คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 533 หลอกให้เสนาบดีลิ่นนับถือเต๋า

ตอนที่ 533 หลอกให้เสนาบดีลิ่นนับถือเต๋า

ตอนที่ 533 หลอกให้เสนาบดีลิ่นนับถือเต๋า

เสนาบดีลิ่นเชิญฉินหลิวซีกับหมอหลวงโอวผู้นั้นไปพูดคุยที่ห้องปีกอีกห้องหนึ่ง

ทันทีที่หมอหลวงโอวเห็นท่าทีเช่นนี้ ก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดี จากประสบการณ์ที่เป็นหมอมาหลายปี เสนาบดีลิ่นคงจะทำให้เขา ‘ลำบาก’ แล้ว

ตามที่คาดไว้ เขาถามว่าร่างกายของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าจะสามารถอยู่ได้อีกนานแค่ไหนจริงๆ

หมอหลวงโอวกระตุกมุมปาก คิดจะใช้การเอ่ยบ่ายเบี่ยงอย่างคลุมเครือมารับมืออย่างเช่นที่ผ่านมา เสนาบดีลิ่นกลับเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อยบอกว่าท่านแม่ของข้าอาจมีชีวิตอยู่ได้ถึงอายุเจ็ดสิบปี”

หมอหลวงโอว “!”

เขามองไปยังฉินหลิวซีด้วยสายตาตกตะลึง จริงหรือ

ฉินหลิวซีจิบชา สมแล้วที่เป็นจวนเสนาบดี ชานี้ดีมากจริงๆ น้ำชาใส ดื่มแล้วสดชื่น รสชาติคงอยู่ในคอนาน เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของหมอหลวงโอว นางจึงหันไปมอง

“ท่านหมอหลวง ข้าไม่เหมือนกับท่านที่อยู่ในแวดวงทางการ ข้าเป็นเพียงแค่หมอลัทธิเต๋า เห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ไม่มีอะไรที่เอ่ยไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

หมอหลวงโอวถอนหายใจ สายตาเผยให้เห็นถึงความอิจฉา

ตำแหน่งหมอหลวงฟังดูดีและมีเกียรติ แต่เมื่อเข้าวังเป็นหมอหลวงก็มีหลายเรื่องที่ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด ล้วนต้องเรียนรู้ และชั่งน้ำหนักให้ดี ดังนั้นบางทีพวกเขาก็ไม่สู้หมอชาวบ้านธรรมดาทั่วไป

หมอหลวงโอวเงียบไปครู่หนึ่ง มองไปยังเสนาบดีลิ่นพลางเอ่ย “ท่านเสนาบดี ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะดึงกลับมาจากประตูวิญญาณได้ แต่เดิมทีนางก็อ่อนแอ เกรงว่า…”

แม้ว่าในใจเสนาบดีลิ่นจะรู้ดี แต่เมื่อได้ยินหมอหลวงโอวกล่าวเช่นนี้ หัวใจของเขาก็ยังรู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างบิด เจ็บปวดเป็นที่สุด

แต่เขากลับไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า เอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อหมอหลวงโอวเห็นว่าไม่มีเรื่องใดแล้วจึงกล่าวลา เขาจะต้องอธิบายกับฮ่องเต้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของฮูหยินลิ่นผู้เฒ่า

เสนาบดีลิ่นไปส่งเขา กล่าวอธิบายสองประโยค จากนั้นก็หันกลับมา เมื่อเห็นฉินหลิวซีกำลังเงยหน้าดื่มชาก็อดเม้มริมฝีปากไม่ได้

เมื่อฉินหลิวซีเห็นเขามองมาจึงลุกขึ้นยืน ปัดไม้ปัดมือ เอ่ย “ท่านเสนาบดีวางใจแล้วกระมัง พวกเราควรจะคิดค่ารักษาแล้วใช่หรือไม่”

เสนาบดีลิ่น “เจ้าต้องการอะไร”

“ข้าก็ไม่ได้ต้องการอะไร ตระกูลเหมิงเตรียมถวายของขวัญวันฉลองพระราชสมภพแด่ฮ่องเต้ เป็นไข่มุกมังกรวารีหนึ่งเม็ด ข้าต้องการไข่มุกมังกรวารีเม็ดนั้น” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเพื่อไม่ให้ท่านเสนาบดีลิ่นบอกว่าข้าเสนอราคาสูงเกินไป ตราบใดที่เสนาบดีลิ่นนำไข่มุกมังกรวารีมาให้ข้า เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าสามารถทำนายดวงชะตาให้ท่านหรือคนที่ท่านชี้แนะได้”

ท่านเสนาบดีลิ่นตกตะลึง แต่ไม่ได้เก็บคำพูดที่นางบอกว่าจะทำนายดวงชะตาให้มาใส่ใจ เพียงแต่ถามว่า “หากเอามาไม่ได้ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่”

ตระกูลเหมิง เป็นตระกูลมารดาของพระสนมเหมิงกุ้ยเฟย เมื่อปีที่แล้วพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยให้กำเนิดโอรสมังกร ได้รับความโปรดปรานเป็นอย่างมาก ตำแหน่งของตระกูลเหมิงก็สูงขึ้นเช่นกัน หากจะบอกว่าหนึ่งคนประสบความสำเร็จ หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ดีไปด้วยก็ไม่เกินจริง

อย่างไรก็ตามในเดือนแปดเดือนเก้า ฮ่องเต้ได้โปรดปรานพระสนมเสวี่ยผินอีกหนึ่งคน ตำหนิตระกูลเหมิงไปสองครั้ง คาดว่าพระสนมเหมิงกุ้ยเฟยก็เริ่มเป็นกังวลเล็กน้อยแล้ว ตระกูลเหมิงเตรียมถวายไข่มุกมังกรวารีอะไรนั่นเป็นของขวัญวันฉลองพระราชสมภพ คาดว่าคงไม่ธรรมดา

และเด็กคนนี้กลับมุ่งความสนใจไปที่ของขวัญวันฉลองพระราชสมภพที่ตระกูลเหมิงต้องการถวาย

“เอามาไม่ได้ เช่นนั้น…” ฉินหลิวซีเคาะต้นขาตัวเอง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “หากเอามาไม่ได้ พวกฉินหยวนซานที่ถูกเนรเทศไปซีเป่ยเมื่อปีที่แล้ว หากท่านเสนาบดีมีโอกาสก็ช่วยพากลับมาด้วยเถิด”

พาพวกฉินหยวนซานกลับมาหรือ

เสนาบดีลิ่นมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย มองไปที่นาง สายตามีความหยั่งเชิงเล็กน้อย ถามว่า “ผู้นั้นคือ?”

“ฉินหยวนซานคือท่านปู่ของข้า ตระกูลฉินคือตระกูลของข้า” ฉินหลิวซีอธิบายเสียงเรียบ

ปลายนิ้วของเสนาบดีลิ่นขยับเล็กน้อย

น้ำเสียงเช่นนี้ จะว่าเจ้าให้ความเคารพ เจ้าก็เรียกชื่อของท่านปู่ออกมาโต้งๆ เมื่อพูดถึงตระกูลของตัวเอง ก็ยิ่งท่าทางสงบนิ่งราวกับไม่ได้ใส่ใจ

หากจะบอกว่าไม่ใส่ใจเลย นางก็ใช้น้ำใจนี้ของเขาเพื่อตระกูลของตัวเอง

ใช่แล้ว น้ำใจ

ไม่ว่าฮูหยินลิ่นผู้เฒ่าจะสามารถมีชีวิตยืนยาวหรือไม่ แต่ตอนนี้เวลานี้ ผู้ที่ดึงนางกลับมาจากประตูวิญญาณได้คือฉินหลิวซีผู้นี้ น้ำใจนี้ เขาลิ่นหรูเฟิงผู้นี้ต้องจำไว้

น้ำใจที่ช่วยชีวิตของท่านแม่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กลับเอาไปใช้กับคนในครอบครัวที่ถูกเนรเทศ แต่ก็ดูไม่ได้ใส่ใจมากเกินไป

นางดูรู้สึกขัดแย้งเป็นอย่างมากต่อตระกูลฉิน

ตระกูลฉินเองรู้หรือไม่ว่าหลานสาวที่เข้าสู่ลัทธิเต๋าผู้นี้มีความสามารถมากเพียงนี้

เสนาบดีลิ่นนั่งลง เอ่น “ใต้เท้าฉินหยวนซานทำผิดพลาดระหว่างพิธีบวงสรวงใหญ่ ถือเป็นสิ่งอัปมงคลร้ายแรง ทำให้คนในฮ่องเต้ไม่พอใจ ความผิดครั้งใหญ่เช่นนี้ แม้ว่าจะได้รับการอภัยโทษจากการถูกเนรเทศ แต่ก็เกรงว่าจะไม่สามารถกลับสู่ตำแหน่งเดิมได้”

“ข้าไม่สนใจเรื่องการกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมอะไรนั่น พวกเขาทำไม่ได้ก็ยังมีคนรุ่นหลังอยู่ แค่ฝึกฝนพวกเขาก็พอแล้ว หากฝึกฝนไม่ได้จริงๆ ตระกูลตกต่ำ นั่นก็เป็นชะตากรรมของตระกูลฉิน” ฉินหลิวซีตอบเสียงเรียบ

เสนาบดีลิ่นเหลือบมองนางอีกครั้ง

ฉินหลิวซียกริมฝีปาก “ท่านไม่ต้องมองข้าเช่นนั้น ข้าแซ่ฉินจริงๆ แต่กลับมีความสัมพันธ์เปราะบางกับคนในตระกูลฉิน ไม่มีทางใช้สิ่งที่ข้าเรียนรู้มาเพื่อหาตำแหน่งทางการอะไรเหล่านั้นให้พวกเขา”

แน่นอนว่าไม่มีทางดูถูกตระกูลฉิน เพราะการดูถูกตระกูลฉินก็คือการดูถูกนาง

สำหรับอนาคตของตระกูลฉิน เป็นสิ่งที่บรรดาบุรุษควรคำนึงถึง หลังจากพากลับมาแล้ว พวกเขาในฐานะที่เป็นกระดูกสันหลัง ควรทำอะไรก็ทำ อย่าหวังให้นางใช้สิ่งที่เรียนรู้มานำสิ่งดีๆ มาวางตรงหน้าให้พวกเขาเลือก ไม่มีทาง!

ใบหน้าที่ปกติสงวนท่าทีของเสนาบดีลิ่นแสดงความประหลาดใจ หลังจากเงียบไปนานก็กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ท่านเจ้าอาวาสน้อยมีจิตใจที่มองเห็นทะลุปุโปร่งตั้งแต่อายุยังน้อย”

“ท่านเสนาบดีลิ่นชมเกินไปแล้ว”

เสนาบดีลิ่นกล่าวอีกว่า “ข้ายังมีคำขอที่ไม่สมควรอีกเรื่องหนึ่ง ร่างกายของท่านแม่ข้ายังคงต้องการการฝังเข็ม ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่า หนึ่งเรื่องไม่รบกวนเจ้านายสองคน ขอให้เจ้าอาวาสน้อยอยู่ในเมืองหลวงต่อเพื่อฝังเข็มรักษาร่างกายให้ท่านแม่ข้าได้หรือไม่ ไข่มุกมังกรวารีเม็ดนั้น ข้าจะเอามาให้ท่านเจ้าอาวาสน้อย”

ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าค่อยมาใหม่พรุ่งนี้”

“หากท่านเจ้าอาวาสน้อยไม่มีที่พัก ไม่สู้พักอยู่ที่จวนข้าหรือไม่” เสนาบดีลิ่นกล่าวเชิญอีกครั้ง

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ข้าจะไปพักที่โรงประมูลจิ่วเสียน เมื่อถึงเวลาฝังเข็ม ข้าค่อยมาที่จวน”

เสนาบดีลิ่นไม่ได้ทำให้ลำบากใจ เอ่ยว่า “จะรบกวนให้เจ้าวิ่งไปมาได้อย่างไร ข้าจะให้ผู้ดูแลเตรียมรถไปรับเจ้าทุกวัน”

ฉินหลิวซีไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ เหลือบมองเขา กล่าวว่า “ยื่นมือมา”

เสนาบดีลิ่น “?”

“สีหน้าของท่านไม่ค่อยดี ข้าจะจับชีพจรเบื้องต้นให้ท่านสักหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ย

เสนาบดีลิ่นประหลาดใจเล็กน้อย ยิ้มพลางยื่นมือออกมา มองนิ้วเรียวยาวของนางที่กดลงบนชีพจร เอียงศีรษะเล็กน้อย ในใจคิดว่าตระกูลฉินช่างน่าสนใจจริงๆ มีภูเขาสมบัติแต่ไม่ได้ใช้

ขณะที่จิตใจของเสนาบดีลิ่นล่องลอย ฉินหลิวซีก็ดึงมือกลับ กล่าวว่า “บางครั้งมีอาการแน่นหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว ร่างกายหนักอึ้ง เหนื่อยล้า กลางคืนนอนไม่หลับ มีความวิตกกังวลหรือไม่”

ดวงตาของเสนาบดีลิ่นเป็นประกาย เอ่ย “กิจราชสำนักมีความสำคัญมาก ในฐานะที่เป็นข้าราชการเสนาบดี มีหรือจะไม่เป็นกังวล”

“เช่นนั้นก็ไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป ท่านเสนาบดีก็อายุห้าสิบปีแล้ว นับว่าอายุไม่น้อย หากไม่ใส่ใจดูแลร่างกาย ก็เสี่ยงที่จะเป็นภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ นั่นก็คือโรคหัวใจ” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “เมื่อโรคหัวใจกำเริบ หากช่วยเหลือไม่ทันเวลา อัตราการเสียชีวิตก็สูงพอๆ กับโรคหลอดเลือดในสมอง”

รอยยิ้มของเสนาบดีลิ่นจางหายไป

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “หากท่านเสนาบดีต้องการรับใช้ราษฎร ก็ต้องมีร่างกายแข็งแรงเพื่อทำตามความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือ”

“เช่นนั้นควรรักษาอย่างไร”

“ข้าจะสั่งยาเบื้องต้นให้ท่านสักหน่อย นอกจากนี้ ว่ากันว่าบำเพ็ญตนปลูกฝังคุณธรรม จิตใจคนในใต้หล้ามีเพียงเต๋าที่พึ่งพาได้ ชะตาชีวิตข้าขึ้นอยู่กับข้าไม่ได้อยู่กับสวรรค์ ไม่สู้ท่านเสนาบดีลองบำเพ็ญเต๋าบำรุงร่างกาย อารามชิงผิงของข้ามีพระสูตรบำรุงร่างกายเบื้องต้นที่เหมาะสมกับท่านอยู่สองสามม้วน”

เสนาบดีลิ่น “…”

ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้กำลังหลอกให้ข้านับถือเต๋า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Score 10
Status: Completed
คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาชีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวชี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเดำเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู่ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่นปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมรื่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้วหน้าใดๆ แต่สรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเขียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นดันเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! "เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ" "ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ" "ไม่ป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง" "ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า" ฉีเซียนเอ่ย "ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป..." ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ "เดิมที่ท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน" "..."

Options

not work with dark mode
Reset