บทที่ 1001 พบครั้งหนึ่งผิดพลาดไปตลอดชีวิต
บทที่ 1001 พบครั้งหนึ่งผิดพลาดไปตลอดชีวิต
ยอมแพ้หรือ?
ฉีซืออี้มองเงาร่างของลู่ฉาวอวี่
อันที่จริง นางเคยลังเล นางเคยทุรนทุราย ท้ายที่สุดก็ไม่อาจตัดใจได้
ยามนั้นอยู่ที่ชายแดน บุรุษทุกคนล้วนล้อมรอบนาง คุณหนูใหญ่สกุลฉีเป็นไข่มุกที่แวววาวที่สุดของชายแดน บุรุษที่ชายแดนต่างภาคภูมิใจที่สามารถทำให้นางยิ้มได้
ฉีซืออี้ทะนงตน ไม่ยินดียอมรับความพ่ายแพ้นี้
หลังจากกลับมาถึงเมืองหลวง นางได้พบกับลู่ฉาวอวี่เป็นครั้งแรก นางถูกคนผู้นี้ทำให้ตกตะลึง เมื่อได้รู้ตัวตนของเขาและได้ยินเรื่องราวของเขา หัวใจของนางก็เริ่มเต้นกระหน่ำ
“ซืออี้ เจ้ามองทางนั้นสิ…”
ฉีซืออี้ได้ยินคำพูดของสหายสนิทก็มองตามสายตาอีกฝ่ายไป เห็นคุณชายห้าจวนเสนาบดีกรมพิธีการกำลังมองมาที่ตนด้วยความหลงใหลจึงแย้มยิ้มจาง ๆ ออกมา
คุณชายจวนเสนาบดีผู้นั้นเผยสีหน้าดีใจ โบกมือมาให้นางด้วยท่าทางโง่เขลา
“คุณชายท่านนี้ก็ไม่เลว ถึงแม้รูปร่างหน้าตาจะด้อยกว่าใต้เท้าลู่น้อยอยู่บ้าง ทว่าในเมืองหลวงก็นับว่าเป็นสามีที่ดีในสายตาของเหล่าคุณหนูสกุลใหญ่แล้ว”
“เจ้าชอบเขาหรือ?” ฉีซืออี้ถาม
หลี่เข่อหรงได้ยินคำพูดของฉีซืออี้ก็รู้สึกจุกในอกขึ้นมา
มีเพียงฉีซืออี้เท่านั้นที่กล้าคิดหวังต่อใต้เท้าลู่น้อย คุณหนูธรรมดาทั่วไปอย่างพวกนาง ต่อใต้เท้าลู่น้อยแล้วทำได้เพียงนับถือชื่นชม ไม่กล้าคาดหวังเกินความเป็นจริง แทนที่จะไขว่คว้าดวงจันทร์ที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ไม่สู้ชื่นชมดวงดาวที่ส่องแสงพร่างพราวดีกว่า
“อย่าได้พูดเหลวไหล” หลี่เข่อหรงเอ่ย
หลังจากงานเลี้ยงของพระราชวังสิ้นสุด ทุกคนในสกุลลู่กล่าวอำลาฟ่านหยวนซีกับภรรยา ขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับบ้าน
ลู่ฉาวอวี่ถูกฟ่านหยวนซีรั้งไว้เพราะมีเรื่องจะหารือด้วย ดังนั้นเขาจึงเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากวัง
ครั้นออกจากวังมาได้เพียงครึ่งชั่วยาม บนถนนที่ไม่ไกลจากวังหลวงนัก เขาเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่
“ใต้เท้า เกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่ขอรับ” หยางจงเซิงเอ่ย
ลู่ฉาวอวี่ควบม้าเข้าไป มองดูรถม้าคันนั้นภายใต้แสงจันทร์ นิ้วสัมผัสลงบนร่องรอยกระบี่ที่เหลืออยู่บนรถม้า
“นี่เป็นรถม้าสกุลฉี” จางอี้ชี้สัญลักษณ์บนรถม้าแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ใต้เท้าฉีเซียวไม่ได้นั่งรถม้ามา หากแต่ขี่ม้าเข้าไปในวัง ใต้เท้าฉีเจินเป็นแม่ทัพ ย่อมชอบขี่ม้าเช่นกัน ทว่าภรรยากับลูกสาวของเขาใช้รถม้า”
“ดังนั้น นี่เป็นรถม้าที่ฮูหยินฉีกับคุณหนูฉีนั่งมาหรือ?”
“ขอรับ”
“ที่นี่เกิดการต่อสู้กัน ฮูหยินฉีกับคุณหนูฉีไม่มีวรยุทธ์ ดังนั้นฝ่ายหนึ่งที่ต่อสู้คงเป็นผู้คุ้มกันสกุลฉี ไปตรวจสอบรอบ ๆ ดูว่ามีเบาะแสใดหรือไม่ ลู่เจี๋ย เจ้าไปสอบถามสถานการณ์ทางสกุลฉี”
ลู่เจี๋ยห้อตะบึงม้าไปยังสกุลฉี
ขณะที่ลู่เจี๋ยไปสอบถามข่าวคราว ลู่ฉาวอวี่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นกัน
ไม่นานนัก หยางจงเซิงกับจางอี้ก็นำเบาะแสใหม่กลับมา
“ดูท่าจะถูกลักพาตัวไปแล้วขอรับ”
“บนพื้นมีผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นปักอักษร ‘อี้’ หากข้าน้อยจำไม่ผิด ในชื่อคุณหนูฉีก็มีคำว่า ‘อี้’”
“ไปสำรวจอีกรอบ”
“ขอรับ”
ลู่เจี๋ยกลับมาแล้ว เขากลับมาพร้อมคนสนิทข้างกายฉีเจินผู้หนึ่ง
คนสนิทเอ่ยว่า “ใต้เท้าเมาแล้ว กำลังพักผ่อน อย่างไรก็ปลุกไม่ตื่นขอรับ ใต้เท้าลู่ ฮูหยินกับคุณหนูของเรายังไม่ได้กลับจวน หากท่านมีเบาะแส รบกวนช่วยพวกเขาค้นหา หากใต้เท้าของเราตื่นขึ้นมา จะต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก”
“ใต้เท้าของพวกเจ้าไม่ได้กลับจวนกับฮูหยินและคุณหนูหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยถาม
“ใต้เท้าอยู่ในสนามรบมาหลายปี ทิ้งโรคเก่าเอาไว้ ทุกคราที่ดื่มสุราล้วนเมาง่าย ด้วยเหตุนี้ ฮูหยินจึงสั่งให้พวกข้าน้อยคุ้มครองใต้เท้ากลับไปพักผ่อนที่จวน เดิมทีวันนี้ผู้คุ้มกันที่คุ้มครองฮูหยินกับคุณหนูก็มีหลายสิบคน ไม่นึกว่าจะมีผู้ใดลงมือกับพวกนางจริง ๆ”
“ที่เกิดเหตุยังพอมีเบาะแสหลงเหลืออยู่ เช่นนั้นพวกเราตามเบาะแสนี้ไปค้นหาเถอะ!”
“ขอรับ”
ลู่ฉาวอวี่เรียกลูกน้องมาคนหนึ่ง ให้เขากลับจวนลู่ไปบอกพ่อบ้านสักเที่ยวว่าเขาจัดการคดีอยู่ที่สำนักตรวจการ วันนี้ไม่กลับไปแล้ว
พ่อบ้านนั้นแน่นอนว่าไม่ได้สนใจว่าเขาจะกลับไปเมื่อใด ทว่ามู่ซืออวี่รู้สึกไม่พอใจเรื่องที่นับวันลูกชายยิ่งกลับจวนช้าลงเรื่อย ๆ จึงบ่นเขาอยู่บ่อยครั้ง ข่าวนี้ส่งข่าวไปบอกนางเพื่อไม่ให้นางเป็นห่วงอีก
เมื่อมู่ซืออวี่กลับมาถึงจวนลู่ก็ไม่ได้กลับไปอาบน้ำพักผ่อน หากแต่คอยเฝ้าดูหลาน รอให้พวกเขาหลับ ถึงได้เดินกลับไปที่ห้องนอนของตน
พ่อบ้านเพิ่งได้ยินลูกน้องของลู่ฉาวอวี่ที่กลับมารายงานพอดี
มู่ซืออวี่เห็นพ่อบ้านกำลังสั่งให้บ่าวรับใช้ไปปิดประตู
“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม
พ่อบ้านกล่าวตอบ “คุณชายใหญ่บอกว่าวันนี้เขาทำงานอยู่ที่สำนักตรวจการ ไม่กลับมาแล้วขอรับ”
มู่ซืออวี่ส่ายหน้า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ การโหมจัดการคดีเช่นนี้เหมือนกับพ่อเขาตอนยังหนุ่มแน่นยิ่งนัก”
ลู่ฉาวอวี่เทียบกับลู่อี้แล้วยังโหมงานหนักยิ่งกว่า
อย่างน้อยลู่อี้ก็ยังนึกถึงภรรยากับลูก ไม่ว่ายุ่งหรือเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ต้องกลับมา นอกเสียจากเขาจะไปทำธุระนอกเมืองหลวง อย่างไรก็ไม่นอนค้างคืนอยู่ข้างนอก
ลู่ฉาวอวี่เป็นชายโสดผู้หนึ่ง ไม่มีภรรยาและลูกรอคอย แน่นอนว่าอยากกลับมาเมื่อใดก็กลับมาเมื่อนั้น อย่างไรเสียพ่อแม่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง
“คุณชายใหญ่เป็นความสบายใจของราษฎรขอรับ ผู้คนต่างกล่าวกันว่า เมืองหลวงมีคุณชายใหญ่ หลายปีมานี้คดีจึงน้อยลงเรื่อย ๆ แล้ว”
“เจ้าไม่ต้องกล่าวคำพูดดี ๆ แทนเขา” มู่ซืออวี่เอ่ย
ลู่ฉาวอวี่ไม่กลับมาจนกระทั่งรุ่งสาง
ตอนที่เขากลับมา ใบหน้านั้นดูเหนื่อยล้ายิ่ง
มู่ซืออวี่กำลังเล่นอยู่กับหลานชายหลานสาวอยู่ในสวน เมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่ที่ราวกับถูกดูดเรี่ยวแรงไปหมดสิ้น จึงเอ่ยขึ้น “เจ้ายุ่งกับการจัดการคดีนี้ทั้งคืนเลยหรือ?”
ลู่ฉาวอวี่คำนับนาง แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินฉีกับคุณหนูเจอโจรขอรับ คนพวกนั้นเจ้าแผนการยิ่ง พวกเราค้นหาทั้งคืน สุดท้ายจึงช่วยคนออกมาได้”
“ฮูหยินฉีคือ… ฮูหยินบ้านฉีเจินหรือ?”
ในเมืองหลวงมีคนแซ่ฉีเป็นจำนวนมาก ลู่ฉาวอวี่กล่าวเช่นนั้น นางก็ไม่แน่ใจว่าใช่ฉู่หนิงจูกับลูกหรือไม่
“เป็นพวกนาง”
“โจรพวกใดกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้ขอรับ” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “หมู่นี้มีคนกลุ่มหนึ่งที่มักจะขัดแข้งขัดขาพวกเราสำนักตรวจการอยู่เสมอ ข้ารับตำแหน่งนี้ ล่วงเกินคนไปมากมาย ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นคนพวกใด?”
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?” มู่ซืออวี่มองเขาอย่างกังวล “ได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าคุณหนูฉีขวางอาวุธลับให้ข้า ตอนนี้จึงบาดเจ็บแล้ว”
สิ่งสำคัญที่สุดคืออาวุธลับนั้นเคลือบพิษ
อาวุธลับนั้นแทงพลาดไป จึงเฉียดผ่านแก้มนาง หากไม่หาหนทางรักษา เกรงว่าจะเสียโฉม
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้กลับมาเพื่อพักผ่อน หากแต่มาเปลี่ยนเสื้อผ้า ชะล้างร่างกาย และยังต้องไปที่บ้านฉีเจินเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
แน่นอนว่า เขาได้สั่งให้หมอหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดหลายคนจากสำนักหมอหลวงไปรักษาฉีซืออี้แล้ว
“เจ้าทำงานของเจ้าไปเถอะ ข้าจะไปดูที่สกุลฉีสักหน่อย” มู่ซืออวี่เอ่ย “คุณหนูฉีผู้นั้น เพื่อช่วยเจ้าจึงได้รับบาดเจ็บ ข้าต้องไปเยี่ยมสักครา”
ลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากขึ้น “ท่านแม่ ข้าจะไปกับท่าน”
“เจ้าก็ไม่ต้องไปแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้ารั้งอยู่ที่บ้านดูแลลูกเถิด”
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “ข้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูฉี นางได้รับบาดเจ็บ ข้ายังพูดคุยกับนางได้สองสามคำ หากท่านแม่ไป คุณหนูฉีอาจรู้สึกทำตัวไม่ถูก ข้าไปกับท่าน ท่านพูดคุยกับฮูหยินฉี ข้าจะได้พูดคุยกับคุณหนูฉี”
“เช่นนั้นก็ได้”