ไม่นานขันทีก็เดินเข้ามามอบรายงานตัวตนของสตรีทั้งสิบสามคน ฮ่องเต้กวาดตามองแล้วส่งต่อให้กุ้ยเฟยและฮุ่ยเฟย
กุ้ยเฟยประหลาดใจ “คุณหนูตระกูลหลู่ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
ฮุ่ยเฟยพูด “คุณหนูตระกูลหลูด้วย”
การใช้วิธีนี้เลือกพระชายาพวกนางเตรียมใจมานานแล้วว่าภูมิหลังทางครอบครัวของสตรีที่ได้รับการคัดเลือกจะต่ำลงนิดหน่อย
ไม่มีทางเลือก…หมิงเวยเองก็ไม่ต้องพูดถึงภูมิหลังครอบครัวเลย
บิดาถูกประหารศีรษะนางยืนอยู่ดีๆ ก็ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท เมื่อเทียบกับนางแล้วคนอื่นๆ ก็นับว่าไม่แย่
ตอนนี้คุณหนูตระกูลหลู่ และตระกูลหลูที่จับป้ายได้ แล้วยังมีคุณหนูจากจวนเฉิงเอินโหวจะพูดว่าได้โชคดีก็ได้ แม้จะเลือกพระชายาตามขั้นตอนปกติชื่อของพวกนางในรายงานก็พอไปวัดไปวาได้
แม้ว่านอกจากเหวินอิ๋งแล้วทุกคนจะมาจากสายข้างหมดก็ตาม เมื่อได้ยินเหนียงเหนียงทั้งสองถาม สตรีทั้งสองก็คารวะผ่านฉากกั้นห้องตามคำแนะนำของขันที
ข้างในนั้นเงียบไปครู่หนึ่งราวกับกำลังมองดูพวกนางจากนั้นเสียงของกุ้ยเฟยก็ดังขึ้นว่า “คุณหนูทั้งสองบุคลิกดีจริงๆ”
ชมเชยพวกนาง แต่ก็ไม่เย็นชากับสตรีคนอื่นจึงมีการกล่าวทักทายพวกนางทุกคน
นอกจากสามคนนี้ ภูมิหลังทางครอบครัวของสตรีคนอื่นๆ ยังด้อยกว่า สตรีที่มีภูมิหลังต่ำสุด บิดาเป็นนายทะเบียนในวังไท่ฉาง ไม่ว่าภูมิหลังครอบครัวจะเป็นอย่างไร รูปลักษณ์และมารยาทสตรีแต่ละนางก็ถือว่าไม่เลว หมิงเวยนึกขึ้นได้ว่าตอนที่จับป้ายก่อนหน้านี้ที่ประตูมีขันทีจำนวนไม่น้อยยืนเฝ้าอยู่นางก็เข้าใจ
ถึงฮ่องเต้จะพูดอย่างไม่เป็นทางการ แต่ก็ต้องมีการคัดกรองรอบหนึ่งก่อน อย่างไรซะตำแหน่งหวางเฟยสตรีอัปลักษณ์เข้ามาได้ หากจับได้ป้ายหงส์จะยอมรับได้หรือ
อันอ๋องเอนกายอยู่หลังฉากกั้นเขาเที่ยววิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของสตรีอย่างคนอยู่ไม่สุข และกระซิบบอกหยางชู
“คุณหนูตระกูลหลู่งามไม่น้อยเลย กิริยามารยาทคล้ายหลู่ชาน เจ้ารู้จักหลู่ชานหรือไม่”
หยางชูขุดตัวละครนี้มาจากความทรงจำ “หลานสาวของหลู่เซียงหรือ”
“ใช่ๆๆ! บางคนเรียกนางว่าสตรีหมายเลขหนึ่งในเมืองหลวง หน้าตากิริยามารยาทเป็นเลิศ ฉลาดพรสวรรค์โดดเด่น ตอนแรก…”
อันอ๋องเหลือบมองไท่จื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกลืนประโยคหลังของตนเองลงไป
หยางชูเข้าใจ ไท่จื่อต้องการคุณหนูตระกูลหลู่ผู้นั้น! แต่ในเมื่อไท่จื่อเฟยเป็นคนอื่น เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
“ปีหน้านางจะออกเรือนแล้ว” อันอ๋องกระซิบข้างหูเขา “ผู้ที่นางแต่งงานด้วยเป็นทายาทตระกูลเผย อีกหน่อยก็จะออกไปอยู่ทางใต้กับสามีถือว่านางเป็นพี่สะใภ้เจ้า”
หยางชูกระตุกมุมปาก “ท่านรู้ดีเหมือนกันนะ”
อันอ๋องหัวเราะไม่รู้สึกละอายใจแต่อย่างใด แต่กลับพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ไม่มีสตรีมีชื่อเสียงผู้ใดในเมืองหลวงที่ข้าไม่รู้จัก ย้อนกลับไปในตอนนั้นข้าซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะถวายเครื่องบูชาในวัดฉางเชิงนานกว่าหนึ่งชั่วยามถึงได้มองดูนางอย่างใกล้ชิด รูปลักษณ์ของนางไม่ต้องพูดถึงทั้งอ่อนโยนทั้งสง่างามราวกับเทพธิดา”
“น้ำลายหกแล้ว!”
อันอ๋องเช็ดมุมปากแล้วพบว่าอีกฝ่ายหลอกเขาก็พูดด้วยความโกรธ “ข้าช่วยเจ้าอยู่นะ! ชื่อเสียงของเจ้าก่อนหน้านี้ย่ำแย่มากเหตุใดถึงไม่เข้าใจสตรีในเมืองหลวงเช่นนี้!”
หยางชูหัวเราะอย่างรำคาญใจ เขาจะเข้าใจสตรีเหล่านั้นไปทำไมอีกทั้งยังไม่อยากจะเกี่ยวข้องกับสตรีที่ดีด้วย
“คุณหนูตระกูลหลูดีจริงๆ นะ!” อันอ๋องกลับเข้าหัวข้อเดิม “หากนางจับได้จริงๆ ก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าแม่เสือของข้า”
หยางชูแค่นหัวเราะ และยกถ้วยน้ำชาขึ้น “ต่อให้นางงดงามเพียงใดก็ไม่เท่าของข้าหรอก”
อันอ๋องชำเลืองมองหมิงเวยที่อยู่ด้านหลังแล้วพยักหน้า “ก็จริง”
ไม่ต้องพูดถึงสตรีที่จับป้ายได้ทั้งสิบกว่าคน หากนับคนที่เหลือที่อยู่ด้านนอก นางถือว่ายอดเยี่ยม
อันอ๋องรู้สึกอิจฉาขึ้นมา “เฮ้อ เหตุใดนางถึงไม่ชอบข้านะ!”
หยางชูมองเขาอย่างเย็นชา สายตานี้อันอ๋องจำช่วงเวลาที่หยางชูออกจากเมืองหลวงได้ในทันที คอเขาถูกอีกฝ่ายบิดเกือบหัก…
อันอ๋องหดคอแล้วรีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว “ข้าแค่จะบอกว่าจะจริงจังขนาดนั้นไปทำไมกัน”
“หึ!”
เมื่อพูดคุยเรื่องคุณหนูตระกูลหลู่เสร็จ อันอ๋องก็ทอดมองนอกฉากกั้นต่อไป
“คุณหนูเซี่ยงผู้นั้นมีสายตาที่ดี คุณหนูเซี่ยรูปร่างดีมาก คุณหนูหลูก็งาม เพียงแต่ไหล่นางหนาไปนิดหน่อย…”
ในขณะที่อันอ๋องพูดพล่ามอยู่นั้น ทางด้านกุ้ยเฟยกับฮุ่ยเฟยสนทนากับสตรีทีละคนเพื่อทำความเข้าใจกัน เหล่าคุณหนูทราบดีว่าเบื้องหลังฉากกั้นไม่ได้มีแค่เหล่าสนมเท่านั้น แต่ยังมีฮ่องเต้และเหล่าองค์ชาย พวกนางตื่นเต้นและพยายามแสดงออกอย่างเต็มที่
แม้จะจับไม่ได้ป้ายหงส์ แต่ถ้าหากทำให้สนมจำตนได้ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องอื่นเกิดขึ้น
เผยกุ้ยเฟยพูดจบก็ถามฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เริ่มเลยดีหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “ท่านราชครู”
“พ่ะย่ะค่ะ” เสวียนเฟยซึ่งยืนอยู่ข้างรูปปั้นปี้เซี่ยหยวนจวินก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “คุณหนูทั้งหลาย พวกท่านคือคนที่จับได้ป้ายอันดับที่หนึ่งจากเก้าสิบเก้าป้ายทั้งหมด ทุกท่านล้วนเป็นผู้มีวาสนา ป้ายหงส์มีเพียงหนึ่งเดียวผู้ใดจับได้ก่อนเป็นของผู้นั้น ตอนนี้ทั้งสิบสามท่านเข้าไปในห้องโถงพร้อมกันขั้นตอนหลังจากนี้ส่งผลต่อความยุติธรรมดังนั้นกระหม่อมคิดว่าควรให้จับพร้อมกันพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของฮ่องเต้ดังออกมาจากฉากกั้น “ท่านราชครู จับพร้อมกันอย่างไรหรือ”
เสวียนเฟยหันหลังทำความเคารพและตอบว่า “กล่องเซียมซีอยู่ที่นี่ คุณหนูแต่ละท่านจะเลือกเพียงหนึ่งป้ายจากนั้นจะให้เปิดป้ายพร้อมกัน ไม่มีผู้ใดเปิดก่อนหลังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้คิดตาม “ยุติธรรมดี”
เผยกุ้ยเฟยถาม “เลือกหนึ่งจากร้อยแล้วหากยังไม่มีผู้ใดจับได้เล่า”
“จากที่ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยกล่าวมาหมายถึงวาสนาไม่เพียงพอ สามารถทำการคัดเลือกใหม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นเหล่าคุณหนูก็รู้สึกประหม่าหากจับอีกรอบไม่ได้หมายความว่าตนไม่ถูกเลือกหรอกหรือ
ข้างในเงียบไปครู่หนึ่ง และได้ยินเสียงเผยกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนั้นไม่จำเป็น ข้าคิดว่าเหล่าคุณหนูที่จับป้ายอันดับหนึ่งได้หมายความว่าพวกนางมีวาสนา หากจับป้ายหงส์ไม่ได้จับอีกรอบย่อมได้”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสวียนเฟยหันกลับมาส่งสัญญาณให้นักพรตหยิบกล่องเซียมซีออกมา
“เมื่อครู่ข้าให้ลูกศิษย์ทำการห่อป้ายตอนนี้ทุกป้ายจะดูเหมือนกันหมด คุณหนูทุกท่านสามารถค่อยๆ เลือกได้จนกระทั่งเลือกหมดแล้วทุกคน แล้วค่อยเปิดพร้อมกัน ทุกท่านว่าอย่างไรบ้างขอรับ”
คุณหนูตระกูลหลู่พูดอย่างใจกว้าง “ข้าไม่มีอะไรจะคัดค้านเจ้าค่ะ” คนอื่นๆ คล้อยตาม
เสวียนเฟยพยักหน้า “เช่นนั้นเริ่มกันเลย”
นักพรตยืนถือกล่องเซียมซีตรงหน้าพวกนาง บางคนลังเล บางคนเลือก และบางคนปิดตาเพื่อเสี่ยงโชค เหวินอิ๋งรู้สึกประหม่าอย่างยิ่งกลัวว่าป้ายหงส์จะถูกหยิบออกไปก่อน แต่หากรีบร้อนเกินไปจะถูกสงสัยเอาได้
นางหวนนึกถึงคำพูดของคนที่ไท่จื่อส่งมาแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้ากล่องเซียมซี ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อนางขยับกล่องก็ต้องตกตะลึง กระดาษสีแดงที่พันป้ายนั้นยาวมากจนโผล่ออกมาแค่ส่วนหัว เครื่องหมายที่คนผู้นั้นพูดถึงจึงมองไม่เห็น
เหวินอิ๋งรู้สึกประหม่าจนเหงื่อออก กว่านางจะสามารถเข้ามาในห้องโถงได้ต้องใช้ความลำบากมากมาย หากจับไม่ได้ป้ายหงส์ทางไท่จื่อเองก็คงพูดอะไรไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่เหวินหรูเข้าตำหนักตงกง และได้รับแต่งตั้งเป็นเป่าหลิน[1] จิตใจของนางก็ปั่นป่วน ด้วยชื่อเสียงของตระกูลและไท่จื่อ การที่นางแต่งงานกับตระกูลที่เท่าเทียมกันไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ยืดเยื้อจนถึงตอนนี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่พอใจหรือ
หากวันหนึ่งไท่จื่อขึ้นครองราชย์ อย่างน้อยเหวินหรูจะถูกแต่งตั้งเป็นสนม แล้วนางล่ะ ภายภาคหน้านางต้องทำความเคารพน้องสี่ที่นางเคยดูถูกงั้นหรือ แค่คิดเหวินอิ๋งก็รับไม่ได้แล้ว
แต่ไท่จื่อมีเหวินหรูเป็นไปไม่ได้ที่จะมีนางด้วยอีกคน ซิ่นอ๋องกับอันอ๋องก็แต่งหวางเฟยไปแล้ว และเยวี่ยอ๋องที่ยังไม่ได้แต่งงานก็เป็นโอกาสเดียวของนาง
แม้นางจะรู้ว่าเยวี่ยอ๋องมีสถานะที่ค่อนข้างน่าอึดอัดรู้ว่าเขามีคนในใจอยู่แล้ว แล้วยังรู้ว่าไท่จื่อต้องการให้นางเป็นหูเป็นตาให้เขา แต่ก็ต้องเป็นให้ได้
ไม่สนว่าภายในจะเป็นอย่างไรขอให้ภายนอกดูดีก็พอ!
……………
[1] สนมขั้นที่ 6-8 : เป่าหลิน อวี้หนวี่ ไฉหนวี่