ตอนบ่าย เริ่นเสี่ยวซู่ เหยียนลิ่วหยวน และหลัวหลานเดินนวยนาดออกมาจากบ้าน ตอนแรกเหยียนลิ่วหยวนยังเป็นกังวลอยู่บ้าง แต่หลังจากมีหลัวหลานมาร่วมด้วยก็รู้สึกสบายใจกว่าเดิมมาก เจ้าอ้วนกินเยอะผู้นี้ถึงเวลาแล้วก็เป็นคนมีน้ำใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเขาสามคนออกออกเดินทางไปงานเลี้ยง อันดับแรกพวกเขาขึ้นรถรางไปยังถนนฟู่ซิง ก่อนจะเปลี่ยนไปขึ้นรถรางอีกสายเพื่อเดินทางขึ้นเหนือ
พวกเขาใส่ชุดธรรมดาไป แต่ไม่มีความเขินอายอะไรแม้แต่นิด
หลังจากมาถึงสถานีปลายทาง พวกเขาก็เดินขึ้นไปทางเหนือต่อ หลัวหลานพลันเอ่ย “เริ่นเสี่ยวซู่ อีกเดี๋ยวในอนาคตทำไมนายไม่กลับไปพื้นที่สมาคมตระกูลชิ่งกับฉันล่ะ”
“เอ๋?” เริ่นเสี่ยวซู่หันมองหลัวหลาน “ทำไมล่ะ”
“ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนธรรมดา คนธรรมดาที่ไหนจะรอดจากการล้มสลายของสามป้อมปราการได้กัน แล้วก็ไม่ใช่ว่าฉันพยายามจะใช้ประโยชน์จากนายหรอกนะ หลังกลับเข้าเขตของสมาคมตระกูลชิ่งแล้วนายจะทำอะไรก็ได้ตามใจ” หลัวหลานว่า “แต่ถ้าอยากจะช่วยเรา ฉันจะให้ชิ่งเจิ่นจ่ายเงินให้นาย”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะและว่า “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ชอบอาศัยอยู่ในป้อมปราการ”
พูดแล้วเหยียนลิ่วหยวนก็ตาทอประกาย คิดว่าในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะออกจากป้อมปราการ แต่เขายังไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะพาไปที่ไหน
แต่สำหรับเหยียนลิ่วหยวนแล้วจะไปที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก ใจพร้อมตามเริ่นเสี่ยวซู่ขึ้นเป็นเจ้าครองภูเขา
แต่แน่ล่ะว่ายังต้องรอให้เริ่นเสี่ยวซู่ฟื้นตัวเต็มที่เสียก่อน รวมไปถึงต้องรอโอกาสงามโผล่มาด้วย ตอนนี้สมาคมตระกูลหยางไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่นอน
หลัวหลานตอบ “ถ้าไม่อยากอยู่ป้อมปราการ ฉันให้นายอยู่ในเมืองน้อยก็ได้นะ ไหนๆ พวกนายก็เคยอยู่ในเมืองน้อยมาก่อนนี่ มันไม่น่ามีปัญหาอะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกล่อตาล่อใจเล็กน้อยกับข้อเสนอนี้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้าเขาตีสนิทกับหลัวหลานและชิ่งเจิ่นได้ ก็น่าจะจัดการปัญหาหลายๆ อย่างได้ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตอบคำถามตรงๆ แต่ยิ้มพูด “นายคงกำลังคิดอยู่สินะว่าจะออกไปจากที่นี่ยังไง ฉันไม่คิดว่าสมาคมตระกูลหยางจะปล่อยนายไปหรอก”
“ไม่มีปัญหา” หลัวหลานพูดอย่างไม่ยี่หระ “ชิ่งเจิ่นต้องส่งคนมาช่วยฉันอยู่แล้ว แค่รออย่างใจเย็นเป็นพอ พอถึงเวลาถ้านายอยากออกจากป้อมปราการตระกูลหยางด้วยก็มาหาฉัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าข้อมูลที่หลัวหลานเปิดเผยมารอบนี้สำคัญมาก ชิ่งเจิ่นต้องมาช่วยหลัวหลานแน่นอน และพอถึงตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็สามารถนำเสี่ยวอวี้กับคนอื่นๆ หนีไปกับหลัวหลานได้ด้วย
เริ่นเสี่ยวซู่พลันคิดว่าความสัมพันธ์ของหลัวหลานกับชิ่งเจิ่นนั้นสนิทชิดเชื้อกันไม่ต่างจากเขาและเหยียนลิ่วหยวนเลย พวกเขาไม่จำเป็นต้องพูดเปิดอกให้เข้าใจกัน ก็เหมือนอย่างที่หลัวหลานมั่นใจอย่างหนักแน่นว่าชิ่งเจิ่นจะทำทุกอย่างเพื่อตน
เป็นความเข้าใจและความเชื่อมั่นที่จะวางชีวิตตนไว้ในมือผู้อื่น อย่างเช่นตอนย้อนกลับไปป้อมปราการ 108 ต่อให้ตัวทดลองจะตามพวกเขาทันแล้ว แม้เขาอาจจะต้องตาย เหยียนลิ่วหยวนก็ยังจะอยู่ข้างเริ่นเสี่ยวซู่ต่อ
เริ่นเสี่ยวซู่คิดแล้วก็รู้สึกสนิทชิดเชื้อกันเจ้าอ้วนหลัวขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง
ทันใดนั้นเองก็มีรถหลายคันขับผ่านพวกเขาไป ถ้าขึ้นเหนือไปอีกหน่อยก็จะถึงคฤหาสน์แกะสัมฤทธิ์ของตระกูลหยางแล้ว ดูเหมือนว่าคนพวกนี้น่าจะกำลังไปร่วมงานเลี้ยงเช่นกัน
หลัวหลานเห็นสายตาของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยิ้มพร้อมอธิบายว่า “ไม่ต้องอิจฉาที่พวกเขาขับรถแพงๆ และได้ร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตหรอก คนที่เข้าร่วมงานพวกนี้ได้เรียกรวมๆ กันว่าชนชั้นสูง อย่างเช่นว่าอาจจะผู้อำนวยการของกองพลาธิการ หรือไม่ก็ผู้อำนวยการกองการค้า เป็นพวกเสแสร้งว่าใช้ชีวิตได้อย่างหรูหราเชิดหน้าชูตา แต่พอเจอตอเข้าทีโหลยโท่ยยิ่งกว่าสุนัขอีก”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ไม่ใช่ว่าระหว่างพวกเขาหนีกันเหยียนลิ่วหยวนฆ่าผู้อำนวยการกองพลาธิการของสมาคมตระกูลหลี่ไปคนหรอกเหรอ คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็รังเกียจพวกเขายิ่งกว่าเดิม
ในยุคสมัยที่ผู้มีพลังพิเศษกำลังผงาดขึ้น อำนาจอันเบ็ดเสร็จจะเริ่มส่งผลกระทบต่อลำดับขั้นทางสังคม เริ่นเสี่ยวซู่พบว่ายิ่งมองคนพวกนี้ไปก็ยิ่งเวทนา เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหัว เป็นอารมณ์ที่มาพร้อมกับพลังที่แข็งแกร่งขึ้น เขาต้องทำสมองให้ปรอดโปร่งเสียก่อน ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาหยิ่งผยอง
ขณะเดียวกันหลัวหลานเคยเป็นผู้ควบคุมที่แท้จริงของป้อมปราการ 113 เขาย่อมดูถูกพวกที่เรียกว่าชนชั้นสูงที่เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการอยู่แล้ว ถ้าเจ้าอ้วนได้กลับไปสมาคมตระกูลอย่างครบสามสิบสอง เขาอาจจะกลายเป็นหนึ่งในคนที่ทรงอำนาจที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
แต่ก็แน่ละ จะกลับไปได้หรือเปล่าก็อีกเรื่อง…
ในหมู่รถหรูที่ขับผ่านไปนั้น ไม่มีใครตั้งใจหยุดรถล้อเลียนพวกเขาที่เดินอยู่เลย ทุกคนยุ่งกันมาก ไม่ทันคิดหรอกว่าพวกเริ่นเสี่ยวซู่จะไปร่วมงานเลี้ยงเหมือนกัน
เพราะในทางกลับกัน เหล่าดาราในรถหรูต่างสวมชุดอย่างดีไปร่วมงานเลี้ยง ส่วนพวกเริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปด้วยเสื้อผ้าธรรมดา
คนของตระกูลหยางที่มาเชิญเขาดูจะตั้งใจบอกเริ่นเสี่ยวซู่ตรงๆ เลยว่าผู้อพยพไม่มีทางเข้าไปอยู่ในลำดับชั้นทางสังคมเดียวกับพวกเขาได้หรอก
พอมาถึงประตูรั้ว ทหารรักษาความปลอดภัยก็เข้ามาตรวจสอบจดหมายเชิญ หลังจากหลัวหลานยื่นจดหมายไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นว่าทหารรักษาความปลอดภัยผงะ จากนั้นก็เปิดประตูรั้วให้พวกเขาเข้าไปอย่างนอบน้อม
หลัวหลานยิ้มพูดขณะเดินเข้าไป “พวกหมาเฝ้าประตูที่ทำงานให้ครอบครัวเศรษฐีล้วนเป็นพวกฉลาดหมด ตราบใดที่มีจดหมายเชิญ ใส่ชุดแบบไหนก็ไม่กล้าดูหมิ่นนายหรอก เพราะว่าเจ้านายพวกเขาเป็นคนเชิญนายยังไงล่ะ”
มีคนไม่น้อยยืนอยู่บนสวนของคฤหาสน์แล้ว ทุกคนต่างมีแก้วเหล้าใสในมือ ยกแก้วชนกับคนอื่นๆ
ถ้าเขาไม่ได้มาเห็นด้วยตัวเอง เริ่นเสี่ยวซู่คงไม่เชื่อแน่ว่าคนที่นี่ใช้ชีวิตต่างไปต่างผู้อพยพอย่างสิ้นเชิง
หลัวหลานเรียกคนรับใช้คนหนึ่งและหยิบแก้วเหล้าจากถาด จากนั้นก็ยื่นให้เริ่นเสี่ยวซู่และเหยียนลิ่วหยวน
แต่ก่อนที่เหยียนลิ่วหยวนจะทันรับแก้วตัวเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ฉกมาก่อน “นายยังเด็กเกินกว่าจะดื่มเหล้า” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็วางแก้วไว้บนโต๊ะด้านข้าง
ทันใดนั้นก็มีคนพูด “ได้ยินว่าคืนนี้มีแขกคนสำคัญจากสมาคมตระกูลจงมา”
มีคนถาม “รู้ไหมว่าใคร”
มีคนพูด “ได้ยินว่าเป็นคนอนาคตไกลที่เป็นผู้บังคับบัญชาตำแหน่งสำคัญในสมาคมตระกูลจง เขาทำหน้าที่บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ของป้อมปราการ 141 ทั้งหมดเลย และป้อมปราการ 141 เป็นศูนย์บัญชาการของสมาคมตระกูลจง”
หลัวหลานกระซิบ “ปกติแล้วคนในตระกูลจะถูกส่งมาเป็นทหารรักษาการณ์ เป็นสถานที่ที่คนไม่เอาถ่านมารวมตัวกัน”
แต่มีคนอื่นพูด “แต่ได้ยินว่าแขกหลักของวันนี้ไม่ใช่คนของสมาคมตระกูลจงนะ”
“เอ๋ ไม่ใช่คนของสมาคมตระกูลจงเหรอ?”
“ใช่ ดูเหมือนว่าจะมีคนจากป้อมปราการ 178 มาเหมือนกัน เห็นว่าลูกน้องคนสนิทที่สุดของจางจิ่งหลินมาร่วมประชุมคุยเรื่องแผนป้องกันของสมาคมตระกูลหยางกับตระกูลจง” มีคนตอบ
“แต่ฉันได้ยินว่าไม่ใช่แผนป้องกันร่วมนะ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังร่วมมือกันปราบโจรในแดนเถื่อนที่เป็นพื้นที่ระหว่างสมาคมตระกูลหยาง ตระกูลจง และป้อมปราการ 178 ต่างหาก เห็นว่าพวกเขาจะกู้สายการค้าระหว่างสามฝ่ายน่ะ”