ตอนที่ 364 เหรียญทิพย์ของท่านจี้
แม้ว่าหลุมศพแห่งนี้เชื่อมต่อกับเรือนหยินในปรโลกได้ระดับหนึ่ง แต่จำกัดแค่ของเซ่นไหว้จากคนรุ่นหลังญาติมิตร
แน่นอนว่าเจ้าภูเขาลู่ไม่อาจเซ่นไหว้ต่งปี้เฉิงที่นี่ ทั้งยามเซ่นไหว้อีกฝ่ายยังฟังความได้ข้างเดียว ห่างไกลจากคำว่าพอ จำเป็นต้องประจันหน้ากัน
เขากลัดกลุ้มอยู่หน้าป้ายหลุมศพต่งปี้เฉิงครู่ใหญ่ กระทั่งเจ้าภูเขาลู่จากไป จี้หยวนไม่รู้ว่าเขาคิดวิธีเหมาะสมได้หรือไม่
เมื่อเจ้าภูเขาลู่จากไป หมอกบางเบาเข้ามาใกล้หลุมศพต่งปี้เฉิงทีละน้อย สุดท้ายค่อยกลายเป็นร่างของจี้หยวน
จี้หยวนมองป้ายหลุมศพหินเขียวแผ่นนี้ บนนั้นเขียนว่า ‘หลุมศพต่งปี้เฉิงลูกรัก’ ผู้ตั้งป้ายไม่ลงนาม คิดว่าคงเป็นบิดามารดาต่งปี้เฉิง
มองโดยรอบยังมีเถ้ากระดาษกับถ้วยชามบางส่วน ด้านบนมีของเซ่นไหว้ขึ้นราส่วนหนึ่ง เนื้อสัตว์คงถูกสัตว์ป่าคาบไป
“เฮ้อ คนผมขาวส่งคนผมดำ…”
ยามเสียงทอดถอนใจยังอยู่ จี้หยวนหายไปจากจุดเดิม เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ในจังหวัดเหลาหยางแล้ว
ต่อให้เจ้าภูเขาลู่ร้ายกาจแค่ไหน คิดบุกฝ่าประตูนรกโดยไร้สุ้มเสียงคงเป็นไปไม่ได้
จี้หยวนถือว่ามีหน้ามีตาในหมู่เทพผีแห่งต้าเจิน อย่างน้อยในศาลมืดระดับจังหวัดแห่งนี้ หากแสดงฐานะอยากพาคนเข้าไปย่อมไม่ใช่ปัญหา แต่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งบอกว่าตนมีธุระต้องจากไป ตอนนี้ผ่านไปไม่กี่วันกลับกระโดดออกมาช่วย เท่ากับบอกเจ้าภูเขาลู่อย่างชัดเจนว่า ‘ข้าผู้เป็นอาจารย์ตามเจ้ามาตลอด’ ไม่ใช่หรือ
เรื่องนี้ทำให้จี้หยวนค่อนข้างทำหน้าไม่ถูก แน่นอนว่าต่อให้เขาอยากรักษาหน้าอยู่บ้าง แต่หากเจ้าภูเขาลู่เกิดเรื่องจริง ถ้าควรช่วยย่อมต้องช่วย
ยามจี้หยวนนึกถึงเรื่องพวกนี้ นอกจากซื้อขนมเปี๊ยะในเมืองบางส่วนมาติดตัวแล้ว ด้วยการพบเห็นสุสานของต่งปี้เฉิง เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ไปยังสถานที่ค่อนข้างพิเศษอีกแห่ง
จังหวัดเหลาหยาง บนถนนเส้นหนึ่งตรงตรอกศาลเจ้า จี้หยวนกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า
ถนนเส้นนี้พิเศษอยู่บ้าง ไม่ขาดคนสัญจรไปมา แต่ไม่ถือว่าคึกคักนัก เสียงคนพูดกันค่อนข้างน้อย
ด้วยบนถนนเส้นนี้มีร้านค้าค่อนข้างพิเศษหลายแห่ง ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘ร้านขายกงเต๊ก’ หรือก็คือร้านขายของเกี่ยวกับงานศพอย่างร้านโลงศพ ร้านเครื่องกระดาษเป็นต้น
จี้หยวนเดินบนถนนช้าๆ กวาดสายตามองซ้ายขวา จากนั้นค่อยหยุดตรงร้านแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีลูกค้า
ร้านค้าแห่งนี้ไม่มีอะไรพิเศษ ด้วยทักษะการมองเขาจึงเห็นสิ่งที่เขียนบนป้ายหน้าร้านไม่ชัด รู้แค่ว่าที่นี่เป็นร้านเครื่องกระดาษแห่งหนึ่ง
เถ้าแก่ร้านเครื่องกระดาษคือชายชราเคราขาว ดวงตาเล็ก ผิวดำคล้ำ ริ้วรอยย่นเข้าหากันจนไม่รู้ว่ากำลังยิ้มอยู่หรือไม่ อากาศเข้าสู่ช่วงต้นฤดูร้อนแต่ยังสวมเสื้อหลายชั้น ดีดลูกคิดคำนวณอยู่ตรงนั้น
จี้หยวนเดินเข้าร้านโดยไร้เสียงฝีเท้า กวาดมองรอบทิศ ภายในร้านแห่งนี้มีคนกระดาษ ม้ากระดาษ รถกระดาษ เตียงกระดาษ ส้วมกระดาษ เครื่องใช้จากกระดาษนานัปการละลานตา พวกกระดาษเงินกระดาษทองยิ่งขาดไม่ได้
จี้หยวนเกิดเป็นคนมาสองชาติ เพิ่งเคยเข้าร้านแบบนี้เป็นครั้งแรก เขาสงสัยอยู่บ้าง เดินเข้าใกล้กระดาษเงินกองหนึ่ง หยิบมาลูบคลำพลางมองแผ่นหนึ่ง กระดาษขาวนี้ตัดรอบนอกเป็นทรงกลมด้านในเป็นทรงเหลี่ยม เมื่อหยิบมาจ่อดูตรงหน้าโดยละเอียด เขาเห็นตราประทับเหรียญเงินหยินหยางรางๆ ดูเหมือนมีระดับกว่าคนทั่วไปใช้กรรไกรตัดเองไม่น้อย
จี้หยวนมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่ใหญ่ เถ้าแก่ร้านเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ เขาเพิ่งพบว่ามีคนอยู่ในร้าน
“อ๊ะๆๆ ลูกค้าท่านนี้อย่าแตะของร้านข้าไปทั่ว ล้วนเป็นสิ่งที่ช่างฝีมือบรรจงทำ ทำมาจากกระดาษจริงๆ แตะมากไม่ได้ ถ้าทำพังต้องชดเชยตามราคา!”
จี้หยวนมองเขาพลางพยักหน้ากล่าว
“ขอบคุณที่เตือน ข้าคนแซ่จี้หยิบวางย่อมเบามือ”
เจ้าของร้านวางลูกคิดลง ลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ มาถึงข้างกายจี้หยวนแล้วมองใกล้ๆ แม้ว่าคนตรงหน้าสวมชุดขาวเรียบง่าย แต่เหมือนปัญญาชนบุคลิกไม่ธรรมดา กอปรกับปิ่นหยกดำบนศีรษะโปร่งแสงแวววาว น่าจะไม่ใช่ของราคาถูก
เจ้าของร้านเปลี่ยนสีหน้าทันที ยิ้มจนริ้วรอยยับย่นไม่น้อย
“อะแฮ่ม ทางบ้านลูกค้าต้องจัดงานศพจึงมาจับจ่ายซื้อของหรือ”
“ไม่เชิงนัก แค่อาจส่งของไปให้คนรู้จักที่เสียชีวิตแล้ว เมืองผีแดนปรโลกไม่สะดวกนำของติดตัวไป ถึงมาลองดูที่นี่”
ชายชราเดินอ้อมจี้หยวนมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้วยิ้มกล่าว
“เช่นนั้นลูกค้ามาถูกแล้ว ของร้านข้าประณีตที่สุดในจังหวัดเหลาหยาง ท่านดูคนกระดาษนี้ เครื่องหน้าทั้งห้าสมดุล ท่าทางนิ่งสงบ ที่ปัดแก้มนี้ยังใช้เครื่องประทินโฉมของจริง ทั้งมีกลิ่นหอมด้วย!”
ด้วยประสบการณ์ของจี้หยวน เรื่องเกี่ยวกับปรโลกเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญแท้จริงไม่แน่ว่าจะเข้าใจ แต่ผู้คนตามตลาดซึ่งความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเช่นนี้มักรู้เรื่องไม่น้อย จริงหรือเท็จ จี้หยวนฟังแล้วย่อมแยกแยะได้ ดังนั้นจึงเอ่ยถาม
“เจ้าของร้าน ของพวกนี้ คนในปรโลกใช้อย่างไร รับอย่างไร”
ชายชรามองจี้หยวน คุณชายเหมือนปัญญาชนเช่นนี้อาจท่องคัมภีร์มามาก แต่รู้เรื่องประเพณีพวกนี้น้อยนัก
“คุณชายท่านคงไม่รู้ ร้านของพวกเรามีชื่อเสียงด้วยของประณีตและปลุกเสกมาก่อน เชิญนักพรตมาทำพิธีโดยเฉพาะ ของแบบนี้จึงส่งถึงปรโลก ท่านฟังข้านะ…”
เจ้าของร้านบ่นพล่ามเยอะแยะ โดยคร่าวคืออธิบายว่าของเซ่นไหว้พวกนี้ต้องทำพิธีถึงมีผล มิฉะนั้นคงส่งไม่ถึงปรโลก
หากไม่มีนักพรตชั้นสูงสำแดงวิชา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพึ่งแรงปรารถนาของญาติมิตรยามเซ่นไหว้ ไว้อาลัยอย่างจริงใจ ของถึงมีประโยชน์อยู่บ้าง ถ้าแค่ทำตามแบบแผน ต่อให้สิ่งของนั้นประณีตแค่ไหนก็ดูดีเพียงภายนอก ย่อมส่งไม่ถึงเบื้องล่าง
“ได้ยินว่าสิ่งของที่มีพลัง อย่างเช่นกระดาษเงินที่ผ่านการปลุกเสกจากนักพรตผู้มีความสามารถ กระดาษเงินนั้นย่อมกลายเป็นเหรียญทิพย์ เผาให้ใครล้วนใช้การได้ ญาติในปรโลกสามารถใช้เหรียญทิพย์นี้เสริมพลัง ทำอะไรล้วนราบรื่น!”
คำพูดของหลงจู๊แสดงออกว่าของร้านตนไม่เพียงงามประณีต แต่ยังล้ำค่าด้วย
จี้หยวนฟังอย่างเพลิดเพลิน ถึงขั้นรู้สึกว่าหลายเรื่องมีเหตุผลนัก ทั้งยังได้รู้แจ้งบางส่วน แต่เมื่อกวาดมองรอบร้าน สินค้ากระดาษทุกชิ้นแทบไม่แฝงปราณวิญญาณหรือพลัง นักพรตชั้นสูงสำแดงวิชาที่กล่าวถึง แน่นอนว่าเป็นเรื่องแต่ง
เจ้าของร้านคิดว่าจี้หยวนเป็นลูกค้ารายใหญ่ ทั้งดูเหมือนไม่เข้าใจเรื่องงานศพ ลูกค้าเช่นนี้ล้วนเป็นที่ชื่นชอบของหลงจู๊ร้านเครื่องกระดาษ ส่วนใหญ่มักฟังคำแนะนำเจ้าของร้าน
เจ้าของร้านจึงพูดทุกอย่างที่รู้กับจี้หยวน พยายามกระตือรือร้นทั้งเอาใจใส่ทั่วถึง ทยอยพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเพณีความเคยชินมากมาย เล่าหมดตั้งแต่การคาดเดาถึงประสบการณ์ พูดจนปากแห้งลิ้นฝืด สุดท้ายช่วงสำคัญที่เฝ้ารอก็มาถึง
“คนกระดาษนั้นขายอย่างไร”
จี้หยวนชี้สาวใช้กระดาษที่เจ้าของร้านแนะนำตอนแรก
เจ้าของร้านยื่นนิ้วมือออกมาสี่นิ้ว
“แหะๆ สี่สิบอีแปะเท่านั้น ไม่หลอกใครทั้งแก่เด็ก ซื้อครบทั้งพ่อบ้าน สาวใช้ ข้ารับใช้ มีส่วนลดด้วย!”
แพงนัก จี้หยวนไม่อยากซื้อทันที เคลื่อนสายตาไปทางกระดาษเงิน เห็นว่าคุณภาพกระดาษไม่เท่าไร น่าจะไม่ค่อยแพง แต่การตัดกระดาษเงินดีมาก กอปรกับตราประทับพวกนี้ รูปลักษณ์ถือว่าไม่เลว
“กระดาษเงินพวกนี้เล่า”
“อ้อ เหรียญเงินหยินหยางนี้ สองอีแปะซื้อได้กองหนาปึก อย่าเห็นว่าเป็นแค่กระดาษเงินกองหนึ่ง กระดาษเงินของพวกเราล้วนประทับตรา เปลืองหมึกนัก ทั่วจังหวัดเหลาหยางไม่มีแบ่งขาย ดังคำกล่าวว่าหมึกมีสติปัญญา ถือเป็นสัญลักษณ์ ไม่อย่างนั้นทำไมกระบวยหมึกถึงปัดรังควานได้เล่า”
“อีกอย่าง ท่านอย่าเห็นว่าคุณภาพกระดาษไม่เท่าไหร่ ร้านของข้าอาศัยชื่อเสียงเป็นประกัน ใช้ไม้ไหวดำกับไม้จันทน์เล็กน้อยเป็นวัตถุดิบ กระบวนการน้อยแต่พิถีพิถัน ทำกระดาษเงินดีที่สุด เหมาะแก่การเผาไปปรโลก มีกลิ่นหอมเช่นกัน!”
เจ้าของร้านหยิบกระดาษเงินกองหนึ่งมาจากราวไม้ บีบอัดกันแน่นมาก ทุกแผ่นบางเบา แน่นขนัดจนไม่รู้ว่ามีกี่แผ่น หยิบออกมาพลางพูดไม่หยุด กระตือรือร้นจนจี้หยวนรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
จี้หยวนหยิบเหรียญทองแดงสองเหรียญออกมาทันที
“ซื้อกองหนึ่ง”
“โอ้ ขอรับ ลูกค้าซื้ออะไรอีกหรือไม่ ท่านดูม้ากระดาษนี้ เหมือนของจริงยิ่งนัก ยังมีรถกระดาษนี้ด้วย หากซื้อคู่กัน บรรพชนอยู่ข้างล่างสามารถขี่ม้าและนั่งรถได้ อืม ทางที่ดีซื้อผู้คุมรถด้วยคนหนึ่ง ไม่ ซื้อเป็นคู่ดีกว่า ผลัดกันดูแลได้!”
จี้หยวนยิ้มพลางโบกมือ
“ไม่ต้องหรอกๆ ซื้อกระดาษเงินกองหนึ่งก็พอ”
รอยยิ้มชายชราเจ้าของร้านค้างแข็งชั่วพริบตา จ้องมองจี้หยวนเขม็ง แต่จี้หยวนไม่หลบหลีก ครู่ใหญ่จึงแน่ใจว่าคนผู้นี้น่าจะจริงจัง ความกระตือรือร้นของน้ำเสียงเยียบเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด
“รบกวนคิดเงินตรงโต๊ะ ข้าจะห่อให้ท่าน”
“ได้”
ต่อให้จี้หยวนหน้าหนาแค่ไหน ตอนนี้ก็ยิ้มอักอ่วน ใช้เงินสองอีแปะตัดความยุ่งยาก ทั้งฟังเรื่องซึ่งไม่ได้บันทึกบนตำราฝึกปราณมากขนาดนี้ ถือว่าคุ้มค่ามาก
เมื่อออกจากร้านเครื่องกระดาษ ฝีเท้าจี้หยวนเร็วกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย เขาสัมผัสได้ว่าข้างหลังยังมีสายตาขุ่นเคืองมองตนอยู่ตลอด
ผ่านไปสองชั่วยาม ตรงมุมตรอกเล็กไร้ผู้คนแห่งหนึ่งของจังหวัดเหลาหยาง จี้หยวนนั่งอยู่ตรงนั้น บนฝ่ามือมีกระดาษเงินกองหนึ่งวางอยู่ บนนั้นมีปราณไร้รูปพันรอบ ทั้งซึมเข้ากระดาษเงินช้าๆ
จี้หยวนไม่รู้ว่าทำพิธีเช่นนั้นอย่างไร แต่หลังจากฟังหลงจู๊ร้านเครื่องกระดาษบรรยาย เขาอนุมานหลักการบางอย่างได้ กอปรกับมีประสบการณ์หลอมจอมพลังเกราะทอง ย่อมอนุมานเทียบเคียงได้ ดังนั้นหลังจากลองจนล้มเหลวหลายสิบครั้ง เสียกระดาษเงินไปกว่าครึ่ง ในที่สุดจี้หยวนก็บรรลุเป้าหมายคล้ายคลึงกัน
สีกระดาษเงินในมือเริ่มเปลี่ยนเป็นทองเหลืองช้าๆ ทั้งยิ่งเปลี่ยนยิ่งหนาขึ้นเรื่อยๆ เนื้อสัมผัสของอักษรเหรียญเงินหยินหยางบนนั้นยิ่งเด่นชัด ถึงขั้นว่ามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาก
ใช่ว่าเหรียญกระดาษเปลี่ยนเป็นเช่นนี้เอง แต่มีการชี้นำของจี้หยวนเพิ่มมา ประยุกต์ใช้วิชาอัศจรรย์ยามตัดกระดาษหลอมจอมพลังเกราะทอง พูดแล้วเหมือนง่าย แต่คนไม่เข้าใจช่องทาง ต่อให้มีวิชาสูงส่งแค่ไหนก็มึนงง
“แม้ว่าทำง่าย แต่กลับไม่ขาดหลักการ ล้วนแฝงสติปัญญา!”
จี้หยวนมองกระดาษเงินในมือ อดทอดถอนใจอยู่บ้างไม่ได้ วิธีผนึกพลังปราณวิญญาณเช่นนี้ ถือเป็นปัญญาพื้นบ้านอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย เหล่าผู้สูงส่งบนโลกผู้บำเพ็ญไม่มีทางพิจารณาเรื่องพวกนี้แน่ เมื่อมีความต้องการย่อมมีตลาด โลกมนุษย์ไม่อาจดูหมิ่นได้จริงๆ
ในปรโลกเหรียญทิพย์เช่นนี้น่าจะมีสภาพคล่องไม่ธรรมดา เปรียบเทียบกับสิ่งของจำพวกแก่นปราณห้าธาตุแล้วมีความมหัศจรรย์คล้ายคลึงกัน แต่กลับดูล้ำค่ายิ่งกว่า อย่างแรกถือเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของ สำหรับผู้ฝึกปราณชั้นสูงเหรียญทิพย์อาจไม่ดีพอ แต่ในปรโลกกลับเป็นสกุลเงินแข็ง
แน่นอนว่าหากพลังกับปราณวิญญาณบรรลุถึงระดับสูง อาจถึงขั้นช่วยผู้ฝึกปราณสำแดงวิชาหรือตั้งค่ายกลสำคัญบางอย่างได้ บางทีเหรียญทิพย์อาจมีประโยชน์มากกว่านั้น แค่โครงสร้างต้องซับซ้อนยิ่งขึ้น พลังวิญญาณยิ่งต้องบริสุทธิ์
แต่นอกจากปัญหาข้างต้นแล้ว ประเด็นเรื่องกำลังการผลิตก็ไม่น้อย ต่อให้สมบูรณ์แบบแค่ไหนก็มีโอกาสสูงว่าอาจเป็นแค่ของล้ำค่าซึ่งสิ้นเปลืองเวลาและกำลัง
จี้หยวนมองเหรียญกระดาษซึ่งนานเข้ายิ่งเปลี่ยนไปจนเหมือนเหรียญทองแดงในมือ การกระทำโดยไม่ตั้งใจวันนี้ ทำให้เขาคิดอะไรได้มากมายโดยไม่รู้ตัว