บทที่ 993 ข้าเพียงอยากอธิบายทีเดียว
บทที่ 993 ข้าเพียงอยากอธิบายทีเดียว
ลู่ฉาวอวี่พาแม่สื่อพร้อมสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอ ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรเช่นนั้นของเขาดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย ท้ายที่สุดแล้วการเคลื่อนไหวของใต้เท้าลู่น้อยในครั้งนี้ค่อนข้างโอ้อวดทีเดียว ยากที่จะไม่ให้ผู้คนกล่าวถึง
ประตูจวนสิงมีคนมากมายมารายล้อม
ทันทีที่ประตูเปิดออก ชาวบ้านที่เดิมทีออกันอยู่ตรงนั้นก็แยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว แต่ละคนแสร้งทำเป็นชมวิวทิวทัศน์ มองไปทางอื่น ซื้อของจากแผงลอย แสดงท่าทีประหนึ่ง ‘ข้าเพียงผ่านมา’
ลู่ฉาวอวี่ขึ้นรถม้า จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้ติดตามให้แม่สื่อขึ้นรถม้าอีกคันหนึ่ง แม่สื่อกล่าว “ใต้เท้าท่านนี้ ไม่ต้องแล้ว บ้านข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง”
“เช่นนั้นก็ได้ นี่เป็นรางวัลของท่าน” ผู้ติดตามมอบถุงเงินหนาหนักใบหนึ่งให้แม่สื่อ
แม่สื่อยิ้มปากแทบฉีกถึงหู “ใต้เท้าวางใจ ยายเฒ่าผู้นี้จะช่วยใต้เท้าลู่น้อยจัดการเรื่องงานแต่งอย่างสง่าผ่าเผยแน่นอน”
ผู้ติดตามก็ขึ้นรถม้าแล้วขับออกไปเช่นกัน
“แม่สื่อ ใต้เท้าลู่น้อยจะแต่งแม่นางสกุลสิงหรือ?”
“ไม่ผิด”
“คุณหนูสี่หรือคุณหนูห้าเล่า?”
“แน่นอนว่า…” แม่สื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าลองเดาดูสิ?”
“ยายเฒ่าผู้นี้ ยังจะล้อเล่นกับพวกเราอีก! รีบบอกเร็วเข้า…”
“ความลับไม่อาจแพร่งพราย หลังจากหมั้นหมายแล้วเจ้าก็จะรู้เอง” แม่สื่อกล่าว “อย่างไรก็ตาม สินสอดทองหมั้นก็รับไว้แล้ว สกุลสิงไม่มีวันคืนคำอย่างแน่นอน”
“กล่าวไปแล้วก็แปลกจริง ๆ เหตุใดคนที่มีสถานะอย่างใต้เท้าลู่น้อยวันนี้จึงได้บุ่มบ่ามนัก? กล่าวกันตามหลักแล้ว ควรให้แม่สื่อมาทาบทามเสียก่อน รอกระทั่งอีกฝ่ายตกลง ค่อยส่งสินสอดทองหมั้นตามมา! นี่ยังไม่ทันเชิญแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอ เขาก็นำสินสอดทองหมั้นมาเสียแล้ว นี่ก็เกิน…”
“พวกเจ้าไม่รู้อะไรเสียเลย” แม่สื่อเอ่ยด้วยท่าทีลึกลับ “ใต้เท้าลู่น้อยทำอย่างนี้ แน่นอนว่าเพราะร้อนใจอยากจะให้งานแต่งครั้งนี้สำเร็จ พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่นี้น่าตื่นเต้นเพียงใด หากเขาช้าไปเพียงหนึ่งก้าว คุณหนูห้าจะถูกสกุลหัวแย่งชิงไปแล้ว”
“อะไรนะ? สกุลหัว? สกุลหัวไม่ได้ตกลงเรื่องการแต่งงานกับสกุลทังหรือ?”
“สกุลหัวไม่ใช่ว่ามีคุณชายเพียงผู้เดียว” แม่สื่อกล่าว “ดูปากข้าสิ ไยมาพูดพล่ามเหลวไหลอยู่ที่นี่กัน หากใต้เท้าลู่น้อยรู้เข้า ข้าจะมีผลดีให้กินได้อย่างไร? สมควรตี สมควรตีจริง ๆ ข้าไม่พูดแล้ว”
“ยายเฒ่าผู้นี้ ปากก็พร่ำบอกไม่พูดแล้ว อันที่จริงอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูดล้วนพูดออกมาหมด” คนข้าง ๆ นางหัวเราะขึ้นมา
คำพูดของแม่สื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคน พวกเขาล้วนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ด้วยเหตุนี้จึงสอบถามข้อมูลจากบ่าวรับใช้จวนสิง
ไม่นานนัก บทละครฉบับเสร็จสมบูรณ์ก็ปรากฏที่โต๊ะของนักเล่าเรื่องในโรงน้ำชา หลังจากนักเล่าเรื่องเผยแพร่ต่อหน้าธารกำนัลอย่างประณีตบรรจง เรื่องราวการใช้อำนาจสู่ขอของใต้เท้าลู่น้อยก็แพร่สะพัดออกไป
เรือนกรุ่นฝัน มู่ซืออวี่พ่นน้ำชาในปากใส่ฝั่งตรงข้าม
หากไม่ตอบสนองรวดเร็ว หลีกได้ทันกาล เกรงว่าน้ำชาอาจพ่นใส่หลี่กู่หยวนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
หลี่กู่หยวนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้กับมู่ซืออวี่ “อาจารย์ ท่านอย่าได้ตื่นเต้นเพียงนั้น ถึงแม้ใต้เท้าลู่น้อยจะชิงลูกสะใภ้กลับมาให้ท่านแล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องดีใจจนเป็นเช่นนี้กระมัง?”
มู่ซืออวี่เช็ดมุมปาก แล้วเอ่ยเคือง ๆ “เจ้าเด็กคนนี้สร้างปัญหาให้ข้าแล้วจริง ๆ”
“ท่านไม่ได้อยากให้เขามีภรรยามาตลอดหรือ? ตอนนี้ในที่สุดเขาก็กระจ่างแล้ว ชนรุ่นต่อไปของสกุลลู่ก็มีนายหญิงแล้ว ท่านควรมีความสุขจึงจะถูก” หลี่กู่หยวนกล่าว
“นังหนูสกุลสิงคนนั้นข้าชอบทีเดียว เพียงแต่ อย่างไรข้าก็ไม่นึกว่าพวกเขาจะถึงขั้นเอ่ยเรื่องแต่งงานกันแล้ว หรือเจ้าเด็กนั่นคิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?” มู่ซืออวี่กล่าว
“ดังคำกล่าวที่ว่าไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรเท่ามารดา หากอาจารย์รู้สึกว่าใต้เท้าลู่น้อยกำลังทำอะไรแปลก ๆ เช่นนั้นก็แสดงว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แล้วจริง ๆ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ขวางหรือขอรับ?”
“ไม่จำเป็น” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ้าเด็กคนนั้นไม่ใช่หนุ่มน้อยแล้ว เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของเรามีลูกถึงสองคน ในฐานะพี่ชาย แม้กระทั่งมือสตรีเขายังไม่เคยสัมผัส ไยข้าจะต้องไปยุ่งเรื่องของเขา?”
“หากท่านไม่ยุ่ง มีความเป็นไปได้ที่เขาจะแต่งสะใภ้ในนามกลับมาให้ท่านผู้หนึ่ง ท่านยินดีแสดงละครร่วมกับพวกเขาหรือ?”
“หลายปีมานี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี หากเขาอยากแสดงละครฉากใหญ่ร่วมกันกับข้า ข้าก็ยินดีแสดงเป็นเพื่อน ขอเพียงเขาทำได้ก็เป็นอันใช้ได้” มู่ซืออวี่เอ่ย “วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อย ข้าจะไปถามเขา หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็มาดูละครเถอะ!”
“เช่นนั้นศิษย์ไม่เกรงใจแล้ว” หลี่กู่หยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผ่านมาหลายปี บัดนี้หลี่กู่หยวนมีลูกแล้ว ไม่ใช่หนุ่มน้อยผู้นั้นอีกต่อไป
บุรุษที่มีครอบครัวและก่อร่างสร้างตัวสามารถไว้หนวดเคราได้ หลี่กู่หยวนไว้หนวดเครา ดูไปแล้วเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุมขึ้นไม่น้อย
เพียงแต่ ภรรยาของเขา ขณะที่คลอดบุตรคนที่สองนั้นประสบปัญหาคลอดยาก ช่วยชีวิตเอาไว้ไม่ได้ เดิมทีหลี่กู่หยวนท่องไปทั่วทุกสารทิศ หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นจึงพาเด็ก ๆ กลับมาเมืองหลวงได้ไม่นานนัก
มู่ซืออวี่กลับมาถึงบ้านเร็ว ทว่าลู่ฉาวอวี่ เจ้าเด็กคนนั้นกลับไม่ได้ตรงกลับจวน แต่ยังดี นับว่าเขายังมีจิตสำนึกจึงไม่ปล่อยให้นางและหลี่กู่หยวนต้องรอนานนัก
หลี่กู่หยวนกำลังกินบะหมี่ที่มู่ซืออวี่ทำด้วยตนเอง เมื่อเห็นลู่ฉาวอวี่นั่งลงบนโต๊ะ ขณะที่บ่าวรับใช้ยกบะหมี่มาให้จึงเอ่ยว่า “ใต้เท้าลู่น้อย วันนี้ยุ่งมากกระมังขอรับ?”
อย่างไรเสียการสู่ขอแต่งงาน ตระเตรียมสินสอดทองหมั้น เชิญแม่สื่อ เรื่องที่ต้องให้ผู้อาวุโสที่บ้านเตรียมการ ทั้งหมดนี้เขาล้วนตระเตรียมเอง ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวสักคำ จากนั้นยังต้องไปทำธุระที่สำนักตรวจการอีก นับว่ายุ่งเป็นอย่างมาก
ลู่ฉาวอวี่เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ยังพอได้”
“อะแฮ่ม!” มู่ซืออวี่จ้องลู่ฉาวอวี่ “เจ้าไม่อธิบายสักหน่อยหรือ?”
“ท่านแม่ข่าวสารรวดเร็ว คงต้องได้ยินมาบ้างแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรให้มากความ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว
“ที่เล่าลือกันข้างนอกจะเหมือนเจ้าอธิบายต่อหน้าหรือ?” มู่ซืออวี่ยังคงจ้องเขา “เจ้าคงจะไม่รอให้สะใภ้แต่งเข้าประตูมาก่อน จึงค่อยอธิบายให้เราฟังอย่างชัดเจนกระมัง?”
“ก็ไม่ใช่ถึงเพียงนั้น” ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ ข้าย่อมต้องหาเวลาอธิบายให้ท่านแม่ฟังอย่างแน่นอน เพียงแต่วันนี้ท่านพ่อยังไม่กลับมา ข้าเพียงอยากรอให้ท่านพ่อกลับมาแล้วจึงอธิบายพร้อมกัน”
มิเช่นนั้นคงต้องอธิบายซ้ำสองรอบ ยุ่งยากเกินไป
“เจ้าจะอธิบายอย่างไร ตอนนี้อธิบายได้แล้ว” ลู่อี้เดินเข้ามาจากข้างนอก
“เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะสะดวกหรือไม่ หากพวกเราจะฟังคำอธิบายของเจ้าด้วย” ลู่เซวียนและฉีเซียวตามมาด้านหลังลู่อี้
จากแววตาของพวกเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาที่นี่เพื่อชมละครโดยเฉพาะ คงได้ยินจากข้างนอกมาแล้ว พวกเขาจึงแสดงสีหน้าตื่นเต้นเช่นนี้
“พ่อเจ้ากลับมาแล้ว ตอนนี้พวกเราล้วนอยากได้ยินเจ้าพูด” มู่ซืออวี่เอ่ย จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ “ยกอาหารมาได้แล้ว เลือกสุราดี ๆ มาสักไหด้วย”
หลี่กู่หยวนลุกขึ้นยืนคำนับทั้งสามคน หลังจากลู่อี้อนุญาตจึงนั่งลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์มีลาภปากแล้ว”
ลู่อี้นั่งลงข้างมู่ซืออวี่ รับน้ำชาจากบ่าวรับใช้ส่งให้นางก่อน เขาเหลือบมองน้ำจิ้มสีแดงในถ้วยนางแล้วกล่าวว่า “ทานเผ็ดขนาดนี้อีกแล้ว สองสามวันก่อนก็ปวดท้องกลางดึก บทเรียนเจ็บปวดเช่นนี้เจ้าลืมไปหมดแล้วหรือ?”
มู่ซืออวี่ “…”
นางทานรสจัด หลายปีมานี้ล้วนไม่เคยเปลี่ยนไป นึกไม่ถึงว่าอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายจะไม่แข็งแรงเหมือนตอนยังสาว แม้แต่พริกยังทนไม่ไหวแล้ว
ลู่อี้หยิบถ้วยนั้นออกและบอกให้บ่าวรับใช้นำออกไป
“อีกประเดี๋ยวทานอะไรเบา ๆ ระยะนี้อย่าได้กินเผ็ด”
“หมู่นี้ท่านขี้บ่นขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว”
“ทั้งสองท่าน พอแล้ว” ฉีเซียวเอ่ย “หลายปีเพียงนี้ พวกท่านมักแสดงความรักต่อหน้าเราอยู่บ่อย ๆ นี่เหมาะสมหรือ?”