เพรียกขานครึ่งเทพทั้งหมด? หรือว่าพระแม่ธรณีจะมีชีวิตอยู่จริงๆ ฉินมู่รู้สึกไม่สบายใจ
ในแดนก่อกำเนิด หรือแดนพิภพเมื่อครั้งอดีต ได้อยู่ในสภาวะถูกปิดผนึกเป็นเวลาเนิ่นนาน มันเหมือนกับพัดจีบที่ถูกพับทบเอาไว้ และบัดนี้เมื่อเวทปิดผนึกคลายออกไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีครึ่งเทพเผยโฉมออกมามากมายแค่ไหน
ด้วยผู้นำที่ทรงพลังอำนาจอย่างพระแม่ธรณี จะเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบใดต่อแดนโบราณวินาศและสันตินิรันดร์กันนะ
พุทธเจ้าท้าวสักกะไม่รู้อะไรสักอย่าง ในช่วงยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง พระแม่ธรณีได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ไม่มีซากโบราณสถานใดในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งอันเกี่ยวข้องกับพระแม่ธรณี แม้แต่บันทึกและตำนานทั้งหลายก็มิได้ถูกถ่ายทอดสืบมา
เมื่อมาถึงยุคสมัยสันตินิรันดร์ ความเข้าใจของพวกเขาที่มีต่อเทพบรรพกาลตนนี้ก็โล่งว่างเหมือนกระดาษขาวดีๆ นี่เอง
ฉินมู่นั้นก็เพียงแต่ได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับพระแม่ธรณีจากเทพสรรพชีวิตและภูติบดี ส่วนว่าธรรมชาติสันดานของเทพบรรพกาลตนนี้ ทัศนคติของนางที่มีต่อเผ่ามนุษย์ เขาไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยสักอย่าง
แม้ว่าเทพสรรพชีวิตจะบอกกับเขาว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งนั้นเกี่ยวข้องกับพระแม่ธรณี จักรพรรดิสูงส่งก็ยังถูกแยกออกเป็นฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ สภาสวรรค์จักรพรรดิสูงส่งใดล่ะที่พระแม่ธรณีให้การสนับสนุน
และใครที่สนับสนุนสภาสวรรค์จักรพรรดิสูงส่งฝ่ายตรงข้าม
ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งยาวนานสามแสนปี ไฉนยุคสมัยดังกล่าวนี้จึงยืนยาวนัก
“ในเรื่องของพระแม่ธรณี เจ้ารู้อะไรบ้าง” ฉินมู่ถามครึ่งเทพกิเลนวารีด้วยสีหน้าชื่นมื่น
กิเลนวารีรีบกล่าว “ข้าไม่เคยเข้าพบพระแม่ธรณีมาก่อน ข้าสัมผัสได้ก็แต่การเพรียกขานของนาง”
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามต่อไป “ถ้าอย่างนั้น เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งหรือไม่ เจ้ารู้มากแค่ไหนเกี่ยวกับยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง”
กิเลนวารีมิอาจขยับเขยื้อนจากแรงกดทับ และเขาก็กล่าว “เมื่อข้าเกิดขึ้นมา ยุคสมัยก็ตกอยู่ท่ามกลางสงครามแล้ว ข้าได้ยินว่าสภาสวรรค์นอกโลกเข้าโจมตี และหมายที่จะสังหารพระแม่ธรณี ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้านั้นก็ไม่ชัดเจนนัก ศักดิ์ฐานะของข้ามิได้สูงส่ง…”
ฉินมู่พยายามแย้มยิ้มพิมพ์ใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้และเอ่ยถาม “เจ้ายินดีที่จะติดตามรับใช้น้องชายที่นับถือของข้า หลันอวี้เถียนหรือไม่”
กิเลนวารีถามอย่างระแวดระวัง “หากว่าข้าไม่ตกลงจะติดตามรับใช้เขาจะเป็นอย่างไร”
“เจ้าก็จะขึ้นโต๊ะอาหารเป็นอาหารเย็น”
กิเลนวารีนั้นจึงตอบไปอย่างมั่นเหมาะ “ข้ายินดีที่จะบุกบ่าฝ่าฟันในฐานะสัตว์ขี่ของเขา!”
ฉินมู่บอกวิญญูชนสวรรค์อวี้ “น้องชายที่นับถือ กิเลนวารีตนนี้จะเป็นพาหนะของเจ้า ข้าเองก็มีกิเลนมังกรตนหนึ่ง ครึ่งเทพชนิดนี้กินมากมายยิ่งนัก และพวกเขาก็ยังตะกละเป็นอย่างยิ่ง เจ้าจะต้องเรียนรู้วิธีการหลอมปรุงยาวิญญาณหลายๆ ชนิด เมื่อเจ้าเรียนอักษรรูนพุทธพื้นฐานเสร็จแล้ว ข้าก็จะสอนวิธีการหลอมปรุงให้กับเจ้า”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ปาดน้ำลายตนเอง และเขาถามด้วยความลังเล “ข้ายังต้องป้อนอาหารเขาด้วยหรือ ก็จับเขามากินเสียจะไม่ง่ายกว่าหรือ”
ฉินมู่ปวดร้าวหัวใจ เขาให้กิเลนวารีสาบานตนต่อฉินเฟิงชิงและกระทำสัตยาบันภูติบดีน้อย “อย่าคิดแม้แต่จะทรยศเขา หากว่าเจ้าทรยศเขา พี่ชายของข้าจะมาปรากฏตัวตรงหน้าและจับเจ้ากินเสีย!”
ในแผ่นดินรูปตัวฉิน ทารกหัวโตผู้ซึ่งกำลังทุบตีภูติบดีอยู่ ก็พลันรู้สึกถึงสัตยาบันที่มันม้วนพันรอบกายของเขา และรู้สึกฉงนฉงาย
ภูติบดีคลานลุกขึ้นมาและได้ผนึกร่างลาวากลับคืนเดิม “นี่คือสัตยาบันดวงวิญญาณ เจ้านั้นนับได้ว่าเป็นน้องชายของข้า ดังนั้นคนอื่นๆ ก็สามารถสาบานต่อเจ้าได้เช่นกัน หากว่าพวกเขาฝ่าฝืนคำสาบาน เจ้าก็จะสามารถดูดกลืนจิตวิญญาณดั้งเดิมของบุคคลผู้นั้น!”
ทารกหัวโตลิงโลดดีใจ และเขาก็ไต่ถามอย่างจริงใจ “หรือว่านี่คือวิธีที่เจ้าได้กินจนกระทั่งแข็งแกร่งขนาดนี้”
ฉินมู่สลายขุนเขาห้าดรรชนีสนามแม่เหล็ก และกิเลนวารีก็ปีนไต่ขึ้นมาจากหลุมใหญ่ เขามองไปยังหลันอวี้เถียนผู้โง่งมและคิดอยู่ในใจ ข้าเคยได้ยินก็แต่สัตยาบันภูติบดี สัตยาบันภูติบดีน้อยมันคืออะไรกัน เขานั้นคงคิดจะหลอกข้าเสียมากกว่า เมื่อพวกเขาปล่อยวางการป้องกันลงไป ข้าก็จะกลืนกินเด็กหนุ่มนี่เสียแล้วก็วิ่งหนีไป พวกเขาไม่มีทางจับตัวข้าได้…
เมื่อเขาคิดมาถึงตรงนี้ ความมืดก็บดบังสายตาของเขาทั้งหมด
ศีรษะใหญ่มหึมาปรากฏขึ้นมาในความมืด ปากของเขาอ้ากว้างและเต็มไปด้วยเขี้ยวคมประดุจมีดโกน ส่วนตัวเขานั้นกลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อยอย่างไร้ปานเปรียบ และเขาก็เริ่มตัวสั่นระริกเบื้องหน้าศีรษะมหึมานั้น!
ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงทุ้มลึกดังมาจากความมืด “เจ้ายังกินเขาไม่ได้ เขาเพียงแค่คิดและยังไม่ได้ลงมือกระทำ มีก็ต่อเมื่อเขาลงมือกระทำการเท่านั้น เข้าถึงจะสามารถกินเขา”
ศีรษะใหญ่โตนั้นพึมพำ “ขนาดเขาคิดจะทำข้าก็ยังกินเขาไม่ได้หรือ ข้าคิดว่าข้าเริ่มกินได้เลยตอนที่เขาคิดเสียอีก…”
“ภูติบดีจะต้องมีกฎของภูติบดี”
เสียงทุ้มลึกในความมืดชี้แนะเขา “หากว่าเจ้าไม่กระทำตามกฎและสักแต่ว่ากินไป คราวหน้าใครมันจะอยากไปหาเจ้าเพื่อทำสัตยาบันล่ะ ดูข้าสิ ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่เสาะหาข้าเมื่อกระทำสัตยาบัน และล้วนแต่สบถสาบานต่อข้า แต่ทว่า มีผู้คนมากมายที่ละเมิดสัตยาบันและกลายเป็นอาหารของข้า ข้ากระทำเรื่องราวอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่มาเสาะหาข้า หากว่าข้ากินโดยไม่สนใจอะไร คนอื่นๆ ก็จะไม่ส่งตัวพวกเขามาให้ถึงหน้าประตูบ้าน”
ดวงตาทั้งสามของหัวอันใหญ่โตนั้นกะพริบปริบๆ และเขากล่าวด้วยความรื่นเริง “ที่แท้เหตุผลก็เป็นอย่างนี้! ข้าเข้าใจแล้ว เมื่อกระทำเรื่องราวอย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ก็จะมีผู้คนมากมายส่งตัวพวกเขามาให้กิน! เยี่ยม เยี่ยม นี่คือความคิดที่เยี่ยมมาก…แต่อย่างน้อยให้ข้าเลียเขาสักหน่อยก็คงได้ ใช่ไหม”
“เจ้าทำไม่ได้ เขาตกใจจนเกือบจะตายเพราะเจ้าอยู่แล้ว”
“เลียทีเดียวเอง!”
“อย่าสิ! คิดถึงผลประโยชน์ที่จะไหลมาเทมาเข้าไว้!”
…
ความมืดตรงหน้ากิเลนวารีจางหายไป และตัวเขาก็โซมไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ เขารีบไปเป็นสัตว์ขี่ของวิญญูชนสวรรค์อวี้อย่างเชื่องเชื่อ แลเขาก็คิดอยู่ในใจ สัตยาบันภูติบดีน้อยนี้อันตรายเสียยิ่งกว่าสัตยาบันภูติบดี! อย่างน้อยสัตยาบันภูติบดีก็ยึดตามเหตุผล ขณะที่สัตยาบันภูติบดีน้อยนี้ขึ้นกับอารมณ์ของภูติบดีน้อย หากว่าเขาสุขใจ ข้าก็จะถูกกิน หากเขาทุกข์ใจ ข้าก็จะถูกกินเหมือนกัน…
ฉินมู่มองไปข้างหน้าและคิดในใจ ทิศทางที่ครึ่งเทพเหล่านั้นมุ่งหน้าไป ดูเหมือนว่าจะใกล้กับโลกสู้วัว
พวกเขาเร่งรุดเดินทางต่อ และด้วยมีกิเลนวารี ความเร็วของทุกคนจึงเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างยิ่งยวด พุทธเจ้าท้าวสักกะยังคงสอนความรู้ลัทธิพุทธให้แก่วิญญูชนสวรรค์อวี้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กิเลนวารีรับฟังอยู่ข้างๆ เขาแตกตื่นใจ หัวโล้นหนุ่มผู้นี้มีความรู้อันลึกล้ำและลึกซึ้ง การสอนบรรยายวิชาพุทธของเขาทั้งแจ่มชัดและมีเหตุมีผล ทำให้ง่ายที่จะเข้าใจแต่กระนั้นก็ยังแฝงไว้ด้วยหลักเหตุผลอันลึกล้ำ เขานั้นอาจจะเป็นสุดยอดฝีมือ! และดูข้าสิ ดันไปคิดที่จะกินพวกเขา ดูเหมือนว่าข้าจะลำพองใจมากเกินไป!
ความเร็วของกิเลนวารีนั้นรวดเร็วนัก และไม่ด้อยไปกว่ากิเลนมังกรเลย แต่แม้จะมีกิเลนวารีเป็นพาหนะ พวกเขาก็ยังใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนกว่าจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ ของครูบาสวรรค์วิชาบู๊
ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ได้พบเจอกับครึ่งเทพจำนวนมากที่เร่งรุดไปตามเส้นทาง ครึ่งเทพบางตนก็หันมาโจมตีพวกเขา
ถ้าเป็นเพียงสัตว์ร้ายทั่วไป ฉินมู่ก็สกัดเอาไว้ได้ แต่ครึ่งเทพเหล่านี้มีวรยุทธที่แตกต่างกันไป และมีแม้กระทั่งที่แข็งแกร่งกว่าเทพเที่ยงแท้ และพวกเขาถึงกับพบครึ่งเทพที่เก่งกาจเทียบเท่ากับยอดฝีมือขั้นตำหนักชิดฟ้า!
รัศมีของเขาทำให้ท้องฟ้าบิดเบี้ยวจากแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมหันต์!
ครึ่งเทพตนนั้นเห็นวิญญูชนสวรรค์อวี้บังอาจขี่อยู่บนหลังกิเลนวารี และขณะที่เขากำลังจะระเบิดโทสะนั่นเอง พุทธเจ้าท้าวสักกะก็ปลดปล่อยรัศมีของตนออกมาอย่างเต็มพิกัด นั่นจึงทำให้ครึ่งเทพเต็มวัยตนนั้นแตกตื่นหนีไป
มีก็แต่ตอนนี้ที่กิเลนวารีได้รู้ว่า ‘หัวโล้นหนุ่ม’ ข้างๆ เขานั้นน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน และเขาก็หวนคิดกลับไปด้วยความอกสั่นขวัญแขวน
ในระหว่างการเดินทาง ฉินมู่และคณะก็ได้เห็นหมู่บ้านเล็กๆ หลายแห่งถูกทำลายย่อยยับ พวกมันคือหมู่บ้านแห่งแดนโบราณวินาศที่ถูกครึ่งเทพทำลายล้าง ชายบ้านทั้งหลายถูกครึ่งเทพจับกิน และไม่หลงเหลือแม้ซากสังขาร
ฉินมู่ขมวดคิ้วและสูดลมหายใจลึก
แต่ทว่าเขาก็ได้พบกับหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ หลายแห่งที่ไม่ถูกพวกครึ่งเทพทำลาย
ฉินมู่ถามไถ่ และชาวบ้านคนหนึ่งก็กล่าว “รูปสลักหินในหมู่บ้านจู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมามีชีวิตและประหารสัตว์ประหลาดพวกนั้นที่มาก่อความวุ่นวาย หลังจากที่ประหารสัตว์ประหลาดพวกนั้น พวกเขาก็กลับไปเป็นรูปสลักหินดังเดิม”
ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าท้าวยมราชแห่งยมโลกได้มีการตอบสนองรับมือ และอนุญาตให้เทพเจ้าแห่งยมโลกกลับคืนมายังกายเนื้อของพวกเขาเพื่อปกป้องพิทักษ์ผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก ด้วยการปกป้องคุ้มครองของทวยเทพแห่งแดนยมโลก ผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศก็น่าจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้
ทวยเทพแห่งแดนยมนั้นหลงเหลือเอาไว้โดยจักรพรรดิก่อตั้ง เมื่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกทำลายล้าง เทพเจ้าแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้งก็ได้แปลงกายไปเป็นรูปสลักหินในแดนโบราณวินาศ ขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาเข้าไปพำนักในยมโลก เฝ้ารอวันที่พวกเขาจะสามารถหวนคืนมาต่อสู้ใหม่อีกหน
รูปสลักหินของพวกเขาก็ยังได้กลายเป็นความหวังหนึ่งเดียวของผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศที่จะต่อสู้กับการรุกรานของความมืดอีก
ในคราวนี้ ด้วยการฟื้นคืนชีพขึ้นมาของรูปสลักหิน ชาวบ้านเกือบจะทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครอง เว้นก็แต่ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับครึ่งเทพโตเต็มวัย
กำลังฝีมือของครึ่งเทพเต็มวัยนั้นน่าสยดสยองจนเกินไป
ทุ่งนาปรากฏให้พวกเขาเห็นในระยะสายตา และฉินมู่ก็ค่อยผ่อนคลายความกังวล เมื่อเห็นท้องทุ่งเหล่านี้ หมู่บ้านของครูบาสวรรค์วิชาบู๊ก็ไม่น่าจะอยู่ห่างไกล
ทุ่งนาก็ยังคงเป็นทุ่งนา และมันก็มีต้นหลิวใหญ่อยู่ข้างๆ ท้องทุ่ง ข้างใต้ต้นหลิวมีกิเลนมังกรนั่งอยู่ และเขาเองพิงกับต้นไม้ ขาหลังของเขาไขว้ขัดสมาธิ และก้นของเขาก็จุ้มปุ๊กอยู่กับดิน ขาหน้าของเขาคือกล้องยาสูบน้ำ และเขามองไปที่ทุ่งนาอย่างชืดชาไร้ชีวิต ก่อนที่จะก้มศีรษะลงไปดูดควันยาสูบเฮือกหนึ่ง เขาพ่นวงควันวงใหญ่
ฉินมู่มองไปจากที่ไกลๆ และเขาก็ลังเลสงสัย “นั่นคือหลงพีของข้าหรือ ดูเหมือนจะไม่ใช่…”
ภายใต้เงาร่มไม้ กิเลนมังกรยกอุ้งเท้าหน้าขึ้นมาเกาไปที่เกล็ดบนพุงของเขา ส่งเสียงแกรกๆ กรากๆ ข้างๆ เขาคือกาน้ำชาที่ชงชาชั้นเลวเอาไว้
กิเลนมังกรวางกล้องยาสูบและรินน้ำชาเข้มข้นให้กับตนเอง ก่อนที่จะดื่มเข้าไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
กิเลนมังกรมีรูปร่างอันไร้ไขมันและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แต่จิตวิญญาณของเขาดูจะตายซาก
พุทธเจ้าท้าวสักกะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าผู้ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้คือวัวตัวหนึ่งแทนที่จะเป็นกิเลนมังกร ข้าก็คงจะหันกายและวิ่งหนีไปในตอนนี้! ท่วงทีของกิเลนมังกรตนนี้ดูเหมือนกับวัวตัวนั้นไม่มีผิด! หากว่าวัวตัวนั้นอยู่ที่นี่ ก็หมายความว่าชาวนาก็อยู่ไม่ไกล เจ้าหมอนั่นมีแต่กล้ามเนื้อแทนที่มันสมอง และเอาแต่หงุดหงิดที่ข้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์”
กิเลนมังกรได้ยินเสียงและหันศีรษะมองมา ในดวงตาอันชืดชาแห้งแล้งของเขาไม่มีจุดมุ่งหมาย ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากเขามองเห็นฉินมู่ที่กำลังเดินเข้ามาได้ชัด เขาก็ตกตะลึง
น้ำตาหลั่งไหลจากดวงตาของเขา และเขาก็ร้องไห้โฮๆ “ข้าหิวเหลือเกิน…”
กิเลนวารีหันหัวไปมองกิเลนมังกรก่อนที่จะเผยสีหน้าหมิ่นแคลน “เจ้าหมอนี่ก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับข้า ทั้งยังมีความสามารถไม่ใช่น้อยด้วยอายุเยาว์ แต่ทำไมถึงไม่มีกระดูกสันหลังอะไรขนาดนี้! มันอะไรกันกับอีแค่ความหิว จับมนุษย์กินเอาสิ!”
ฉินมู่รีบนำยาวิญญาณออกมา และกิเลนมังกรก็รีบวางอ่างยักษ์ลงตรงหน้าเขา ฉินมู่เติมอ่างนั้นจนเต็มปริ่ม
กิเลนมังกรลิงโลดดีใจ และเขาก็น้ำลายไหลย้อยขณะที่จ้องมองไปยังยาวิญญาณก่ายกองเป็นภูเขาข้างในอ่าง ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากินหนึ่งเม็ดด้วยน้ำตาไหลอาบหน้า และเก็บงำที่เหลือทั้งหมดเอาไว้
“กินไปเถอะ กินไป”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คราวหน้า ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าเอาไว้นานขนาดนี้แล้ว”
“ท่านสาบานนะ!”
“ข้าสาบานเลย กินซะ กินไปเถอะ”
ในตอนนั้นเอง เสียงห้าวลึกก็ดังก้องมาด้วยความเย็นชา “เจ้าลักพาตัววัวของข้า และตอนนี้ก็ยังคิดจะลักพาตัวม้าของข้าไปอีก ต่อให้เจ้ามีแซ่ฉิน เจ้าก็ทำอะไรตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้!”
ฉินมู่มองไปยังที่มาของเสียง และเขาก็เห็นชาวนาจำนวนมากที่ยืนห้อมล้อมชาวนาเฒ่าคนหนึ่งอยู่ ขณะที่พวกเขากำลังเดินเข้ามายังข้างทุ่งนา ชาวนาเฒ่าผู้นี้มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวพลางตะโกนไป “เด็กแซ่ฉิน วัวของข้าอยู่ที่ไหน”
พุทธเจ้าท้าวสักกะสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบหันกายหมายจะวิ่งหนี แต่เมื่อชาวนาเฒ่ามองเห็นเขา เขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะตวาดไปกึกก้องประดุจอสุนีบาต “หลวงจีนมากรัก หลี่โยวหราน! ไอ้เวรตะไล! เจ้าวิ่งหนีไปเป็นพุทธเจ้าท้าวสักกะในระหว่างการศึกครั้งใหญ่! เตรียมรับสามหมัดจากข้า!”
ตูม–
คลื่นอันรุนแรงซัดกวาดมา และคลื่นระลอกแรกก็ซัดมาจากหนึ่งร้อยลี้ห่างออกไป ชาวนาคนอื่นๆ เหล่านั้นรีบเข้ามายังข้างๆ ฉินมู่เพื่อป้องกันแรงกระแทกจากคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวเพื่อมิให้ฉินมู่ได้รับบาดเจ็บ
แต่ทว่าคลื่นระลอกที่สองได้กวาดซัดมาจากหนึ่งพันลี้ห่างออกไปแล้ว มิติอวกาศบิดเบี้ยวและภูเขาก็ยืดยาวประดุจหางเปียที่ถูกบิดดึง
ไม่ทันที่มิติอวกาศอันบิดเบี้ยวจะฟื้นฟูกลับมา คลื่นกระแทกระลอกที่สามก็ได้กวาดวัดมาแล้ว ถัดจากนั้นมิติอวกาศก็สงบลงและค่อยๆ ผ่อนคลาย ภูเขาทั้งหลายก็คืนกลับมาเป็นปกติ
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างสงบราบคาบดีแล้ว”
ชาวนาเกือบจะทั้งหมดหัวเราะและกล่าว “สหายน้อยฉิน เจ้าเอาตัววัวของครูบาสวรรค์ไป และเขางอนอยู่พักใหญ่ เขากล่าวว่าเจ้านั้นทั้งน่าชัง ไร้ยางอาย และเชื่อถือไม่ได้ที่หลอกลวงเอาตัวศิษย์พี่หนิวซานตัวไป เจ้าค่อยไปอธิบายให้เขาฟังทีหลังและสะสางความเข้าใจผิดก็แล้วกัน”
ฉินมู่หัวใจบิดกระตุก “ข้าจะสามารถสะสางความเข้าใจผิดได้จริงๆ หรือ”
ทุกคนพาพวกเขากลับไปที่หมู่บ้านภูเขาเล็กๆ และก็พากันกล่าว “ครูบาสวรรค์นั้นเป็นผู้ที่พูดจาง่ายที่สุดแล้ว ไม่ต้องกังวลไป เพียงแค่ออกปากยอมรับความผิดของเจ้า ความโกรธของเขาก็จะบรรเทาลง”
เมื่อเขามายังตรงหน้าของหมู่บ้านภูเขา เสียงตึงดังสนั่นก็แล่นมา เมื่อชาวนาเฒ่ากระโจนลงมาเหยียบพื้น เขานั้นร่างเตี้ย แต่ก็ได้หิ้วตัวพุทธเจ้าท้าวสักกะมาด้วย อันมีใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว เขาสะบัดมือและเหวี่ยงพุทธเจ้าท้าวสักกะลงไปในท้องร่องน้ำครำก่อนที่จะตะโกนไป “ข้าจะตะบันหน้ามันทุกคนที่กล้าดึงเขาออกมา! เจ้าหมอนี้ กัดมือที่เลี้ยงดูเจ้า ไปสุมหัวอยู่กับหญิงนางหนึ่งท่ามกลางฝ่ายศัตรู!”
ฉินมู่ยืดคอไปมองดูยังท้องร่องน้ำครำและเห็นพุทธเจ้าท้าวสักกะนอนแผ่อยู่ข้างในนั้นด้วยสายตาอันหมดอาลัยตายอยาก
“เจ้าบอกว่า คนที่เจ้าจะมาพบไม่มีคนที่ข้ารู้จัก…”
เขาพึมพำ “นี่ไม่ใช่เป็นการเอาเท้าข้าไปแกว่งหาเสี้ยนหรอกหรือ…”
ฉินมู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และรีบโค้งคารวะแก่ชาวนาเฒ่า “ศิษย์พี่ซานตัวตอนนี้กำลังอยู่ในยมโลกเพื่อช่วยท้าวยมราชในการธำรงชะตาแห่งยมโลก! แม้ว่าศิษย์หลานจะมิได้เจตนาที่จะพาตัวศิษย์พี่ซานตัวไป แต่ศิษย์พี่ซานตัวนั้นมีแบบอย่างจากท่านและยืนกรานที่จะอยู่ในยมโลกต่อด้วยความจงรักภักดีและกล้าหาญ เขานั้นเป็นผู้ที่ล้ำเลิศด้วยเกียรติศักดิ์และความเที่ยงธรรมเหมือนอาจารย์ลุง! ด้วยเพราะเรื่องนี้ ศิษย์หลานมิใคร่จะสบายใจ จึงได้แต่มากล่าวขอขมาแก่อาจารย์ลุง!”
ชาวนาเฒ่าจ้องไปที่เขา และพลันคลี่ยิ้มออกมา เขาตบบ่าฉินมู่และหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “มีเรื่องอะไรจะต้องมาขอโทษขอโพยกันเล่า ศิษย์หลานที่ดีของข้า เข้ามาสิ”