ตอนพิเศษ 58-1 เวยเวยบันดาลโทสะ พี่ซิวผู้ชอบตามใจ
“เวยเวย!”
หลิงจือรู้สึกตัวแล้วว่าประกายแสงเส้นนั้นขโมยดอกบัวน้ำแข็งน้อยไป
แปลกจริงๆ นางมองไม่เห็นคนร้ายสักนิด ไม่รู้เลยว่าประกายแสงนั่นพุ่งมาจากที่ใด ประหลาดมากอย่างยิ่ง!
หลิงจือรีบเรียกภูษาล่าวายุออกมาจากในแขนเสื้อ
ภูษาล่าวายุเป็นอาวุธวิเศษที่ผู้พิทักษ์ใหญ่มอบให้นางหลังจากนางประสานเม็ดตัน ความจริงแล้วบนตัวนางยังมีอาวุธญาณที่ผู้พิทักษ์ใหญ่มอบให้อีกชิ้น แต่ภายในอาวุธญาณมีดวงวิญญาณของสัตว์อสูรหรือที่ปกติเรียกกันว่าญาณประจำอาวุธสถิตอยู่
หากใช้อาวุธในแดนปีศาจซึ่งมีปราณปีศาจมากเกินไป ขณะที่ระดับการฝึกตนของนางไม่มากพอ เกรงว่าจะควบคุมญาณประจำอาวุธไม่อยู่ หากเป็นเช่นนั้นญาณประจำอาวุธก็อาจกลายเป็นปีศาจได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกใช้อาวุธวิเศษที่ระดับต่ำกว่าสักหน่อยแทน
ภูษาล่าวายุโอบรัดลำแสงสายนั้นอย่างว่องไว ทว่าประกายแสงสายนั้นก็มิใช่ของกระจอกๆ ชั่วพริบตาที่ภูษาล่าวายุโอบรัดมัน มันก็สะบัดอย่างไรมิทราบจนหลุดรอดจากภูษาล่าวายุมาได้ หลังจากนั้นเพียงชั่วพริบตา ประกายแสงก็พาดอกบัวน้ำแข็งน้อยหายไป
ดวงหน้างามของหลิงจือถอดสี “เวยเวย!”
เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตรงที่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยถูกจับตัวไปไม่นาน เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็เดินห่างออกไปเรื่อยๆ จากมุมที่หลิงจือมอง ดูเหมือนเด็กสาวรากปราณสวรรค์กำลังจูงมือใครคนหนึ่งอยู่ ใบหน้าของนางประดับรอยยิ้ม แววตาเหม่อลอย…
“ฉินหลิงเอ๋อร์! ฉินหลิงเอ๋อร์!”
ไม่ว่าหลิงจือจะเรียกอย่างไรก็ไม่ช่วยอะไรทั้งสิ้น
แม้หลิงจือกับนางจะก้าวสู่ขั้นประสานเม็ดตันพร้อมกัน แต่หลิงจือรู้ดีว่าพลังของตนเองสู้ฉินหลิงเอ๋อร์ไม่ได้ หลิงจือย่อมเดาไม่ออกว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะชาติกำเนิดของฉินหลิงเอ๋อร์ นางรู้แต่ว่าตัวนางสู้ไม่ชนะฉินหลิงเอ๋อร์
ในเมื่อใช้กำลังบังคับไม่ได้ ย่อมทำได้แต่ปลุกนางให้ตื่นเท่านั้น
“ฉินหลิงเอ๋อร์!”
“ฉินหลิงเอ๋อร์!”
จีเสี่ยวซิวกอดอ่างน้ำใบน้อย แล้วเอ่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ต้องเรียกแล้ว ไม่มีประโยชน์ นางถูกภูตพรายสะกดไว้แล้ว”
“ภูพรายหรือ” หลิงจือตกตะลึง นางหันกลับไปมองจีเสี่ยวซิวที่อยู่ด้านในรถม้า “เมื่อครู่อาจารย์อาน้อยเป็นคนพูดกับข้าหรือ”
จีเสี่ยวซิวถลึงตาใส่นาง “ไม่ใช่ข้า แล้วเป็นผีหรือไร”
หลิงจือมองเขาอย่างตกตะลึง “เมื่อครู่อาจารย์อาน้อยบอกว่า…ภูตพรายหรือ”
หลิงจือเคยฟังเรื่องราวของภูตพรายมาก่อน ระหว่างฝึกตนอยู่ที่สำนักเชียนหลัน ผู้พิทักษ์ใหญ่เคยสอนความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภูตผีปีศาจให้หลิงจือไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีเรื่องของพวกภูตพรายด้วย
ภูตพรายแต่เดิมเป็นเทพแห่งภูเขา ต่อมาทำผิดกฎสวรรค์จึงถูกลงโทษประหาร กายเนื้อของมันถูกแผดเผา แต่จิตตั้งต้นยังไม่ดับสูญ หลังจากร่วงหล่นลงมายังแดนปีศาจก็กลายเป็นภูตผีชนิดหนึ่ง
มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นภูตผี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูตพรายที่พลังอาคมแข็งแกร่งกว่า หากภูตพรายไม่ต้องการ แม้แต่ท่านเซียนเช่นชิงสุ่ยเจินเหรินก็มองไม่เห็นร่างจริงของพวกมัน
หลิงจือนึกถึงภาพที่ดูเหมือนเด็กสาวรากปราณสวรรค์กำลังจูงมือใครบางคนอยู่ นั่นน่าจะเป็นภูตพรายตนหนึ่ง หลิงจือสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าปอด “เหตุใดข้าจึงมองไม่เห็นภูตพราย ไม่ถูกสิ เหตุใดอาจารย์อาน้อยจึงรู้ว่าเป็นภูตพราย อาจารย์อาน้อยมองเห็นหรือ”
จีเสี่ยวซิวตวาดเสียงอ้อแอ้ “ข้าจะเห็นได้อย่างไรเล่า!”
กายเนื้อร่างนี้เป็นมนุษย์ธรรมดา อีกทั้งยังเป็นแค่เจ้าซาลาเปาน้อยคนหนึ่งที่ยังไม่เริ่มฝึกฝนวิชา มองเห็นภูตพรายได้ก็แปลกแล้ว มีแต่ยามที่ภูตพรายล่อลวงใครสักคนเท่านั้นที่อีกฝ่ายจะมองเห็นพวกมัน แต่เวลานั้นสิ่งที่อีกฝ่ายมองเห็นจะไม่ใช่ร่างจริงของภูตพราย แต่เป็นร่างที่ภูตพรายจำแลงขึ้นมา
“ข้าเคยอ่านตำราเกี่ยวกับภูตพรายในหอตำราลับ!” จีเสี่ยวซิวอ้างเหตุผลที่หาพิรุธไม่พบขึ้นมา นั่นก็คือใช้ข้ออ้างว่าตนเองเป็น ‘ผู้หมั่นศึกษาหาความรู้’
หลิงจือเคยอ่านหนังสือมาไม่มาก นางจึงไม่รู้ว่าความจริงแล้วหอตำราลับไม่มีตำราลับเล่มที่เขาพูดถึง จีเสี่ยวซิวเป็นเด็กอัจฉริยะ รู้ตัวอักษรมากกว่านางมาก ในเมื่อจีเสี่ยวซิวบอกว่าเคยอ่านพบในตำรา หลิงจือก็เชื่ออย่างไม่ฉุกใจคิดแม้แต่น้อย
จีเสี่ยวซิวพูดราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “หัวใจเจ้าปรารถนาผู้ใด ภูตพรายก็จะจำแลงร่างเป็นผู้นั้น ดูท่าเจ้าคงจะไม่คิดถึงคนแซ่อวี๋แล้วสินะ”
หลิงจือเก้อเขิน เด็กน้อยคนนี้รู้เรื่องระหว่างนางกับอวี๋เจี๋ยได้อย่างไรกัน
แต่เดินทางมาแดนปีศาจเนิ่นนานถึงเพียงนี้ หากอาจารย์อาน้อยไม่เอ่ยถึงอวี๋เจี๋ย นางก็แทบจะไม่นึกถึงเขาแล้ว บางทีนาง…อาจจะปล่อยวางได้แล้วจริงๆ
ภูตพรายไม่มาล่อลวงนางก็เพราะว่านางไม่มีผู้ที่หัวใจเฝ้าปรารถนาถึง แต่ในเมื่อภูตพรายล่อลวงฉินหลิงเอ๋อร์ไปได้ ย่อมหมายความว่าในหัวใจของฉินหลิงเอ๋อร์มีผู้ใดอยู่อย่างนั้นใช่หรือไม่
ผู้ใดกันเล่า
อวี๋เจี๋ยหรือ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนี้ รอให้ช่วยเวยเวยกับฉินหลิงเอ๋อร์กลับมาได้ก่อน ค่อยลองถามฉินหลิงเอ๋อร์ดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
หลิงจือกระโดดลงมาที่พื้น นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะหลับตาลงแล้วค่อยๆ ย่อตัวลงไป วางมือข้างหนึ่งนาบบนพื้นเปียกชื้น
ความจริงแดนปีศาจมีพลังปราณอยู่ไม่น้อย แต่มันมีปราณปีศาจผสมอยู่ด้วย การดูดซับพลังแบบไม่ดูตาม้าตาเรือจึงชักนำปราณปีศาจเข้ามาในร่างได้ ทว่าหลังจากประสานเม็ดตัน หลิงจือก็กำจัดปราณปีศาจส่วนหนึ่งได้ด้วยตนเอง
หลิงจือดูดซับพลังปราณดินจากพสุธาอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณดินของนางอาจสัมผัสการมีอยู่ของภูตพรายไม่ได้ แต่ในเมื่อภูตพรายยึดครองภูเขาลูกนี้อยู่ มันย่อมมีรังของตนเอง คลื่นพลังงานในรังย่อมแตกต่างจากคลื่นพลังงานบนส่วนอื่นๆ ที่ปกติของภูเขา
หลิงจือตรวจจับพบความผิดปกติอย่างรวดเร็ว นางลืมตาขึ้น ดวงตาฉายประกายคมกริบ “อยู่ทิศเหนือของภูเขาสินะ”
หลิงจือรื้อตะกร้าสะพายหลังใบน้อยออกมาสะพายแล้วมุ่งหน้าไปยังยอดเขาทางทิศเหนือ จีเสี่ยวซิวนั่งอยู่ในตะกร้า สองมืออุ้มอ่างน้ำใบน้อย
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยอยู่ห่างน้ำนานเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นนางจะทรมาน
หลิงจือตามรอยพลังงานสายนั้นไป นางเดินทางมาถึงภูเขาทางทิศเหนือ เบื้องหน้าคือบึงน้ำแห่งหนึ่ง อีกฟากของบึงคือน้ำตกที่ดูราวกับทางช้างเผือก คลื่นพลังงานประหลาดสายนั้นแผ่มาจากด้านหลังม่านน้ำตก
หลิงจือมองน้ำตกที่ไหลเชี่ยวตาไม่กะพริบ “เจ้าภูตพรายน่าจะอยู่หลังม่านน้ำตก แต่จะว่าไปแล้ว ภูตพรายนี่…อยู่ตนเดียวหรืออยู่กันเป็นฝูงนะ”
“เป็นฝูง” จีเสี่ยวซิวตอบ
หลิงจือสะดุ้ง “ข้า ข้า ข้า…ข้าจะสู้ไหวหรือ”
จีเสี่ยวซิวกลอกตามองนาง “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
ภูตพรายเป็นภูตผีประเภทหนึ่ง พลังปราณธรรมดาใช้กับพวกมันไม่ได้ ปราณปีศาจของเด็กสาวรากปราณสวรรค์อาจรับมือพวกมันได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่นางถูกสะกดไปแล้ว นางคงไม่มีทางลงมือกับเหล่าภูตพรายอย่างแน่นอน
หลิงจือวางตะกร้าสะพายหลังลง แล้วรื้อยันต์อำพรางกายกับไข่มุกซ่อนปราณออกมา “อาจารย์อาน้อยท่านถือไว้ ประเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นอย่าส่งเสียงออกมาเด็ดขาด”
ความจริงแล้วของเหล่านี้ไม่มีประโยชน์กับจีเสี่ยวซิวแม้แต่นิดเดียว
ภูตพรายเป็นภูตผีประเภทหนึ่ง พวกมันไม่ลงมือกับเด็กน้อยที่ไร้รากปราณคนหนึ่งอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะภูตพรายมีจิตใจเวทนาสงสารอะไร แต่เพราะเด็กน้อยที่ไร้รากปราณไม่มีประโยชน์ในการฝึกตนของพวกภูตพรายต่างหาก
ภูตพรายมีนิสัยชอบเสพสังวาส มันชอบสูบกินลมปราณและพลังชีวิต หลังจากสูบกินลมปราณกับพลังชีวิตจนหมดก็จะเขมือบจิตตั้งต้นของผู้ฝึกตนทีละคำ ยิ่งผู้ฝึกตนระดับพลังสูง พลังชีวิตกับลมปราณแข็งแกร่ง คุณภาพของจิตตั้งต้นก็ยิ่งดี
ทุกครั้งที่กลืนกินจิตตั้งต้นลงไปหนึ่งดวง ภูตพรายก็จะได้รับพลังระดับเท่าๆ กับจิตตั้งต้นดวงนั้นมา ภูตพรายฝูงนี้ไม่รู้ว่าทำร้ายผู้ฝึกตนไปกี่คนแล้ว พวกมันจึงแข็งแกร่งจนกล้าหมายตาจอมปีศาจกับเซียนตนหนึ่ง
ภูตพรายมองไม่ออกว่าในร่างของจีเสี่ยวซิวมีเศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าตำหนักสิงอยู่ ดังนั้นพวกมันจึงไม่เห็นจีเสี่ยวซิวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ต่อให้จีเสี่ยวซิวเอาตัวเองมาส่งให้ถึงหน้าประตู พวกภูตพรายก็คงถีบเขากระเด็นออกมาอยู่ดี แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หลิงจือเสียสมาธิ จีเสี่ยวซิวจึงรับของมาอย่างเชื่อฟัง
หลังจากจีเสี่ยวซิวอำพรางกายแล้ว หลิงจือจึงขี่กระบี่เหาะเข้าไปหลังม่านน้ำตก ขณะเดียวกันจีเสี่ยวซิวก็หลับตา จิตตั้งต้นลอยออกจากร่างแวบหายเข้าไปในแดนยมโลก
….
ถ้ำของภูตพรายถูกสร้างอย่างประณีตพอสมควร ตรงกลางเป็นถ้ำหลัก จากถ้ำหลักมีทางเชื่อมแยกสู่สี่ทิศ เชื่อมต่อไปยังถ้ำขนาดเล็กนับไม่ถ้วน ถ้ำขนาดเล็กแต่ละแห่งมีภูตพรายอาศัยอยู่หนึ่งตน
ภูตพรายขยายพันธุ์อย่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ได้ พวกมันจะจับดวงวิญญาณของทารกที่เสียชีวิตมาตีตราประทับ เปลี่ยนให้กลายเป็นภูตพรายน้อยของเผ่าตนเอง
ภายในถ้ำขนาดเล็กใหญ่มีภูตพรายน้อยที่รอคอยการป้อนอาหารอยู่จำนวนหนึ่งร้อยกว่าตน ขณะที่ภูตพรายโตเต็มวัยมีเพียงสี่ตนเท่านั้น ตนหนึ่งจำแลงกายเป็นจอมมารไปล่อลวงชิงสุ่ยเจินเหริน ส่วนอีกตนแปลงกายเป็นใต้เท้าเจ้าตำหนักไปล่อลวงเด็กสาวรากปราณสวรรค์
ฝั่งเด็กสาวรากปราณสวรรค์แผนการดำเนินไปอย่างราบรื่น นางถูกพาตัวกลับมาที่รังแล้ว ภูตพรายอุ้มเด็กสาวรากปราณสวรรค์วางลงบนฟูกเตียงนุ่มนิ่มอย่างแผ่วเบา
“พี่รองออกโรง ไม่มีพลาดเลยจริงๆ!” นางพรายตนหนึ่งยิ้มร่า
“พี่สาม นี่เป็นถึงร่างกลับชาติมาเกิดของจอมปีศาจ หากพวกเรากินนางเข้าไปจะไม่มีปัญหายุ่งยากตามมาหรือ” นางพรายที่อายุน้อยกว่าเล็กน้อยอีกตนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
นางพรายที่ถูกเรียกว่าพี่สามไม่ยี่หระ “จะมีเรื่องอะไรได้เล่า น้องสี่ หากกินจิตตั้งต้นของคนเหล่านี้เข้าไป พวกเราก็ไร้คู่ต่อกรในใต้หล้าแล้ว!”
เจ้าสี่กลับเอ่ยขึ้นว่า “แต่พี่สาม ข้าอยากกินเซียน”
พี่สามเคาะหน้าผากของนาง แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าอยากเสพสังวาสเอาพลังชีวิตของเขาหรืออยากกินจิตตั้งต้นของเขาเล่า”
เจ้าสี่เลียริมฝีปาก “อยากกินทั้งสองอย่าง เขารูปงามยิ่งนัก เป็นบุรุษรูปงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยพานพบ ข้าอยากกินเขา!”
พี่สามตบกะโหลกของเจ้าสี่แล้วบ่นว่า “นังเด็กโง่ บุรุษตัวเหม็นมีอะไรน่ากิน สิ่งนี้สิถึงจะเป็นสมบัติล้ำค่า”
เจ้าสี่หันไปมองดอกบัวน้ำแข็งน้อยในอ่างน้ำ แล้วว่าอย่างรังเกียจ “ดอกไม้หรือ ดอกไม้มีอะไรน่ากิน”
เจ้าสามบ่น “ถึงบอกว่าเจ้าโง่อย่างไรเล่า เจ้าช่างโง่จริงๆ มันใช่ดอกบัวธรรมดาเสียที่ไหน เจ้ามองให้ชัด นี่มันดอกบัวน้ำแข็งจากแดนเซียน”
เจ้าสี่เพิ่งจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่นาน นางจึงยังไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก แต่นางเคยได้ยินเรื่องสิ่งของจากแดนเซียน แล้วก็รู้จักคำว่าสมบัติล้ำค่า “กินมันแล้ว พวกเราจะบรรลุเป็นเซียนหรือไม่”
“บรรลุมีอะไรดีกัน สุดท้ายก็เป็นแค่เซียนภูต” เจ้าสามปากว่าเช่นนี้ แต่ในดวงตากลับเผยแววตาปรารถนาอยู่จางๆ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกนี้คือผู้ใด มันคือเลือดเนื้อเชื้อไขของจอมมาร แล้วมันยังกินผลปีศาจของราชาปีศาจกับดื่มน้ำนมศิลาของจอมปีศาจลงไปด้วย เจ้าดูกลีบดอกของมันสิ ด้านในมีโลหิตเฟิ่งหวงของยอดเซียนอยู่ในนั้น บนโลกใบนี้ไม่มียาบำรุงใดดีกว่ามันอีกแล้ว หากกินมันลงไป ภูตพรายน้อยทั้งหมดก็จะเติบใหญ่ พวกเราก็จะบรรลุเป็นเซียนภูตกันทุกตน”
เจ้าสี่น้ำลายไหล “พี่สาม ข้าอยากกิน!”