“อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามขอรับเถ้าแก่ตงฟาง ข้าคิดว่าท่านรู้จักอาซิ่วดี แม้ข้าจะไม่รู้ว่าท่านกับพวกป๋ายหลงเจรจากันเช่นไร แต่พวกเขาจะต้องเพิ่มการป้องกันมากขึ้นอย่างแน่นอน บางทีอาจเคลื่อนย้ายอาซิ่วออกไปแล้วก็ได้ หากท่านบุ่มบ่ามออกไปตอนนี้ นอกจากจะไม่อาจช่วยเหลืออาซิ่วได้แล้ว ท่านอาจถูกพวกเขาจับได้ก็เป็นได้ เช่นนั้นใครจะคอยช่วยอาซิ่วเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นนางจะยิ่งตกอยู่ในอันตราย”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ตงฟางสวีเริ่มสงบสติอารมณ์
ตงฟางสวีมิใช่คนประมาทในการใช้ชีวิตบนถนนสายนี้
แต่เพราะความกังวลจึงทำให้จิตใจว้าวุ่น ยิ่งไปกว่านั้นตงฟางสวียังรู้ดีว่าพวกป๋ายหลงหาใช่คนจิตใจดีอะไร ดังนั้นเขาจึงวิตกกังวลเช่นนี้
ครุ่นคิด หลินเมิ้งหยาเข้าใจจิตใจของตงฟางสวีดี
ทรุดตัวลงนั่ง ตอนนี้จิตใจของเขาคงร้อนรนเกินบรรยาย
ทั้งสามนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยาจึงลุกขึ้นแล้วหยิบธนบัตรร้อยตำลึงหนึ่งใบออกมา
การออกเดินทางคราวนี้นางนำเงินติดตัวมาเพียงไม่กี่พันตำลึงเท่านั้น แต่เพราะมีหลงเทียนอวี้อยู่ ฉะนั้นนางจึงกล้าแสดงน้ำใจออกมา
“เถ้าแก่ตงฟาง แม้เงินจำนวนนี้จะไม่มาก แต่ข้าหวังว่าท่านจะช่วยข้าดูแลอาฝูให้ดี เขาเป็นสหายของข้า เขาอาจสร้างปัญหาให้ท่านมากมาย รอข้ากลับมาจากการเดินทาง ข้าจะมารับตัวเขาไป”
ตงฟางสวีจะกล้ารับได้อย่างไร เพียงแค่หลินเมิ้งหยานำข่าวของอาซิ่วมาแจ้ง นางก็กลายเป็นผู้มีพระคุณของเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขารับอาฝูมาเพราะความใจอ่อน
“ไม่ได้ น้องชายมีบุญคุณต่อข้า ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้าเลยแม้แต่น้อย อาฝูคือลูกน้องของข้า หากข้ายังอยู่จะไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาอย่างแน่นอน!”
หลินเมิ้งหยาวางเงินลงตรงหน้าตงฟางสวีก่อนจะเอ่ย
“แม้จะเอ่ยเช่นนี้ แต่พวกเราเพิ่งพูดว่าจะทำการซื้อขายกันที่ด้านล่างนั่น เช่นนั้นได้โปรดรับไว้เพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่นเถิด ผู้น้อยขอบังอาจเอ่ยอะไรสักเล็กน้อย อาซิ่วเปรียบเสมือนอัญมณีล้ำค่าของท่าน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังมียาพิษร้ายแรงของเมืองเลี่ยหยุนติดตัวอยู่”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้สีหน้าของตงฟางสวีเคร่งขรึมลงไป
เงาดำใต้แสงไฟเองก็มีเหตุผลเช่นนี้ แม้จะเป็นการยากที่จะต่อกรกับสี่มือด้วยสองหมัด แต่ถ้าหากคนเมืองเลี่ยหยุนถูกบีบเค้นมากจนเกินไป เช่นนั้นยาพิษและแมลงมีพิษทั้งหมดจะแผ่กระจายภายในรัศมีครึ่งลี้
ต่อให้อีกฝ่ายมีวิทยายุทธ์เก่งกล้ามากมายสักเพียงไหน แต่พวกเขาก็สามารถรับมือได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่มีวิทยายุทธ์เล็กน้อยไม่มีทางทำการค้ามนุษย์อย่างแน่นอน
พูดตามหลักความเป็นจริง แม้แต่หลงเทียนอวี้หรือชิงหูยังต้องรู้สึกกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับชาวเมืองเลี่ยหยุนที่ร่างกายเต็มไปด้วยยาพิษ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดซินหลีจึงกล้าวิ่งโร่เข้ามาปะทะกับนางซึ่งหน้า
เหตุเพราะความโกรธของเขาต้องการแผดเผาทุกสิ่ง
ทว่าคนเมืองเลี่ยหยุนเหล่านี้รู้คุณค่าของพิษในร่างกายของตัวเองดี ทันทีที่พิษถูกแพร่กระจาย นั่นเท่ากับชีวิตหนึ่งต้องจบลง
ฉะนั้น คนเมืองเลี่ยหยุนจึงไม่ยอมคบค้าสมาคมกับคนนอกง่ายๆ
น้อยนักที่จะได้เจอเด็กน่ารักอย่างเสี่ยวอวี้
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าพูดถูก หากไม่มีคนสอดแนม เช่นนั้นจะชักศึกเข้าบ้านได้เช่นไร อีกเดี๋ยวข้าจะลองส่งคนออกตรวจสอบดู ขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมากที่ช่วยเหลือ จากนี้ไปหากได้พบเจอกันบนถนนสายนี้หรือไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ขอเพียงพวกเจ้าต้องการ ข้าพร้อมจะช่วยเหลือเสมอ”
ตงฟางสวีเอ่ยคำมั่นด้วยความหนักแน่น หลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ก้มหน้าลงน้อมรับ
เวลาไม่คอยท่าแล้ว พวกเขาจึงลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ
เซียวยี่รออยู่นานแล้ว หลังจากช่วยพวกเขาเปิดประตู เขาทำเพียงเอ่ยให้ทั้งสองระมัดระวังตัว
ท้องฟ้ายามราตรีค่อยๆ ลาลับไป แสงประกายของอรุณรุ่งเผยขึ้นมาแทนที่
หลินเมิ้งหยาหรี่ตา ก่อนจะบิดขี้เกียจเล็กน้อย
หลังจากยุ่งวุ่นวายตลอดคืน อย่างน้อยก็เกิดผลลัพธ์ที่ดี
ชำเลืองมองหลงเทียนอวี้ หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมจิ่นฝู สีหน้าของเขาดูไม่แช่มชื่นนัก
ตอนนี้บริเวณรอบๆ ไม่มีใคร หลินเมิ้งหยาจึงนึกได้ว่าตัวเองเป็นคนมีความผิดติดตัว
ทำอย่างไรดี? หากหลงเทียนอวี้รู้เป้าหมายที่แท้จริงของนาง เขาจะจับนางกลับจวนหรือไม่?
ดวงตากลมโตกลิ้งกลอกไปมา สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางออก
ยื่นมือเข้าไปกอดแขนของเขาแน่น ก่อนจะเบะปากท่าทางรู้สึกผิด
“หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ แต่พระองค์ก็ไม่ควรขังหม่อมฉันเอาไว้ในจวนนี่ อีกอย่างหม่อมฉันไปเมืองหลินเทียนเพื่อนำยามาถวายการรักษาเสด็จพ่อของพระองค์”
ส่งเสียงออดอ้อนอ่อนหวานราวกับแมวก็มิปาน
ในที่สุดหลงเทียนอวี้ก็ดึงสติกลับมามองหญิงสาวข้างกาย ความโกรธในหัวใจจางหายไปแล้ว
ใครจะทนเห็นหญิงสาวน่ารักคนนี้ผิดหวังได้?
แอบถอนหายใจในใจ นับวันเขายิ่งไม่รู้ว่าจะจัดการกับนางอย่างไร อันที่จริงเขาอยากจะขังนางเอาไว้แต่ในจวน ไม่ยอมให้อันตรายใดๆ เข้ามาย่างกราย
แต่สุดท้ายก็ขังนางเอาไว้ไม่ได้ อีกอย่าง…หากเขาเห็นนางเสียใจ หัวใจของเขาก็จะเจ็บปวดตามไปด้วย
นี่เขาป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่?
“ข้ารู้ ข้าไม่ได้ว่าเจ้า เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องนี้เถิด จริงสิ ตกลงเจ้ากับเซียวยี่เป็นอะไรกัน? ดูเหมือนเขารู้สึกผิดต่อเจ้ามาก”
เอ่ยถามด้วยความสงสัย เขาเคยได้ยินชื่อเซียวยี่มาก่อน
ตอนนั้นนอกจากพวกองค์ชายแล้ว คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ล้วนสนใจคุณชายจากตระกูลใหญ่บางตระกูลมากเป็นพิเศษ
กล่าวขานกันว่าคุณชายยอดนักบู๊คือหลินหนานเซิงแห่งสกุลหลิน เขาคือผู้มีใบหน้าหล่อเหลา ฝีมือไร้เทียมทาน ผ่านทะเลเลือดและเปลวเพลิงมานับไม่ถ้วน
ส่วนอีกชื่อหนึ่งคือคุณชายยอดนักบุ๋นเซียวยี่
ได้ยินมาว่าเขารู้จักตัวอักษรตั้งแต่ตอนหนึ่งขวบปี ครั้นสามขวบก็สามารถท่องตำราได้ เมื่ออายุครบแปดปีเขากลายเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นเขายังถูกขนานนามว่าเป็นสุภาพบุรุษหาตัวจับยาก
เขาปฏิบัติกับคนทุกผู้ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน กอปรกับใบหน้าหล่อเหลาดั่งเทพบุตร เขาจึงกลายเป็นตัวเลือกแรกของพวกคุณหนูในเมือง
สกุลหลินและสกุลเซียวเป็นมิตรสหายกันมาแต่ช้านาน แม้เซียวยี่จะมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปเช่นนี้ แค่ถึงกระนั้นหลงเทียนอวี้ก็ยังอดหวาดระแวงไม่ได้
“อันที่จริงหม่อมฉันก็มิได้ใจดีขนาดนั้น”
หลังจากทำภารกิจเสร็จ หลินเมิ้งหยารู้สึกปลอดโปร่งกว่าเดิมมาก
สาวเท้าเร็วๆ ภายในตำบลเล็กๆ แห่งนี้ ก่อนจะตอบสิ่งที่หลงเทียนอวี้กำลังสงสัย
“พระองค์เองก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของสกุลหลินและเซียวสนิทแนบแน่นเป็นอย่างมาก ตอนนั้นท่านพ่อขอร้องท่านลุงเซียวให้เซียวยี่แต่งงานกับหม่อมฉันเพื่อที่หม่อมฉันจะได้มีชีวิตสงบสุข พระองค์รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกผิดกับหม่อมฉันถึงเพียงนี้? นั่นก็เพราะตอนนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงเด็กสาวสติฟั่นเฟือน เขาจึงหนีการแต่งงานไป”
มองดูท่าทางไม่ใส่ใจของนาง หลงเทียนอวี้รู้สึกปวดใจเล็กน้อย
ตอนแรกเขาเองก็เป็นเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังได้เห็นกับตาว่านางกินยาพิษเข้าไป
อยู่ๆ รู้สึกเหมือนหัวใจตกลงไปในหุบเหว มือหนายื่นเข้าไปกุมมือมือเล็กของนางแน่นอย่างไม่รู้ตัว หากตอนนั้นนางไม่รอดชีวิตกลับมา นางทีวันนี้เขาอาจจะยังเป็นอ๋องอวี้ผู้เย็นชาคนนั้น
รู้สึกหวาดกลัวกับความคิดเช่นนั้นเล็กน้อย เขากลัวเหลือเกินว่านางจะไปจากเขา
“แต่วันนี้หม่อมฉันเปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้นหม่อมฉันจึงอยากทำให้เขาเสียดาย!”
หลินเมิ้งหยาเงยหน้าฉีกยิ้มซุกซนให้กับเขา
ตอนนี้นางมองเด็กสาวสติฟั่นเฟือนคนนั้นเป็นเสมือนน้องสาวของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น นางที่ได้เห็นความทรงจำที่ผ่านมาของเด็กคนนี้ นางยิ่งรู้สึกว่าพวกคนที่เคยกลั่นแกล้งรังแกนางมาก่อนช่างโหดร้ายยิ่งนัก
หลินเมิ้งหยาคนก่อนอาจไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ แต่นางในตอนนี้จะโจมตีคนที่เคยทำร้ายนางให้หมด
แม้เซียวยี่จะทุกข์ทรมาน แต่คนที่หนีการแต่งงานโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็มิต่างอันใดจากคนไร้ความรับผิดชอบ
บางทีเซียวยี่อาจคิดว่าเด็กคนนั้นไม่เข้าใจกระทั่งคำว่าหนีการแต่งงาน แต่เขาไม่รู้เลยว่าความเห็นแก่ตัวคือบ่อเกิดของความรู้สึกอยากทำลายของหลินเมิ้งหยา
หากเซียวยี่ไม่หนีการแต่งงาน นางก็คงไม่ถูกจับยัดเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาว
อย่างน้อยเซียวยี่ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบเรื่องนี้
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ทำได้ดีมาก”
มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน หลงเทียนอวี้รู้สึกว่าการแก้แค้นของนางช่างน่ารักเหลือเกิน
สบตากันพลางส่งยิ้มน้อยๆ หลินเมิ้งหยาที่ได้รับคำชมฉีกยิ้มกว้าง
หันหน้าไปก่อนจะพบว่าโรงเตี๊ยมอยู่ด้านหน้า อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็หยุดฝีเท้า เงยหน้ามองหลงเทียนอวี้ คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ความรู้สึกลำบากใจฉายชัดอยู่ในแววตา
“เป็นอะไรไป?”
หลงเทียนอวี้มองนาง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หม่อมฉันออกมาข้างนอกเพียงลำพัง หากหม่อมฉันพาพระองค์เข้าไปในตอนนี้ เช่นนั้นหม่อมฉันจะอธิบายให้ท่านกัวฟังว่าอย่างไร?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงกระดาษแผ่นเล็กๆ นั้นได้
เบิกตากว้างจ้องหลงเทียนอวี้ ก่อนจะถามหยั่งเชิง
“พระองค์ตีหัวหม่อมฉันใช่ไหม! เหตุใดพระองค์จึงใช้ก้อนหินเขวี้ยงใส่หัวหม่อมฉันเล่า!”
หลินเมิ้งหยาหยิกแขนหลงเทียนอวี้หนึ่งที แต่กลับไร้ผลใดๆ
ใครบอกให้เขาไม่มีแม้แต่ไขมันกัน? ทว่าหลงเทียนอวี้กลับมองนางด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
“ตีเจ้า? ข้าตีเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ตีที่ไหนกัน? เจ็บหรือไม่?”
หลินเมิ้งหยามองเขาด้วยสายตางุนงง หรือคนคนนั้นจะมิใช่หลงเทียนอวี้?
ครุ่นคิด อาจจะไม่ใช่หลงเทียนอวี้จริงๆ หากเป็นเขา เขาอาจจะจับตัวตงฟางสวีมาวางลงตรงหน้านางก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น ลายมือบนแผ่นกระดาษก็ไม่ใช่ลายมือของหลงเทียนอวี้
ดังนั้นจึงเล่าเรื่องกระดาษใบนั้นให้หลงเทียนอวี้ฟัง ทั้งสองจึงเริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้
หรือในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะมีคนสอดแนมหลินเมิ้งหยา?
นานกว่าหลงเทียนอวี้จะลูบท้ายทอยของนาง จากนั้นเอ่ยปลอบโยน
“หากข้ายังอยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้อย่างแน่นอน เข้าไปเถิด”