บทที่ 985 เหล่าบุรุษนัดพบ
บทที่ 985 เหล่าบุรุษนัดพบ
กลางดึก รถม้าแล่นเข้าสู่จวนท่านอ๋องลู่
คนขับรถม้าและผู้คุ้มกันลงจากรถก่อน จากนั้นจึงตามมาด้วยลู่อี้
ลู่อี้ไม่ได้กลับห้องนอน หากแต่ไปยังห้องตำรา
“พระชายาอยู่จวนหรือไม่?” ลู่อี้ถามบ่าวรับใช้ในจวน
“เรียนท่านอ๋อง พระชายาไปที่เรือนพักผ่อนบนภูเขาเมื่อเช้า กำชับไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะไม่กลับมาหลายวันขอรับ”
“อืม เตรียมน้ำชาไปที่ห้องตำรา”
“ขอรับ”
ลู่อี้กลับไปที่ห้องตำรา จากนั้นผู้คุ้มกันก็เดินตามเขาเข้ามา ทันทีที่เข้ามาในห้อง ผู้คุ้มกันผู้นั้นก็ปิดประตูแล้วถอดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นชุดขุนนางที่อยู่ภายใน
หากมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว สองคนนี้ใช่จางอี้กับหยางจงเซิงที่ใดกัน?
พวกเขาเพียงแสร้งแต่งกายเหมือนจางอี้กับหยางจงเซิง หลังจากถอดเสื้อคลุมออกก็เงยหน้าขึ้น แล้วเผยให้เห็นรูปโฉมที่แท้จริง
“ท่านอ๋อง จวนอ๋องของท่านเปรียบเสมือนปราการเหล็ก คิดว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าส่งหน่วยสอดแนมเข้ามาในจวนท่าน” ผู้ที่ปลอมตัวเป็นจางอี้ หรือก็คือเจียงหว่านเฉินเอ่ยขึ้นมา
“ก่อนหน้านี้เคยปกติ ทว่านับตั้งแต่ท่านกับใต้เท้าโม่ถูกคนยุยงให้แตกหักกัน ข้าก็ส่งคนไปตรวจสอบอย่างลับ ๆ พบว่าจวนอ๋องจู่ ๆ มีดวงตาเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคู่ เพียงแต่วางใจเถอะ คนเหล่านั้นถูกหาตัวออกมาได้แล้ว”
“นึกไม่ถึงว่าจะกล้าลอบวางหน่วยสอดแนมในจวนอ๋อง คนผู้นี้ช่างขวัญกล้าเทียมฟ้าจริง ๆ จู่ ๆ ข้าก็นึกชื่นชมคนที่อยู่เบื้องหลังขึ้นมา” เวินเหวินซงซึ่งปลอมตัวเป็นหยางจงเซิงกล่าว
“ทั้งสองท่านนั่งรอประเดี๋ยว ใต้เท้าฉีเซียวมาถึงแล้วเราค่อยเริ่ม”
“ใต้เท้าเจียง ละครที่ท่านแสดงกับใต้เท้าโม่ก่อนหน้านี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก บัดนี้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็กล่าวขานว่าท่านโหดเหี้ยม” เวินเหวินซงกล่าว
เจียงหว่านเฉินจนปัญญา “ยังมีคนกล่าวว่า ข้าโกรธเกศาชันเพราะโฉมงาม เพื่อภรรยารักที่บ้านแล้วถึงขั้นใส่ร้ายป้ายสีใต้เท้าโม่ เห็นสตรีดีกว่าสหายหรือ?”
“หากใต้เท้าเจียงไม่เป็นขุนนาง แล้วไปเล่นละครก็คงไม่เลวเช่นกัน” เหวินเหวินซ่งกล่าว
“เอาละ หยุดพูดมากได้แล้ว” ลู่อี้เอ่ย “ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงนี้ พวกท่านต่างเดือดร้อนคนแล้วคนเล่า อีกทั้งการยุยงนี้กลับชัดเจนยิ่ง ขอเพียงมีสมองก็จะรู้ว่ามีคนคอยชักใยอยู่ลับ ๆ อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่ง นึกไม่ถึงว่าพวกเราจะตรวจสอบไม่พบที่มา”
ประตูถูกเปิดออกจากด้านนอก
ลู่ฉาวอวี่และฉีเซียวเดินเข้ามา
“หิวแล้ว มีอะไรกินหรือไม่?” ฉีเซียวถาม
“ดึกเพียงนี้แล้ว ท่านยังไม่ทานข้าวอีกหรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้ว
“เพิ่งไปค่ายทหารมาเที่ยวหนึ่ง จะไปมีเวลาทานได้อย่างไร?” ฉีเซียวถอดเสื้อคลุมออก แล้วโยนให้ลู่อี้ที่อยู่ข้าง ๆ
ลู่อี้รับได้อย่างทันท่วงที ก่อนจะโยนมันกลับไปยังราวแขวนเสื้อผ้าใกล้ ๆ
การเคลื่อนไหวของเขาแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง เสื้อกันลมแขวนลงตรงนั้นอย่างมั่นคง
“พระชายาลู่เล่า?” ฉีเซียวเอ่ย “ข้าอยากกินหม้อไฟที่นางทำแล้ว”
“เช่นนั้น วันนี้ท่านก็คงไม่มีบุญปาก” ลู่อี้เอนกายอย่างเกียจคร้าน “นางไปที่เรือนพักผ่อนบนภูเขา หลายวันนี้คงไม่กลับมา”
“เช่นนั้นก็ให้คนครัวเตรียมให้เถอะ” ฉีเซียวลูบท้องไปมา “ข้าหิวยิ่งนัก ไม่กินแล้วไม่มีแรงพูด”
ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “ข้าจะไปดูที่ครัว จัดคนที่ไว้ใจได้สักสองสามคนไปเตรียมมาให้หม้อหนึ่ง”
หน่วยสอดแนมเหล่านั้น ในจวนล้วนอยู่ภายใต้การสอดส่องดูแล เพียงแค่คอยจับตามองคนไม่กี่คน ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร
“ไยต้องกังวล” เวินเหวินซงเอ่ย “ถอนรากถอนโคนเสียก็สิ้นเรื่อง”
“ถึงแม้จะถอนรากลูกล้อเหล่านี้ออกไป ก็ไม่อาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้ ติดตามพวกเขาไว้ บางทีอาจนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้” ฉีเซียวกล่าว
ภายในห้องตำรา หม้อไฟกำลังเดือดปุด ๆ วัตถุดิบต่าง ๆ วางไว้บนโต๊ะ โดยมีเนื้อสัตว์หลากหลายชนิดเป็นหลัก เสริมด้วยเห็ดและผักต่าง ๆ
“หิวยิ่งนัก” ฉีเซียวใส่วัตถุดิบต่าง ๆ ลงในหม้อไฟ “วันนี้ข้าไปค่ายทหารมา ที่นั่นมีคนมาใหม่ไม่น้อย”
“ค่ายทหารจะมีคนหน้าใหม่เข้ามาก็ไม่น่าแปลกใจ อย่างไรก็มีการคัดเลือกทหารเข้ามาใหม่เป็นระยะ ทหารเก่าแก่ก็ลาออกเนื่องด้วยปัญหาทางร่างกายหรือเหตุผลอื่น ๆ” เจียงหว่านเฉินเอ่ย
“ข้าขอเตือนบางอย่างกับพวกท่าน” ลู่อี้เอ่ย “เร็ว ๆ นี้ราชสำนักจะเกิดการเปลี่ยนแปลง”
“ดังนั้น?”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากด้านนอก
ดวงตาหลายคู่จ้องมองกันไปมา
ลู่ฉาวอวี่ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เขาเปิดรอยแง้มที่ประตูดูคนที่อยู่ข้างนอกเสียก่อน
เขาจัดให้คนสนิทอยู่ด้านนอก กำชับไว้ว่าหากไม่มีอะไรสำคัญอย่าได้รบกวน บัดนี้มีคนมาเคาะประตู แปลว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ยืนอยู่ด้านนอกไม่ใช่ลูกน้องคนสนิท หากแต่เป็นใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ไม่ใช่คนของจวนอ๋อง หากแต่เป็นคนในวัง
ลู่ฉาวอวี่เปิดประตูออก
“ใต้เท้าลู่น้อย” เสียงแหบแห้งราวกับเป็ดดังขึ้น “มีแขกพิเศษมาหา”
ลู่ฉาวอวี่ค้อมคำนับผู้ที่อยู่ข้างหลัง
คนผู้นั้นเดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า “กลิ่นหอมของหม้อไฟนี้เข้มข้นเกินไปหรือไม่? เพิ่งเดินมาถึงจวนอ๋อง ข้าก็ได้กลิ่นนี้ขึ้นมาทันที”
หลายคนในที่นั้นยืนขึ้นค้อมคำนับ
“เอาละ ไม่ต้องมากพิธีแล้ว!” ฟ่านหยวนซีนั่งลงข้าง ๆ ลู่อี้
ลู่ฉาวอวี่สั่งคนของตนเพิ่มถ้วยและตะเกียบ
ฟ่านหยวนซีมองดูส่วนผสมที่อยู่ตรงหน้าแล้วกล่าวว่า “พระชายาเล่า?”
“อยู่ที่เรือนพักผ่อนบนภูเขาพ่ะย่ะค่ะ คงไม่กลับมาอีกหลายวัน” ลู่อี้เอ่ยอย่างจนปัญญา “พระองค์ก็รู้ นางยุ่งกว่ากระหม่อมเสียอีก”
“ฮ่าฮ่า…” ฟ่านหยวนซีซึ่งอยู่ในวัยกลางคนไม่มีความฉุนเฉียวอย่างในอดีต ใบหน้านั้นยังคงเหมือนเดิม ทว่ายามนี้กลับดูสง่างามยิ่งขึ้น ความสุขุมสะสมผ่านประสบการณ์และวันเวลา
“ท่านอ๋องลู่ ท่านต้องรู้ว่าท่านไม่ได้แต่งกับสตรีธรรมดา ๆ เศรษฐกิจอาณาจักรฮุ่ยเราแข็งแกร่งที่สุด ประการแรก กิจการภายใต้ชื่อของพระชายาลู่สามารถหล่อเลี้ยงอาณาจักรฮุ่ยแห่งที่สองได้ จากนั้นยังมีกองคาราวานสกุลฉินที่นางมีสัมพันธ์อันดีด้วย กองคาราวานสกุลฉินนี้แพร่ขยายใหญ่โตกว้างขวางไปจนถึงต่างแดน ว่ากันว่ามักจะนำของแปลก ๆ กลับมาอีกด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องเตือนทุกครั้งว่ากระหม่อมได้รับการเลี้ยงดูจากฮูหยิน” ลู่อี้กล่าว
“ทานหม้อไฟก่อนเถอะ ทานแล้วค่อยคุย ข้าก็ไม่ได้กินมาสักพักแล้วเช่นกัน” ฟ่านหยวนซีกล่าว “จริงสิ ลูกหลายคนของบ้านเจ้า เจ้าสาม เจ้าสี่นั้นกลับไปไกลกว่าผู้อื่น ตอนนี้แม้กระทั่งเงาก็ไม่เห็นแล้ว”
ฟ่านหยวนซีไม่ได้เอ่ยถึงยังดี ทว่าเมื่อเอ่ยถึงลู่จื่อชิงกับลู่ฉาวจิ่งแล้ว ลู่อี้พลันรู้สึกปวดหัวตุบ ๆ ขึ้นมา
สกุลลู่เน้นย้ำการเรียนรู้แบบ ‘อิสระ’ ดูเข้าสิ ทั้งสองคนยิ่งเล็กยิ่งอิสระมากกว่าผู้ใด บัดนี้พวกเขาอยู่นอกขอบเขตอิทธิพลของสกุลลู่แล้ว ไม่รู้ว่ากำลังสร้างปัญหาอะไรในใต้หล้านี้
“ไม่นานมานี้กระหม่อมได้รับจดหมายจากซ่งหานจือ” ลู่ฉาวอวี่กล่าว “เขาบังเอิญเข้าไปในยุทธภพโดยไม่คาดคิด นึกไม่ถึงว่าจะพบคนในราชสำนักคอยหนุนหลังยุทธภพอยู่ไม่น้อย ยามนี้พวกเขาเข่นฆ่าสำนักอื่นเป็นผักเป็นปลา คิดจะยึดอำนาจในยุทธภพ กระหม่อมรู้สึกว่าชิงเอ๋อร์เข้าไปเกี่ยวข้องของในยุทธภพครานี้ เกรงว่าจะจับพลัดจับผลูตีถูก บังเอิญไปทำลายแผนการของศัตรูเข้า”
“ข้าถึงได้กล่าวอย่างไรเล่า คนสกุลลู่มีร่างกายเช่นใดกัน? ขอเพียงมีคนสกุลลู่อยู่ก็มักจะมีแผนการทุกรูปแบบ” ฟ่านหยวนซีกล่าว “ฉีเซียว ฉีเจินพี่ชายเจ้าผู้นั้น วันนี้เอ่ยถึงเรื่องจะคืนอำนาจทางการทหาร เปลี่ยนเป็นตำแหน่งลอยแทน”
“หืม?” ฉีเซียวเลิกคิ้ว “ทั้งชีวิตทหารของเขา นอกจากเป็นแม่ทัพใหญ่แล้วก็ไม่เคยทำอย่างอื่น คราวนี้อยากทำอะไรหรือ?”
“ต้องการนั่งตำแหน่งลอยในกรมกลาโหม กล่าวคือคิดจะคืนอำนาจทหาร” ฟ่านหยวนซีเอ่ย “พี่ใหญ่เจ้าผู้นี้ค่อนข้างโปร่งใส ตอนเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เขาไม่คืนอำนาจทางการทหารเพราะไม่ต้องการให้ลูกน้องของเขาคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าราชสำนักเสร็จงานฆ่าโคถึก ตอนนี้ทุกคนปรับตัวเข้ากับชีวิตในเมืองหลวงได้แล้ว เขาจึงเสนอวิธีนี้ออกมา เราก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ”