงร่างเฟิ่งหวงของยอดเซียนกับตาตนเองเหล่านั้น ผู้ที่ประพฤติตนดีงามต่างบรรลุมรรคาสวรรค์ในทันใด ส่วนผู้ประพฤติเลวทรามก็ละวางความหลงผิดในทันที
แดนกลางดูเหมือนผ่องแผ้วพิสุทธิ์มากขึ้นในวันเดียว
คนกลุ่มเดียวที่เสียหายดูเหมือนจะเป็นสำนักว่านเซี่ยง สำนักว่านเซี่ยงถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ทว่ายามนี้ไม่มีใครสนใจพวกเขา ทุกคนต่างพากันขบคิดว่าจะมาร่วมอวยพรกับสำนักเชียนหลันอย่างไรดี
วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่ทันสางที่ตีนเขาของสำนักเชียนหลันก็มีคนมาต่อแถวยาวเหยียดเป็นมังกร
“เจ้าสำนักจินเตา นานๆ จะเจอกันสักหน นานๆ จะเจอกันสักหน!” ลู่หยวนเจิ่นให้เจ้าสำนักสวี่ออกมา ‘ต้อนรับแขก’ ตั้งแต่กลางคืน แขกที่มาเยือนสำนักเหล่านี้ส่วนมากเคยหมางเมินสำนักเชียนหลันกันทั้งนั้น มาวันนี้สำนักเชียนหลันรุ่งโรจน์กลับเดินทางมาประจบประแจง ในใจลู่หยวนเจิ่นจึงดูแคลนพวกเขา แต่ฉากหน้าเรื่องใดต้องทำก็ยังต้องทำ
เจ้าสำนักจินเตาคลี่ยิ้ม “ยินดีด้วยๆ ข้าได้ยินว่ามาคุณหนูแห่งตำหนักเซียนถึงวัยปักปิ่นแล้ว!”
อ้อ ลืมเล่าไปเรื่องหนึ่ง หลังจากชิงสุ่ยเจินเหรินกับยอดเซียนมาเยือน ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใดเปลี่ยนคำเรียกขานจากนายน้อยเผ่ามารกลายเป็นคุณหนูตำหนักเซียน หลังจากนั้นสำนักไม่น้อยก็พากันเรียกขานเช่นนี้ตามด้วย
รอยยิ้มบนใบหน้าของลู่หยวนเจิ่นแข็งทื่อ “ปักปิ่นหรือยังเร็วเกินไป”
ปักปิ่นบ้านเจ้าสิ นั่นเป็นธรรมเนียมของมนุษย์ธรรมดาเท่านั้นไม่ใช่หรือไร มังกรน้อยบ้านข้าอายุกี่ร้อยปีแล้วเจ้ารู้หรือไม่!
เจ้าสำนักจินเตาคิดว่ารอยยิ้มของลู่หยวนเจิ่นดูแปลกประหลาดจนน่าขนลุกเล็กน้อย หลังจากถามไถ่สารทุกข์สุกดิบครู่หนึ่ง เขาจึงเผ่นแน่บไปหาคู่อริที่เดินอยู่ด้านหน้าแล้วเดินคล้องแขนกันเข้าไปในสำนัก
ในหมู่คนที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีหนนี้ มีคนเกือบครึ่งตั้งใจจะมาคารวะยอดเซียนสักหน แต่พวกเขาคงจะต้องผิดหวังแล้ว เพราะหลังจากยอดเซียนพบหน้าหลานสาวตัวน้อยของบ้านตนก็เดินทางกลับแดนเซียน ‘อย่างไม่เสียดาย’ แล้ว
ภายในเรือน เฉียวเวยเวยกำลังอาบน้ำประทินโฉมเพื่อพิธีใหญ่ที่กำลังจะจัดขึ้นในอีกสักครู่
พิธีใหญ่นี้ได้ยินมาว่าเป็นพิธีที่เป็นทางการอย่างยิ่ง ระหว่างพิธีต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายชุด
หลิงจือกับจีเสี่ยวซิวเลือกเสื้อผ้าให้เฉียวเวยอยู่ในห้องด้านข้างอย่างพิถีพิถัน เลือกไปได้ครึ่งหนึ่ง เฉียวเวยเวยก็เดินตัวเปล่าเปลือยออกมา แขนกอดเอี๊ยมชั้นใน เสื้อคลุมตัวในกับเสื้อคลุมชั้นกลางที่ขยุมจนเหมือนผักดองออกมา “หลิงจือ ข้าใส่ไม่เป็น”
หลิงจือเลิกคิ้ว “ถ้าเช่นนั้นเมื่อวานเจ้าสวมได้อย่างไร”
เด็กน้อยเสี่ยวซิวกุมจมูกที่เลือดกำเดาไหลวิ่งออกไปข้างนอก…
เป้าหมายของพิธีใหญ่ก็คือประกาศตัวตนของเฉียวเวยเวยกับแดนกลางอย่างเป็นทางการ ตัวนางเองไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นเพียงนั่งอยู่ข้างชิงสุ่ยเจินเหรินนิ่งๆ ก็พอแล้ว เรื่องที่เหลือมีเจ้าสำนักสวี่เป็นคนจัดการ
รูปโฉมของเซียนมิอาจเปิดเผยแก่ผู้คนได้โดยง่าย นี่จึงเป็นสาเหตุที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์สวมผ้าคลุมหน้าไว้ตลอดเวลานับตั้งแต่เข้ามาในสำนักเชียนหลัน จนกระทั่งพบหน้าชิงสุ่ยเจินเหรินจึงถอดผ้าคลุมหน้าออก
เฉียวเวยเวยนั่งอยู่ในดอกบัวน้ำแข็งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า นางสวมอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ แขนเสื้อสองข้างยาวระปลายกระโปรงสีชมพูอ่อน ยามชายกระโปรงถูกสายลมโชยพัด มันก็พลิ้วไหวด้านหลังนางดุจเริงระบำ ผิวของนางคล้ายหยกงาม ผมหน้าม้าสีดำขลับลอยอยู่เหนือดวงตาใสกระจ่างดุจธารน้ำ
นางนั่งหลังตรงอย่างงามสง่า แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่า นี่เป็นเพียงภาพมายาที่ชิงสุ่ยเจินเหรินใช้ข่ายอาคมสร้างขึ้นมาเท่านั้น สภาพที่แท้จริงก็คือลูกสาวสุดที่รักของเขากระชากผ้าคลุมหน้าออกนานแล้วและกำลังแทะขาแพะย่างเหลืองกรอบน้ำมันเยิ้มอย่างตั้งอกตั้งใจ…
จีเสี่ยวซิวรู้สึกว่าพิธีการหนนี้น่าเบื่อจนแทบวางวาย เขาฉวยโอกาสที่ลู่หยวนเจิ่นไม่สนใจ กระโดดลงจากเก้าอี้กลับมาที่เรือนของหลิงจือ
เขายังเล็ก ยามนี้จึงยังยังอาศัยอยู่กับหลิงจือและเฉียวเวยเวยได้
เรือนของหลิงจือค่อนข้างเงียบเหงาอยู่ตลอด แต่วันนี้กลับมีลูกศิษย์สำนักใหญ่มากมายมามุงล้อมจนน้ำมิอาจลอดผ่าน หลิงจือถูกคนกลุ่มนั้นขวางหน้าอยู่ อวี๋เจี๋ยบังอยู่หน้าหลิงจือแล้วเอ่ยกับทุกคนอย่างมีมารยาทว่า “….พวกเรามิทราบจริงๆ มิสู้พวกท่านเชิญกลับไปเถิด น้ำใจของพวกท่าน ข้าจะนำไปส่งมอบแทนพวกท่านเอง”
“น้ำใจอะไร” จีเสี่ยวซิวขมวดคิ้ว
“นี่ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็น่าจะเชิญพวกเราเข้าไปดื่มชาสักถ้วยสิ”
“นั่นสิๆ ไหนๆ พวกเราก็มาแล้ว”
“สหายท่านนี้ คำพูดของท่านดูจะไม่ถูกต้อง ภายในเรือนหลังนี้มีแต่แม่นางน้อยอาศัยอยู่กันสองคน หากปล่อยให้พวกท่านบุรุษร่างใหญ่โตเหล่านี้เข้าไปนั่งจะมิงาม”