บทที่ 449 ฉันต้องการประทับตราสินค้าเอาไว้
บทที่ 449 ฉันต้องการประทับตราสินค้าเอาไว้
ที่ทางเข้าโรงน้ำชา มีบริกรนำทางชายรูปร่างผอมเพรียวมาทางนี้
เขาอายุสามสิบต้น ๆ ใบหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา มีรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปาก ดูเป็นคนอ่อนโยนและสุภาพ
เหล่าไต้ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงต้องพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ “นั่นเขาล่ะ ฉินไฮว่เซิง เธอรู้จักเขาไหม?”
ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก ฉินไฮว่เซิงเป็นต้นแบบของเซี่ยชิงหยวนในชาติที่แล้ว เข้าใจแล้วรึยังล่ะ?
ในเวลานั้น เธอติดตามถานม่าน ซ้ำยังเป็นมือใหม่ที่ไม่รู้อะไรเลย ฉินไฮว่เซิงก็เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่มีชื่อเสียงในเมืองกว่างโจวแล้ว
ในตอนที่เธอลาออกมาจากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋า ร้านเสื้อผ้าอย่าง ‘ไฮว่จู๋เซิงหนาน’ ของฉินไฮว่เซิงก็ติดห้าอันดับแรกในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าของมณฑลไปเสียแล้ว
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนประทับใจในตัวฉินไฮว่เซิงมากที่สุดไม่ใช่แค่ถ้อยคำชมเชยสรรเสริญจากประชาชนของไฮว่จู๋เซิงหนานที่ได้รับการยอมรับจากอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคำพูดที่ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวในที่ประชุมว่าเขาต้องการทำให้เครื่องแต่งกายแบบจีนกลายเป็นกระแสนิยมที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก ซึ่งทำให้เธอสั่นไหวอย่างยิ่ง
ในเวลานั้นเธอพบเขาเพียงไม่กี่ครั้งและได้รับกำลังใจจากเขาเพียงไม่กี่คำ ทั้งยังไม่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นแต่อย่างใด
เพียงแต่รายงานทั้งหมดเกี่ยวกับฉินไฮว่เซิงกลับไม่ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ของเขากับโรงงานผ้าไหมหงเหมียนเลย เป็นเพราะอะไรกันนะ?
หรือว่าฉินไฮว่เซิงจะออกจากโรงงานผ้าไหมหงเหมียนด้วยเหตุผลบางประการ และไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย?
เซี่ยชิงหยวนรวบรวมสติของเธอ ก่อนจะส่ายหัว “ไม่ค่ะ ไม่รู้จัก”
แน่นอนว่าเธอไม่เคยพบเขามาก่อนในชาตินี้
ในขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ฉินไฮว่เซิงก็มาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เขายื่นมือไปทางทั้งสอง “สวัสดีครับ ผมฉินไฮว่เซิงครับ”
เหล่าไต้ยื่นมือไปจับมือกับเขา “สวัสดีครับคุณฉิน”
เซี่ยชิงหยวนปฏิบัติตาม โดยจับมือของเขาอย่างจริงใจ “สวัสดีค่ะคุณฉิน ฉันเซี่ยชิงหยวนค่ะ”
สายตาของฉินไฮว่เซิงจ้องไปยังเซี่ยชิงหยวนอย่างเรียบเฉย ไม่ได้แสดงท่าทีหยาบคายใด ๆ ออกมา “คุณเซี่ยเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในวงกาการรออกแบบเสื้อผ้าจริงๆ ครับ”
ขณะเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านัก
เหล่าไต้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยปากอธิบาย “คราวก่อนที่ฉันพบกับคุณฉิน ฉันได้นำภาพแบบร่างที่เธอออกแบบให้เขาดูน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจทันที เธอระบายยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เป็นแค่งานอดิเรกน่ะค่ะ ไม่อาจน้อมรับคำชมได้หรอก”
หลังจากทักทายกันพอหอมปากหอมคอ พวกเขาก็เริ่มเข้าสู่ประเด็นหลัก “คราวก่อนคุณไต้บอกว่าคุณเซี่ยต้องการร่วมมือกับหงเหมียนเพื่อผลิตสินค้าที่คุณออกแบบเอง รวมถึงให้ทางเราดำเนินการการผลิตเหรอครับ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ ตอนนี้ฉันมีร้านขายเสื้อผ้าแล้ว และจะขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่อง ฉันจึงอยากสร้างแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองขึ้นมาค่ะ”
ฉินไฮว่เซิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบา ๆ “ความคิดของคุณเซี่ยนี้นับว่าเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่อย่างยิ่งเลยครับ ผมขอเสียมารยาทถามหน่อยนะครับ คุณเซี่ยมีความคิดนี้ขึ้นมาได้ยังไงเหรอครับ?”
เขาวางถ้วยชาลงแล้วโน้มตัวไปข้างหน้า ถ้อยคำของเขายังคงเป็นไปตามระเบียบแบบแผน “คุณเซี่ยอย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ในครั้งแรกที่ได้พูดคุยกับคุณไต้ ผมรู้สึกประทับใจและชื่นชมแนวคิดของคุณเซี่ยเป็นอย่างมาก”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ความลับที่ไม่สามารถบอกได้อะไร เธอจึงกล่าวว่า “ตอนนี้อุตสาหกรรมเสื้อผ้าในประเทศกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว คุณภาพและคำชื่นชมนั้นอาจกล่าวได้ว่าค่อย ๆ ปรากฏกระแสคำวิจารณ์ที่หลากหลาย”
“เสื้อผ้าหลากหลายรูปแบบที่มาจากต่างประเทศหรือจากตลาดฝั่งฮ่องกงก็จะมีผู้คนจำนวนมากแย่งกันซื้อ เพราะรู้สึกว่าแค่เพียงเป็นของต่างประเทศหรือของฝั่งฮ่องกงก็ดีทั้งสิ้น”
“นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันจึงต้องการสร้างแบรนด์เสื้อผ้าในแบบของตัวเองขึ้นมา โดยผสมผสานองค์ประกอบอันเป็นอมตะแบบจีนของเราเพื่อปรับให้เข้ากับกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากในประเทศ เสื้อผ้านั้นจะได้รับการควบคุมดูแลตลอดทั้งกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การออกแบบ การขึ้นแบบ การผลิต ตลอดจนการวางขาย เพื่อให้กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมทั้งหมด”
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนพูดจบ ไม่เพียงแต่เหล่าไต้เท่านั้นที่แข็งค้างไป แต่แม้แต่ฉินไฮว่เซิงเองก็เงียบนิ่งไปครู่หนึ่งเช่นกัน
ใบหน้าของฉินไฮว่เซิงพลันประดับด้วยรอยยิ้ม แสดงความพึงพอใจว่าพบคนรู้ใจ ดื่มกันพันจอกยังว่าน้อยไปเลย “คุณเซี่ยคือสตรีที่ไม่เป็นรองบุรุษอย่างแท้จริงเลยครับ”
เมื่อได้รับการยกย่องจากต้นแบบในชาติที่แล้วของตัวเอง ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็พลันแสดงอาการเขินอายที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนักออกมา
อันที่จริง แนวคิดของเธอพวกนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากเขานั่นแหละ
เธอพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ยังห่างชั้นเมื่อเทียบกับคุณฉิน ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากค่ะ”
ฉินไฮว่เซิงพยักหน้ารับ “ในนามของหงเหมียน ผมหวังว่าจะสามารถส่งเสริมการร่วมมือกับคุณเซี่ยในครั้งนี้ให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีครับ เพียงแต่ผมมีแนวคิดบางอย่างที่อยากจะพูดคุยปรึกษากับคุณเซี่ยสักหน่อย”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “คุณฉินลองพูดมาเลยค่ะ”
ฉินไฮว่เซิงเอ่ย “ผมชื่นชมในพรสวรรค์ของคุณเซี่ย และในอนาคต นอกเหนือจากการผลิตเสื้อผ้าให้กับคุณเซี่ยแล้ว ผมยังอยากจะขอใช้ผลงานออกแบบของคุณเซี่ยในการผลิตเสื้อผ้าด้วย หากคุณเซี่ยวางใจ ทางเราจะให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแน่นอน ไม่ทราบว่าคุณเซี่ยคิดเห็นยังไงบ้างครับ?”
ได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่เซี่ยชิงหยวนที่ตกตะลึง แม้แต่เหล่าไต้เองก็เช่นกัน
การที่ผลงานเป็นที่ชื่นชอบก็เท่ากับว่าเซี่ยชิงหยวนได้รับการยอมรับแล้ว เธอย่อมต้องมีความสุข
เว้นแต่ว่าเธอเองก็มีความกังวลเช่นกัน
หากเสื้อผ้าที่มีรูปแบบเดียวกันถูกวางขายที่ร้านอื่นนอกจากร้านยามต้องมนต์ และราคาก็ถูกกว่าที่เธอขาย ไม่ว่าคุณภาพจะเป็นอย่างไร ร้านพวกนั้นก็จะแย่งลูกค้าบางส่วนไปจากเธอ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเธอด้วย
ฉินไฮว่เซิงเห็นถึงความกังวลของเซี่ยชิงหยวน จึงเอ่ยต่อ “คุณเซี่ยโปรดวางใจ หากทางเราร่วมมือกับคุณเซี่ย เสื้อผ้าพวกนี้จะถูกส่งไปที่ยังห้างสรรพสินค้าหรือร้านเสื้อผ้าชั้นนำในฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ และเมืองหลวง จะไม่มีการขัดแข้งขัดขากับร้านในเครือของคุณเซี่ยแน่นอนครับ”
เมื่อฉินไฮว่เซิงพูดแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ใจเต้นอย่างแท้จริง
ไม่มีทางที่สถานที่เหล่านี้จะขายเสื้อผ้าได้ถูกกว่าที่ร้านของเธอ ซ้ำยังเป็นการช่วยเพิ่มความนิยมให้กับแบรนด์ของเธออีกด้วย
เพียงแต่การที่ฉินไฮว่เซิงหยิบยกสิ่งที่เธอต้องการจะบรรลุในอีกสองสามปีข้างหน้ามานั้นมันทำให้เธอตื่นตกใจไม่น้อย
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “สำหรับเรื่องที่คุณฉินพูดมา ฉันมีคำขอค่ะ”
เธอเงียบลงครู่หนึ่ง นัยน์ตาเป็นประกายลุกโชน “บนพื้นฐานของการตกลงราคาร่วมกัน ฉันหวังว่าเสื้อผ้าพวกนี้จะมีการประทับตราสินค้าของฉันเอาไว้ค่ะ”