ตอนที่ 314 พวกเจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน
สิ้นเสียงมิเพียงนักพรตฉางเสวียนเท่านั้นที่มีสีหน้าเปลี่ยน แม้แต่เย่ฉางชิงเองก็อดที่จะตกตะลึงมิได้
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่เขาบอกว่า อีกทั้งข้าเป็นคนปล่อยนางออกมาเอง !
เย่ฉางชิงมิได้ตั้งใจจะพูดเช่นนั้นออกมาจริง ๆ นะ
เดิมที่เขาแค่ต้องการจะบอกว่า เวลานี้เจ้าคงจะทราบแล้วใช่หรือไม่ ?
บางทีเขาอาจจะรีบร้อนพูดเกินไปหน่อย
ผลสุดท้ายกลายเป็นบอกว่าตัวเขาเองนั้น คือต้นเหตุของศึกใหญ่ระหว่างลัทธิเต๋าและฝ่ายมารไปเสียแล้ว
แต่ในเมื่อพูดออกไปแล้ว เย่ฉางชิงก็มิคิดที่จะกลับคำอีก
กลับกันคำพูดเช่นนี้แม้จะทำให้เขากลายเป็นตัวต้นเหตุ แต่ความน่าตกใจของประโยคนี้ ช่างสมกับท่านบรรพจารย์เย่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนยิ่งนัก
อีกอย่างเขารู้ดีว่า เวลานี้หากเขาเผยพิรุธใด ๆ ออกไปแล้วล่ะก็ มิแน่เจ้าสำนักไท่เสวียนเพียงแค่ตบเขาหนึ่งที เขาอาจจะกลายเป็นเนื้อบดไปเลยก็ได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นักพรตฉางเสวียนที่ยังคงก้มหน้าอยู่กับพื้นก็เอ่ยขึ้นด้วยความสั่นเทาอีกครั้ง
“ท่านบรรพจารย์เย่ ศิษย์สำนึกผิดแล้ว ขอท่านได้โปรดลงโทษศิษย์ด้วยขอรับ”
เย่ฉางชิงพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ อีกครั้ง จากนั้นจึงโบกมือไปมา พร้อมเอ่ยเสียงเรียบว่า “ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว เรื่องของฝ่ายมาร ข้าจะตัดสินใจเอง”
สิ้นเสียงนักพรตฉางเสวียนก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เหลือบมองเย่ฉางชิงด้วยความหวาดหวั่น
“ศิษย์ทราบแล้ว ศิษย์จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
นักพรตฉางเสวียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะโค้งตัวลงแล้วเดินถอยหลังไปจนถึงประตูอย่างระมัดระวัง
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ มิว่าท่านบรรพจารย์เย่จะพูดอะไร เขาก็สมควรจากไปได้แล้ว
มิเช่นนั้นหากท่านบรรพจารย์เย่โมโหขึ้นมาจริง ๆ เขาเองก็มิกล้าที่จะคาดเดาผลลัพธ์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านบรรพจารย์เย่ก็ยังได้ให้สัญญาแล้วด้วย ว่าจะเป็นคนจัดการเรื่องด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกันนั้น ตู๋กูชิงเฟิงที่ยืนอยู่เพียงลำพัง ณ ชายแดนของเมืองเสี่ยวฉือ
เดิมทีนางคิดที่จะรีบไปยังที่ตั้งของกองทัพมารในเวลานี้ เพื่อทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับนักพรตฉางเสวียน
แต่ระหว่างทางที่เดินมาจู่ ๆ นางก็รู้สึกสงสัย อยากจะรู้ว่าเย่ฉางชิงจะตอบนักพรตฉางเสวียน และลัทธิเต๋าแห่งจงหยวนเช่นไร ?
เช่นนั้นนางจึงได้ใช้เคล็ดวิชาโบราณ บวกกับความแตกฉานในวิถีดนตรี แอบฟังการสนทนาระหว่างนักพรตฉางเสวียนและเย่ฉางชิงอย่างเงียบ ๆ
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เมื่อเย่ฉางชิงเอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา
นางที่รู้ความจริงอยู่ก่อนแล้ว ทว่าก็ยังอดมิได้ที่จะใจสั่นสะท้านขึ้นมา ความอบอุ่นพลันไหลเวียนไปทั่วทั้งกาย
ทันใดนั้น ริมฝีปากเรียวบางของจักรพรรดิมารผู้มีนิสัยเด็ดขาดก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นกลับเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างห้ามมิได้
“ฉางชิง ขอบใจนะ”
สิ้นเสียงร่างที่สวมอาภรณ์สีม่วง พลันทะยานขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือในทันที
……………………………….
และเวลานี้เมืองโบราณหลายแห่งทางตอนเหนือของจงหยวนได้ถูกกองทัพมารยึดครองเอาไว้หมดแล้ว
แต่จนถึงวันนี้ก็ยังคงไร้ข่าวคราวของจักรพรรดิมาร
เช่นนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน หัวหน้าของเผ่ามารต่าง ๆ จึงได้ประชุมหารือ และตัดสินใจว่าจะพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองโบราณเหล่านี้ก่อน รอท่านจักรพรรดิกลับมาค่อยวางแผนกันใหม่อีกครั้ง
ณ เมืองโบราณที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของจงหยวน
เมืองศิลาสวรรค์
เมื่อทอดสายตามองออกไป จะเห็นกลุ่มควันหนาทึบลอยขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่องจากภายในเมืองศิลาสวรรค์
ขณะเดียวกัน ภายในเมืองเปลวเพลิงยังคงลุกโชนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า เสียงคร่ำครวญอันเจ็บปวดและสิ้นหวังมากมายดังขึ้นอย่างมิขาดสาย
เวลานี้ผู้แข็งแกร่งระดับจอมมารมิกี่ตนที่มีชีวิตรอดมาได้กำลังอยู่บนกำแพงเมือง
บ้างก็ยืนเอามือไพล่หลัง มองไปยังดินแดนทางเหนืออันมิมีที่สิ้นสุด
บ้างก็นั่งอยู่บนพื้น โดยพิงหลังอยู่กับเสาของหอคอย ดวงตาของพวกเขาปิดลงเล็กน้อย
ส่วนบางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้เอน ข้างกายมีมนุษย์ผู้หญิงสีหน้าซีดเผือดและท่าทางมิเต็มใจหลายคน คอยปรนนิบัติด้วยความหวาดแวง…
ตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าที่หัวขาวโพลนและสวมชุดคลุมสีดำ ก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาเป็นคนแรก
“ทุกท่าน พวกท่านเคยคิดหรือไม่ว่าหากท่านจักรพรรดิกลับมา แล้วมิยอมให้เผ่าต่าง ๆ ของเรายึดครองจงหยวนทั้งหมด พวกเราควรทำเช่นไรต่อดี ? ”
สิ้นเสียง บุรุษร่างผอมที่มองออกไปด้านนอกก็ถอนสายตากลับมา พลางหันกลับมาเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เพื่อจะได้เข้ามาในจงหยวน ปีศาจเผ่าต่าง ๆ ของพวกเราต้องต่อสู้กับลัทธิเต๋าอยู่หลายวัน บาดเจ็บล้มตายไปเกือบสามแสนตน บัญชีแค้นครานี้คิดว่าควรจะทำเช่นไรเล่า ? ”
หญิงชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอนก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาประหลาดสีแดงสดคู่นั้น ก่อนนางแสยะยิ้มออกมา “ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกันกับจอมมารในชุดโลหิต”
“บัญชีแค้นครานี้จะต้องชำระความกับพวกมนุษย์ให้สิ้นซาก มิเช่นนั้นจะอธิบายกับคนในเผ่าต่าง ๆ ของเราได้เยี่ยงไรกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียง
“มิเพียงเท่านั้น ! ”
จอมมารที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมกว่าผู้ใดก็ส่งเสียงหัวเราะที่อำมหิตออกมา พร้อมกับเอ่ยต่อว่า “ข้ามองว่าควรจะขับไล่พวกมนุษย์ไปอยู่ในดินแดนหนาวเหน็บที่แดนรกร้างทางเหนือเหมือนกับพวกเราก่อนหน้านี้”
“แล้วพวกเราก็สร้างกำแพงหมื่นลี้ขึ้นมาใหม่ และวางค่ายกลสังหารเอาไว้ที่แดนเหนือ ให้พวกมนุษย์ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งนั้นไปตลอดกาล”
“จอมมารเขาทองพูดถูก ทำลายรากฐานของลัทธิเต๋าในจงหยวนลงเสีย จากนั้นก็ขับไล่พวกมนุษย์ไปอยู่ในดินแดนอันหนาวเหน็บและยากลำบาก แล้วก็สร้างกำแพงหมื่นลี้ขึ้นมาขวางกั้น”
“จอมมารเขาทองพูดมามีเหตุผล แต่ข้ามองว่าทั้งหมดนี้รอให้ท่านจักรพรรดิกลับมาก่อนค่อยวางแผนกันจะดีกว่า”
“ต่อให้ท่านจักรพรรดิกลับมาแล้วเยี่ยงไรเล่า ข้าสาบานว่าครานี้ข้าจะให้พวกมนุษย์ต้องชดใช้ด้วยเลือดให้จงได้ ! ”
“ใช่แล้ว การล้างแค้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น มนุษย์ที่สังหารไปนับแสนคนระหว่างทางนั้นยังน้อยไป ! ”
“……”
“……”
จนเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ระหว่างที่จอมมารหลายตนกำลังปรึกษาหารือ เรื่องการยึดครองจงหยวนทั้งหมดอยู่นั้น
ร่างสีม่วงร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขาอย่างเงียบเชียบ ราวกับภูติผีก็มิปาน
เห็นได้ชัดว่าร่างนั้นก็คือตู๋กูชิงเฟิง ที่มาจากเมืองเสี่ยวฉือนั่นเอง
ทันใดนั้น บนกำแพงเมืองพลันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ในทันที มีเพียงภายในเมืองเท่านั้นที่ยังคงมีเสียงคร่ำครวญที่บีบคั้นหัวใจดังขึ้นมาเป็นระลอก
มิกี่อึดใจต่อมา จอมมารทั้งหลายก็ลอบสื่อสารกันทางสายตา จากนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้น
“ผู้น้อยคารวะท่านจักรพรรดิ”
ตู๋กูชิงเฟิงมิมีท่าทีแยแสใด ๆ นางเพียงแค่มองไปยังดินแดนทางเหนือด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“พวกเจ้าคงจะรู้ดีว่า ภายในกายของข้ามิเพียงมีสายเลือดของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังมีสายเลือดของมนุษย์ไหลเวียนอยู่ด้วย”
ตู๋กูชิงเฟิงยังคงมองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ พร้อมกับเอ่ยต่อด้วยเสียงเย็นเยียบ “อีกทั้งตอนนั้นข้ายังเคยบำเพ็ญเพียรอยู่ในสำนักเต๋าชั่วระยะเวลาหนึ่งอีกด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น เหล่าจอมมารก็สบตากัน แต่ละคนต่างงุนงงไปตาม ๆ กัน
ประวัติของท่านจักรพรรดิมีบันทึกอยู่ในตำราโบราณอยู่แล้ว
แต่เหตุใดนางต้องมาบอกเรื่องนี้แก่พวกเขาด้วยเล่า ?
ระหว่างที่เหล่าจอมมารกำลังบ่นพึมพำอยู่ในใจนั้น
“ที่พวกเจ้าพูดกันเมื่อครู่ ข้าล้วนได้ยินหมดแล้ว”
ตู๋กูชิงเฟิงเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ อีกครั้ง “แต่ข้าตัดสินใจแล้ว นับแต่นี้ต่อไปข้าจะมิขอยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องน้อยใหญ่ ระหว่างเผ่าศักดิ์สิทธิ์และลัทธิเต๋าอีก”
“ส่วนเรื่องพวกเจ้าจะยึดครองจงหยวนทั้งหมดนั้น นับแต่นี้ไปข้าก็จะมิขอแสดงความคิดเห็นใด ๆ เช่นกัน”
“แต่เห็นแก่ที่พวกเจ้าคอยปกป้องหุบเหวน้ำแข็งมาตลอด ข้าจะขอเตือนพวกเจ้าสักอย่างว่า จงหยวนมีผู้ที่มีพลังเหนือว่าข้าอยู่ นอกจากนี้ยังมีผู้ที่บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ที่เทียบได้กับระดับจักรพรรดิมารอยู่อีกด้วย”
ได้ยินเช่นนั้น เหล่าจอมมารพลันมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองหน้ากันในทันที
ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าที่มีตาที่สามอยู่หว่างคิ้วก็เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านจักรพรรดิ ผู้น้อยอยากฟังความคิดเห็นของท่านขอรับ”
ตู๋กูชิงเฟิงถอนสายตากลับมา พร้อมกวาดตามองพวกเขา “กลับไปอยู่ยังดินแดนบรรพบุรุษของเผ่าศักดิ์สิทธิ์ และทำข้อตกลงกับมนุษย์ซะว่านับแต่นี้ไป ทั้งสองเผ่าจะมิบุกรุกดินแดนของกันและกันอีก”
สิ้นเสียง จอมมารที่ถูกขนานนามว่าจอมมารเขาทอง ก็เอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวดและเคียดแค้น “ท่านจักรพรรดิ ผู้น้อยมิเข้าใจ เหตุใดท่านต้องทิ้งเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเราไปด้วยขอรับ ? ”
มุมปากของตู๋กูชิงเฟิงค่อย ๆ โค้งขึ้น พร้อมส่ายหน้าไปมาอย่างครุ่นคิด
“พวกเจ้าเพียงแค่ต้องจำเอาไว้ว่า นับตั้งแต่สมัยบรรพกาล หลังจากที่ลัทธิเต๋าของพวกมนุษย์ผงาดขึ้นมา ลัทธิเต๋าหาได้อ่อนแออย่างเช่นที่พวกเจ้าคิดเอาไว้ไม่”
“พวกเจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
สิ้นเสียง ร่างของตู๋กูชิงเฟิงก็ค่อย ๆ เลือนลางลง
เพียงชั่วอึดใจ ร่างทั้งร่างก็ราวกับหายไปในอากาศ