ตอนที่ 363
เมื่อเจ้าภูเขาลู่ออกจากเขาน้อย ความเร็วของการขี่ลมเพิ่มขึ้นทันที ท่องเหินไปยังทิศทางซึ่งจี้หยวนจากไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าในใจมีความคิดว่าจะตามอาจารย์ทันหรือไม่ ต่อให้เขายังอยู่ก็แค่พูดอีกสองประโยค ก่อนแยกย้ายจากกันไป
น่าเสียดายว่าเรื่องราวไม่เป็นดั่งใจ ปลุกคนแกล้งหลับไม่ได้ฉันใด ตามคนเจตนาหลบเจ้าไม่ได้ฉันนั้น โดยเฉพาะผู้มีความสามารถมากกว่าเจ้า
บนมือมียันต์หยกว่างเปล่าที่ฉิวเฟิงแห่งเขาล้อมหยกมอบให้เป็นการส่วนตัว กอปรกับตัวจี้หยวนเจตนาปกปิดกลิ่นอาย ผู้ตามหาเขาเจอมีไม่มาก อย่างน้อยเจ้าภูเขาลู่ย่อมทำไม่ได้
ดังนั้นหลังจากตามหาอยู่นาน ตั้งแต่จังหวัดซีหนิงจนเกือบออกจากรัฐยังไม่เห็นจี้หยวน ในที่สุดเจ้าภูเขาลู่ก็ยอมแพ้ เริ่มขี่ลมย้อนกลับมา ถึงอย่างไรก็ยังมีธุระที่จังหวัดซีหนิง ใช่ว่าตัวเขาเองมีธุระ หากแต่เป็นธุระของภิกษุเจวี๋ยหมิง
กลางอากาศจี้หยวนมองเจ้าภูเขาลู่ห่างออกไป หยิบห่อใบไม้แห้งออกมาจากแขนเสื้อ ก้มหน้ามองพลางเปิดออกดู ภายในมีเก๋ากี้ตากแห้งประมาณหนึ่งกำ
เมื่อหยิบเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วเคี้ยว รสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ถือว่าอร่อยมาก
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ตรงทุ่งรกร้างนอกจังหวัดซีหนิง เจ้าภูเขาลู่โรยตัวลงจากฟ้าช้าๆ เมื่อเห็นว่าโดยรอบไม่มีใคร เขาอ้าปากพ่นลมออกมา กลายเป็นผีชางตนหนึ่งตรงหน้า เป็นภิกษุเจวี๋ยหมิงนั่นเอง
“สาธุพระวิทยาราช นี่คือร่างวิญญาณหรือ…”
ภิกษุเจวี๋ยหมิงเอ่ยท่องธรรม ยื่นมือมองตัวเอง ไม่อาจสัมผัสถึงการเต้นของหัวใจตน ไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของโลกภายนอก อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกหนาวสักนิด
เจ้าภูเขาลู่มองภิกษุรูปนี้ ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นผีชางแล้ว แม้ว่าไม่อาจรู้รายละเอียดที่อีกฝ่ายคิดในใจ แต่กลับรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความดีความชั่วได้อย่างชัดเจน
ดังนั้นตอนนี้พูดได้ในระดับหนึ่งว่าความจริงเจ้าภูเขาลู่เข้าใจเขายิ่งกว่าตัวภิกษุเจวี๋ยหมิงเอง ทั้งรับรู้จิตใจตอนนี้ของภิกษุรูปนี้อย่างแน่ชัด หากเขาเจ้าภูเขาลู่แปลงกายโดยการถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก เช่นนั้นภิกษุเจวี๋ยหมิงตายครั้งหนึ่ง ต่อให้กลายเป็นผีชางก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างกัน
เทียบกับผีชางที่ผ่านมา ตอนนี้กลิ่นอายภิกษุเจวี๋ยหมิงราบเรียบ ไม่อึมครึมแม้แต่น้อย เจ้าภูเขาลู่ยิ่งเข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าภิกษุแห่งอารามวิทยาราชถึงเป็นห่วงเจวี๋ยหมิงเช่นนี้ แต่ถ้าเจวี๋ยหมิงไม่ตาย เฝ้าอารามต่อคงไม่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้
“ไต้ซือเจวี๋ยหมิง ผีชางก็เป็นผี หวาดกลัวแสงแดดกับหยางแกร่ง ทั้งมีจุดอ่อนของผี แต่สุดท้ายผีชางยังต่างจากผีทั่วไป คล้ายคนมากกว่าหลายส่วน เจ้าน่ะ ยิ่งเหมือนคน ที่นี่คือป่ารกร้าง ข้างหน้าคือจังหวัดซีหนิง ข้าขอปล่อยเจ้าจากไปเช่นนี้!”
เจ้าภูเขาลู่ไม่เรียกภิกษุตรงหน้าว่าจ้าวหลงอีก หากแต่เรียกว่า ‘ไต้ซือเจวี๋ยหมิง’ ยามสิ้นเสียงเขาดูดควันละเอียดบนตัวผีชางร่างภิกษุกลับมาเสี้ยวหนึ่ง
“หลังจากปล่อยเจ้าไป เจ้าไม่ใช่ผีชางของข้าอีก แม้ว่ามีอิสระ แต่ยังต้องระวัง พลังของข้าบนตัวเจ้ายืนหยัดได้แค่หนึ่งปี หลังจากนี้หนึ่งปี ต้องอาศัยอายุขัยปรโลกของตัวเจ้าเอง ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้ามีอีกกี่ปี แต่อยากทำอะไรต้องรีบทำ”
ภิกษุเจวี๋ยหมิงพนมมือค้อมตัว
“ขอบคุณโยมลู่มาก!”
เจ้าภูเขาลู่ประสานมือแทนการคารวะตอบ
“ไต้ซือรักษาตัวด้วย หวังว่ายังมีโอกาสพบกันใหม่ จริงสิ สถานที่ภายใต้การปกครองของเทพแม่น้ำ เจ้าที่ เทพภูเขา เจ้าไปได้ทั้งหมด แต่ต้องระวังเพียงเทพผีแห่งศาลมืด ต่อให้เป็นผีดี เมื่อเจอวิญญาณเร่ร่อน พวกเขากว่าครึ่งย่อมไม่มีทางปล่อยไปตามหน้าที่”
“ได้ อาตมาเข้าใจแล้ว!”
แม้ว่าปีศาจตรงหน้าเพิ่งกินตนเอง แต่ตอนนี้เจวี๋ยหมิงกลับรู้สึกซาบซึ้งอย่างจริงใจ เมื่อเห็นเจ้าภูเขาลู่เตรียมจากไป เขารีบเอ่ยถามเรื่องกวนใจ
“เจ้าภูเขา บรรดาเก้าคนเมื่อตอนนั้น ท่านเจอครบแล้วหรือ ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง”
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มเล็กน้อย นั่งลงบนก้อนหินด้านข้าง อ้าปากพ่นลมอีกครั้ง เรียกผีชางหลันหนิงเค่อออกมา
“คนผู้นี้คือหลันหนิงเค่อ ต่ำช้ากว่าจ้าวหลงเมื่ออดีตเล็กน้อย”
หลันหนิงเค่อปรากฏตัวแล้วมองเจวี๋ยหมิงทันที บนหน้าเผยรอยยิ้ม ด้วยหน้าตาเปลี่ยนแปลงไม่มาก แม้ว่าศีรษะโล้น แต่ยังจำได้ทันทีว่าเป็นใคร
“ฮ่าๆๆๆ… จ้าวหลง เจ้าก็ถูกกินแล้ว ฮ่าๆๆๆ เจ้าก็ไม่ใช่คนดีนัก ยังปลอมตัวเป็นภิกษุอีก!”
เจวี๋ยหมิงพนมมือคารวะ
“โยมหลันกล่าวถูกต้องยิ่ง พระธรรมเมตตา หวังว่าเจ้าจะหลุดพ้นจากทะเลทุกข์ในเร็ววัน สาธุพระวิทยาราช”
“เจ้า…”
หลันหนิงเค่ออึ้งงันครู่หนึ่ง รู้สึกเหมือนเหวี่ยงหมัดใส่ปุยฝ้าย ถึงขั้นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเขาทำให้เจ้าภูเขาลู่ซึ่งสัมผัสจุดนี้ได้รู้สึกสนุกเป็นพิเศษ
เจ้าภูเขาลู่ยิ้มพลางกล่าวต่อ
“ลั่วหนิงซวงแต่งงานออกเรือน ช่วยเหลือสามีสอนบุตรอยู่บ้าน มีใจผดุงคุณธรรมหลายส่วน น่าจะสอนบุตรธิดาที่ดีได้ ลู่เฉิงเฟิงแม้ว่าไม่ได้กำจัดคนชั่วบนยุทธภพ แต่มีใจผดุงคุณธรรม เปิดเผยซื่อตรง หวังเค่อเป็นหัวหน้ามือปราบประจำจังหวัดหยาเฉียน จับกุมผู้กระทำผิดนับไม่ถ้วน ทำตามหน้าที่ด้วยความยุติธรรม ตู้เหิงยิ่งยอดเยี่ยม เดิมคิดว่าเสียแขนแล้วตัดเส้นทางวิถียุทธ์ แต่กลับใช้มือซ้ายมุมานะฝึกฝน ทั้งรวมกลุ่มจอมยุทธ์พเนจรท่องเหนือล่องใต้แบบผู้กล้า ถือเป็นจอมยุทธ์เลื่องชื่อแห่งยุค ส่วนคนอื่นยังไม่ตามหา”
เจวี๋ยหมิงพยักหน้าน้อยๆ เขาเคยเจอตู้เหิง ตอนพบกันที่อารามเขายังอิจฉาอีกฝ่ายอยู่บ้าง
“ขอบคุณโยมลู่ที่บอกกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้อาตมาขอจากไปก่อน โยมหลันรักษาตัวด้วย”
เจวี๋ยหมิงคารวะอีกครั้ง หันหลังเดินไปทางจังหวัดซีหนิง ตอนนี้หลันหนิงเค่อที่อยู่ด้านข้างได้สติกลับมา ตื่นเต้นอยู่บ้าง
“เจ้าภูเขา ท่านปล่อยเขาไปหรือ ท่านคืนอิสระให้เขาหรือ เพราะอะไร ทำไมเขาไปได้ เพราะอะไร!?”
“เพราะอะไรทำไมนักหนา ถ้าเจ้าเข้าใจว่าเพราะเหตุใด เจ้าคงไปด้วยแล้ว!”
เจ้าภูเขาลู่คร้านจะสนใจเขา หลังกล่าวจบก็กลืนผีชางเข้าไป ทำให้หลันหนิงเค่อคืนสู่สภาพจองจำมืดมิดไร้แสงตะวัน หากเจ้าภูเขาลู่ไม่แบ่งปันความรู้สึก ตาย่อมมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ร่างกายไม่มีความรู้สึก
นี่ก็คือเรื่องน่าเศร้าของผีชาง ร่างกายไม่มีอิสระ ความคิดไม่เป็นส่วนตัวเท่าไหร่ ต่อให้อยากเป็นบ้ายังทำไม่ได้
เจ้าภูเขาลู่ขี่ลมเหาะเหินอีกครั้ง จี้หยวนกลับไม่ได้จากไป หากแต่โรยตัวลงกลางจังหวัดซีหนิง ติดตามภิกษุเจวี๋ยหมิง เขาอยากดูว่าภิกษุรูปนี้จะทำอะไร
หลังจากเดินวนรอบเมือง ภิกษุเจวี๋ยหมิงมาจวนตระกูลจ้าว น่าจะเป็นบ้านเขายามเป็นปุถุชน เขาเข้าจวนมาถึงในเรือนอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย โขกศีรษะให้ผู้อาวุโสสองคนที่อยู่บนเตียงห้องนอนสามครั้ง จากนั้นค่อยออกจากจวน
ตามภิกษุมาราวหนึ่งเค่อกว่า จี้หยวนพลันเงยหน้ามองบนฟ้า เขายิ้มอย่างอดไม่ได้
ไม่ใช่พวกเดียวกัน ไม่สุมหัวอยู่ด้วยกัน เจ้าภูเขาลู่มองมาแต่ไกล ระยะห่างไม่ใกล้ เห็นชัดว่าไม่อยากให้เจวี๋ยหมิงเจอ
เมื่อสนใจความเห็นของเจวี๋ยหมิง แสดงว่าเจ้าภูเขาลู่เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อภิกษุรูปนี้ หรือกล่าวว่ายอมรับแล้ว
ตอนนี้ภิกษุเจวี๋ยหมิงเหมือนคนเป็น เดินหน้าทีละก้าวอย่างไม่เร่งร้อน สุดท้ายค่อยมาถึงตรอกศาลเจ้าจังหวัดซีหนิง
ดวงตาเขาหลุบหรี่ ท่าทางนิ่งสงบ ปากท่องคัมภีร์พุทธเดินไปทางศาลหลักเมือง
ผู้ลาดตระเวนราตรีสองคนมาพร้อมลมทมิฬ หลังจากกวาดมองเจวี๋ยหมิงคราหนึ่ง พวกเขากำลังเดินผ่านเจวี๋ยหมิงไป ไม่คิดว่ากลับถูกเรียกรั้งไว้
“ท่านทั้งสองเป็นเทพผีแห่งศาลมืดกระมัง”
เจวี๋ยหมิงเพิ่งเคยเห็นเทพผีเป็นครั้งแรก แต่กลับไม่รู้สึกแปลกใหม่นัก ความแปรปรวนทางอารมณ์ก็ไม่มาก กลับเป็นผู้ลาดตระเวนราตรีสองคนสบตากัน หันหน้าเข้าหาเขาอย่างสนอกสนใจ
“ไต้ซือรูปนี้มีมรรควิถีอยู่บ้าง ถึงกับเห็นพวกเราด้วย”
“ไม่ผิด พวกเราเป็นผู้ลาดตระเวนราตรีบริวารเทพหลักเมืองแห่งศาลมืดจังหวัดซีหนิง ข้าเป็นบริวารฝ่ายขวา เขาเป็นบริวารฝ่ายซ้าย ไต้ซือมีเรื่องใดชี้แนะ”
เจวี๋ยหมิงพนมมือ
“สาธุพระวิทยาราช ผู้วาดตระเวนราตรสองท่าน อาตมาเป็นผีบาปหนา โปรดพาอาตมาไปศาลมืดเถอะ ถ้าเป็นไปได้ อาตมาอยากเจอวิญญาณซึ่งตายอย่างอยุติธรรมหน่อย”
“เจ้า?”
“ผี?”
เทพราตรีสองคนกล่าวอย่างประหลาดใจ สำรวจมองเจวี๋ยหมิงโดยละเอียด
กลิ่นอายบนตัวมั่นคงหยินหยางสมดุล ไม่มีปราณชั่วร้าย ปราณพิฆาต ปราณต่ำทรามติดตามมา ทั้งมีพลังธรรมรางๆ หลายปีมานี้ไม่เคยเจอผีเช่นนี้
“ถูกต้อง อาตมาเพิ่งตายไม่นาน บางทีอาจมีปราณผีน้อยหน่อย”
มีปราณผีน้อยหน่อย? คำพูดนี้ฟังดูไร้สาระอยู่บ้าง
แต่เห็นว่าภิกษุรูปนี้ไม่เหมือนคนบ้า บริวารฝ่ายขวาโคจรพลังหรี่ตา พลันยื่นมือตบหลังศีรษะจนเจวี๋ยหมิงซวนเซ
“เป็นผีจริงด้วย!”
“แปลก… มีผีอย่างเจ้าด้วยหรือ”
เทพราตรีสองคนรู้สึกขบขันอยู่บ้าง แต่ยังเชิญภิกษุไปศาลมืดอย่างมีมารยาท
‘ไปศาลมืดจริงด้วย!’
ตอนนี้จี้หยวนกับเจ้าภูเขาลู่มีความคิดคล้ายกัน ความจริงก่อนหน้านี้ก็คาดเดาความเป็นไปได้ จริงอยู่ว่าเห็นแล้วไม่ผิดคาด แต่ทอดถอนใจอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
จี้หยวนถึงขั้นคิดว่าเจ้าภูเขาลู่ไปกินเจวี๋ยหมิงถึงอารามวิทยาราช เป็นการขัดต่อพระธรรมหรือเอื้อประโยชน์กันแน่
…
ช่วงต้นฤดูร้อน เจ้าภูเขาลู่เจอเปาต้งที่รัฐโยว คนผู้นี้ไม่ได้กลายเป็นจอมยุทธ์บนยุทธภพ แต่ไม่ใช่คนต่ำช้าอะไรเช่นกัน ปัจจุบันเป็นผู้ดูแลคนหนึ่งในสำนักที่สังกัดอยู่
เจ้าภูเขาลู่สังเกตการณ์อีกฝ่ายอยู่สองวัน ก่อนปรากฏตัวในบ้านเปาต้งยามค่ำคืน
การมาเยือนของเจ้าภูเขาลู่ทำให้เปาต้งตกใจไม่น้อย ยามเจอเจ้าภูเขาลู่ยังประหม่าจนเหงื่อตกไม่หยุด โชคดีว่าไม่ถูกกิน จากนั้นปีศาจค่อยจากไป
แต่การปรากฏตัวของจี้หยวนกลับทำให้เปาต้งสงบใจลงบ้าง แค่พูดคุยเรื่องทั่วไปกับเขา เล่าการเปลี่ยนแปลงของชีวิตช่วงเกือบยี่สิบปีมานี้รวมถึงการกัดกร่อนปณิธาน
ไม่มีการตำหนิหรือติเตียนใด แค่รับฟังและพูดคุยเงียบๆ กระทั่งฟ้าสว่างค่อยจากไป
ความจริงในหมู่คนทั่วไป สถานการณ์ของเปาต้งกับลั่วหนิงซวงน่าจะเป็นเรื่องปกติที่สุด แค่พวกเขามีบ่วงเรื่องบุตรธิดาบนยุทธภพเพิ่มขึ้นมา
ผ่านไปอีกสองสามวัน เมื่อเจอต่งปี้เฉิง ผลกลับทำให้เจ้าภูเขาลู่ผิดคาด ในการรับรู้กลิ่นอายต่งปี้เฉิงค่อนข้างอ่อนแอ เดิมคิดว่าอาจเจอสถานการณ์ไม่ธรรมดาบ้าง แต่สถานการณ์กลับไม่ธรรมดาจริงๆ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่เจ้าภูเขาลู่คาดคิดด้วย
เชิงเขาแห่งหนึ่งตรงจังหวัดเหลาหยางแห่งรัฐเยี่ยน เจ้าภูเขาลู่ยืนอยู่หน้าหลุมศพแห่งหนึ่ง มองตัวอักษรบนป้ายหินอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ยิ้มขื่นพลางกล่าวพึมพำกับตัวเอง
“ต่งปี้เฉิงหนอต่งปี้เฉิง ทำไมเจ้าถึงเป็นผีอายุสั้น คราวนี้ต้องไปศาลมืดเพื่อหาเจ้า ข้าจะแฝงตัวเข้าไปอย่างไร”
สัญญาผูกมัดเก้าจอมยุทธ์และเจ้าภูเขาลู่ สิ่งที่เรียกว่าอยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นผีคงเป็นเช่นนี้
………………………………..