บทที่ 466 เจ้าคงไม่ได้ชอบ…
ทุกคนล้วนจมอยู่กับความยินดีหลังได้รับชัยชนะ มีเพียงจี้จือฮวนเท่านั้นที่ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่
ก่อนจะสั่งให้ทุกคนแยกย้ายไปทำงาน เหล่ารองแม่ทัพเป็นคนที่ติดตามเผยยวนมาก่อน ย่อมรู้ถึงความสำคัญของการบังคับใช้กฎในกองทัพ จึงพาคนไปทันที
หลิวเฟิงได้ลงไปในอุโมงค์ใต้ดิน โดยมีลู่เอี้ยนคอยช่วย และให้คนส่วนหนึ่งนำศพออกมา ส่วนศพของสือเกาเฟยก็ถูกไป๋จิ่นหิ้วลงมาจากบันได และถือโอกาสเปิดแผล ช่วยนำกระสุนออกมาให้จี้จือฮวนด้วย
ลู่เอี้ยนเอ่ยถาม “ศพนี้จะจัดการอย่างไรหรือ?”
“ปกติแล้วข้ากับเผยยวนมักจะนำร่างไปแขวนประจานบนกำแพงเมือง พวกเจ้าเล่า?” จี้จือฮวนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบเลือดที่มือ
ลู่เอี้ยนจ้องใบหน้าเย็นชาของนาง ทันใดนั้นก็สะอึกขึ้นมา
ยากที่จะจินตนาการได้ว่าคำพูดเช่นนี้จะออกมาจากปากของสตรี
จี้จือฮวนปรายตามองเขาอย่างสงบนิ่ง “ทำไม หากนายอำเภอลู่กลัวล่ะก็ ข้าให้คนอื่นไปทำก็ได้นะ”
ลู่เอี้ยนกลืนน้ำลายลงคอ “ไม่กลัว”
“ดี” จี้จือฮวนหิ้วกล่องยาน้อยขึ้นมา “ร้านขายยาที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่อยู่ที่ใด มียารักษาอาการบาดเจ็บเหลือบ้างหรือไม่?”
“ไม่มียารักษาอาการบาดเจ็บเหลือแล้ว และหมอหลายคนก็ถูกฆ่าตายไปด้วย” ก่อนหน้านี้ลู่เอี้ยนไม่รู้ว่ามีอุโมงค์ใต้ดิน หมอหลายคนก็ตายไปอย่างลึกลับ พวกเขาจึงคิดว่ามีคนทรยศ ไหนเลยจะรู้ว่ากองกำลังสือฟางจะขุดอุโมงค์ใต้ดินเข้ามาเช่นนี้
มิน่าเล่า ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถหาตัวคนทรยศได้
จี้จือฮวนพยักหน้ารับรู้ โชคดีที่ในมิติพิเศษของนางมียาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งในกล่องยาน้อยก็ยังมียาอยู่ การรักษาทหารที่บาดเจ็บจึงไม่ใช่ปัญหา
“การช่วยคนไม่อาจรอช้าได้ ขอนายอำเภอลู่พาข้าไปที่ร้านขายยาที แล้วช่วยนำทหารที่บาดเจ็บมาที่นี่ตามความรุนแรงของอาการด้วย คนแก่ในเมืองสามารถรับผิดชอบเรื่องการต้มยาได้ และให้ทหารคนอื่นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรีบไปพักผ่อน พรุ่งนี้จะมีกองทัพทหารเกราะเหล็กของข้าป้องกันเมืองให้”
ไม่รู้เหตุใดลู่เอี้ยนที่เป็นคนออกคำสั่งที่นี่มานานเพียงนี้ จู่ ๆ เมื่อมีคนทำงานเร็วกว่าเขาและรู้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลัง ทันใดนั้นลู่เอี้ยนก็เกิดความสงสัยในตัวนางขึ้นมา
จึงอาศัยตอนที่จี้จือฮวนพาไป๋จิ่นและเยว่พั่วหลัวเข้าไปในร้านขายยา และเขาต้องพาทหารเกราะเหล็กคนอื่น ๆ ไปเคลื่อนย้ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บมาที่นี่ สอบถามพวกเขาขึ้นมาหนึ่งประโยค
“ท่านต้องการจะถามพวกเราว่าพระชายามาจากตระกูลขุนพลใดใช่หรือไม่ขอรับ? ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านพ่อของพระชายาเป็นคนที่ไม่มีใครนับถือ ก็จี้กั๋วกงนั่นอย่างไรเล่า ท่านคงรู้จักกระมัง?”
ลู่เอี้ยนตกตะลึง “เจ้าหมายถึงจวนจี้กั๋วกงอย่างนั้นหรือ?!”
เช่นนั้น…เช่นนั้นหรือว่า จี้จือฮวนผู้นี้ ก็คือจี้จือฮวนคนเดียวกันกับที่เขาคิดก่อนหน้านี้อย่างนั้นหรือ?
คงไม่ใช่กระมัง เป็นไปไม่ได้!?
แน่นอนว่าลู่เอี้ยนเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนางมาก่อน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่านาง…
สรุปคือ ลู่เอี้ยนก็ไม่สามารถอธิบายได้ “เช่นนั้นเหตุใดเผยยวนถึงแต่งงานกับนางได้?”
ตอนนั้นลู่เอี้ยนถูกลดตำแหน่งและต้องมาเป็นนายอำเภอเล็ก ๆ ที่จินโจว ต่อมาเผยยวนก็ถูกวางยาพิษ และไม่มีข่าวใด ๆ อีกเลย ลู่เอี้ยนเองก็เคยสืบเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผยยวนอยู่บ้าง แต่ด้วยเส้นทางที่ยาวไกล เขาจึงได้รับข่าวแค่สองครั้ง โดยได้ยินมาว่าเผยยวนกลับมาแล้ว และยังได้เป็นเนี่ยเจิ้งอ๋องอีกด้วย
การที่ลู่เอี้ยนช่วยพูดแทนเขาในครั้งนั้น ก็ออกมาจากใจจริง ๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ทวงบุญคุณกับเขาในยามที่เขาได้ดิบได้ดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงยังเป็นแค่นายอำเภอตัวเล็ก ๆ อยู่
“แม่นางจี้เป็นคนที่เก่งมาก”
“ใช่แล้วขอรับ ท่านอย่ามองว่าพระชายาของเราต่อสู้เก่งเท่านั้นนะ เพราะเรื่องที่นางถนัดที่สุดไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ ทักษะทางการแพทย์ของนางก็ร้ายกาจอย่างมากเช่นกัน แม้แต่หมอเทวดาจากตระกูลหมอเทวดานั่น ยังมาคอยตามตื๊อนางเพื่อสอบถามวิธีการรักษาคนจากนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านคงยังไม่เคยเห็นของเล่นหน้าตาแปลกประหลาดเหล่านั้นของนางเป็นแน่”
ยามที่พวกทหารเกราะเหล็กพูดถึงจี้จือฮวน สามารถรับรู้ได้ถึงความรักที่แฝงด้วยความเคารพ และความเลื่อมใสที่ไม่น้อยไปกว่าเผยยวนเลย
ลู่เอี้ยนเองก็นึกชื่นชมนางอยู่ในใจเช่นกัน
…
สถานการณ์ของทหารที่ได้รับบาดเจ็บดีกว่าที่จี้จือฮวนคิดเอาไว้ อาจเป็นเพราะกองกำลังของสือฟางยังไม่ได้บุกเข้าเมืองมา ก่อนหน้านี้มักเป็นการหยั่งเชิงเสียมากกว่า ทว่ามีบางคนที่อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บจึงค่อนข้างยากในการรักษา
ในสนามรบ การที่จะฆ่าศัตรูจะไม่ใช้วิธีที่ฟุ่มเฟือยอย่างการทายาพิษ เพราะคนที่จะใช้พิษได้ต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มีเพียงอัจฉริยะที่แปลกประหลาดของยุทธภพอย่างไป๋จิ่นที่ร่างทั้งร่างแช่อยู่ในพิษแล้วยังสามารถเอาชีวิตรอดมาได้เท่านั้น ที่จะสามารถโปรยพิษได้ราวกับโปรยเงิน
ดังนั้นเวลาที่ทั้งสองกองทัพต่อสู้กัน ส่วนมากจะทาสิ่งปฏิกูลบนอาวุธเพื่อให้บาดแผลเกิดการติดเชื้อ ทำให้มีโอกาสรอดชีวิตน้อยลง
ดังนั้นจี้จือฮวนแค่ทำความสะอาดบาดแผล ฉีดยาบาดทะยัก และให้พวกเขากินยาแก้อักเสบก็ใช้เวลาไปไม่น้อยแล้ว แม้จะไม่ได้หยุดมือเลยก็ตาม
…
ข้างนอกฟ้าสว่างแล้ว ลู่เอี้ยนได้จัดคนให้ทำอาหารหม้อใหญ่ในเมือง โดยมีการต้มโจ๊กและต้มน้ำแกงเนื้อเล็กน้อย
เยว่พั่วหลัวหิวจนไส้แทบจะขาดอยู่แล้ว ชีวิตนี้นางฆ่าคนมามาก แต่กลับไม่เคยช่วยคนมากเพียงนี้มาก่อน
เมื่อนางกับไป๋จิ่นออกมารับโจ๊ก จึงได้พึมพำออกมา “ลูกพี่ฮวนไม่เหนื่อยเลยหรืออย่างไร”
ไป๋จิ่นส่งเสียงชิชะ แล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ไม่เหนื่อย แต่เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
เยว่พั่วหลัวจึงคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “สำนักของพวกเรา ไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้กับเราเลย”
จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ส่วนบ้านเมืองและใต้หล้าเกี่ยวอะไรกับพวกเขากัน
ไป๋จิ่นกินโจ๊กไปคำใหญ่ “เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว”
เยว่พั่วหลัวมองหน้าเขา “บอกมาสิ ว่าเจ้าคิดอย่างไร?”
ไป๋จิ่นจึงเอ่ยออกมา “วางใจเถอะ เพราะข้ายังรู้สึกว่าราชสำนักไม่ได้ดีอะไร เพียงแต่พวกเขาเป็นเพื่อนของข้า ชาวยุทธ์อย่างพวกเราถือมั่นในความชอบธรรม ก็เหมือนตอนที่เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเฉิน อยู่ข้างกายของอาชิง ก็เพื่อราชาร้อยกู่ แต่เจ้าเคยนึกเสียใจหรือไม่?
เสียใจว่าเหตุใดราชาร้อยกู่ถึงเลือกอาชิง เสียใจที่ต้องปักหลักอยู่หมู่บ้านตระกูลเฉิน และได้รู้จักกับคนเหล่านี้?”
เยว่พั่วหลัวส่ายหน้าไปมา ก่อนเอ่ยตอบด้วยประโยคที่ฟังดูเหมือนคนปากร้าย เฉกเช่นนิสัยคนทางตอนใต้ “ไม่เสียใจอยู่แล้ว ชีวิตที่ได้ติดตามพวกเขาอลหม่านทุกวัน ตื่นเต้นจะตายไป ข้ายังไม่เคยออกสนามรบมาก่อน เมื่อครู่มีทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง เรียกข้าว่าพี่สาวเทพธิดาด้วย เมื่อก่อนคนอื่นต่างเรียกข้าว่านางปีศาจทั้งนั้น”
ไป๋จิ่นมองท่าทางมีความสุขของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวของนางเบา ๆ
คราวนี้ทั้งสองคนต่างก็นิ่งงัน
“เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน?”
ไป๋จิ่นจึงชักมือกลับ ก่อนจะเอ่ยอย่างประดักประเดิด “ข้าจะทำอะไรได้”
“เจ้าลูบหัวข้าทำไม?”
“นี่เรียกว่าการให้กำลังใจ กำลังใจ เจ้าเข้าใจหรือไม่? ลูบหัวเจ้าอะไรกัน เจ้าช่างไม่เข้าใจเรื่องการแสดงออกเอาเสียเลย” ไป๋จิ่นทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน ก่อนจะหยิบพัดขึ้นมาโบกไปมา
“ข้าว่าเจ้าคงอยากอาศัยโอกาสนี้วางยาข้ามากกว่ากระมัง! เมื่อครู่หัวคนผู้นั้นเป็นของข้าชัด ๆ เจ้ายังแย่งกับข้าอยู่เลย”
ไป๋จิ่นกลอกตามองบน “ข้าช่วยเจ้าต่างหาก! หากไม่มีข้า เจ้าคงบาดเจ็บไปนานแล้ว อย่าทำเป็นไม่เข้าใจเจตนาดีของคนอื่น”
เยว่พั่วหลัวหรี่ตาลง “หืม! เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ? รอครั้งหน้าข้าได้พบอาจารย์เจ้า ข้าจะบอกเขา!”
ไป๋จิ่นจึงพูดอย่างดูแคลนขึ้นมา “ไร้เดียงสาจริง ๆ หากเจ้าบอกว่าตัวเองเป็นพี่สาวเทพธิดา ข้าก็คงเป็นพี่ชายหมอเทวดาเหมือนกัน”
ไป๋จิ่นพูดจบจึงหันหน้ากลับไป ก็เห็นใบหน้าของเยว่พั่วหลัวเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แดงเรื่อขึ้น “เจ้าจะทำอะไร!”
เยว่พั่วหลัวสูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย “หัวใจเจ้าเต้นเร็วจัง คงไม่ได้…”
สายตาไป๋จิ่นเริ่มล่อกแล่ก “ไม่ได้อะไร?”
“เจ้าชอบ…”
ไป๋จิ่นหัวใจแทบจะหยุดเต้น “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อย่าได้พูดอะไรส่งเดช”
“เจ้าคงชอบอาจารย์ของเจ้ากระมัง!”
ไป๋จิ่นมีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที “บ้านเจ้าน่ะสิ”
เยว่พั่วหลัวถูกเขาผลักออกจนเซ จึงต้องปกป้องชามโจ๊กของตัวเองอย่างระมัดระวัง มองแผ่นหลังของไป๋จิ่นที่กำลังโมโห ก็เอ่ยด้วยความงุนงงออกมา “โมโหอะไรกัน ข้าไม่รังเกียจเจ้า ไล่ตามความรักของเจ้าอย่างกล้าหาญเถอะ สำนักกู่ของเราไม่แบ่งแยกอายุ ต่อให้เขาจะเป็นตาแก่คนหนึ่ง บางทีเจ้าอาจจะชอบเคราของเขาก็ได้ นี่! อย่าเพิ่งไปสิ”
.
.
.