ตอนพิเศษ 52-1 เวยเวยกลายร่าง
เสี้ยววิญญาณของใต้เท้าเจ้าตำหนักเข้าสู่สภาวะหลับใหล เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกหน เวลาก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว เขายังแช่อยู่ในแม่น้ำลืมเลือนเช่นเดิม เสี้ยววิญญาณถูกกัดกร่อนอย่างรุนแรงจนเริ่มโปร่งใส
แดนยมโลกไร้ลมไร้ฝน รอบด้านเงียบสงัดอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าผู้พิพากษาชุยจากไปตั้งแต่เมื่อใด เพลิงปีศาจหมื่นพิภพก็ไม่รู้ว่าเตร็ดเตร่ไปที่ใดแล้ว แม่น้ำลืมเลือนอันกว้างใหญ่มีเพียงผืนน้ำไหลอย่างเงียบเชียบ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักขยับเสี้ยววิญญาณที่ไร้เรี่ยวแรงของตนเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าท่อนแขนหนักอึ้ง เขาลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง หลังจากเพ่งสายตาดูก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
สิ่งที่นั่งอยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่ใช่มังกรมารน้อยตัวอ้วนกลม แล้วก็ไม่ใช่เด็กน้อยร่างอวบอ้วน แต่เป็นสตรีรูปโฉมดุจภาพวาดนางหนึ่ง
นี่นางกลายร่างแล้วสินะ
แต่ใครบางคนคงจะสนใจแต่การกลายร่างจนลืมเสกเสื้อผ้าออกมา…
ใต้เท้าเจ้าตำหนักนิ่งอึ้ง ขณะที่นางนอนหลับอย่างสบายอุรา ใต้เท้าเจ้าตำหนักกลับเริ่มทรมานอยู่บ้างแล้ว
“ใต้เท้า!” ตอนนั้นเองผู้พิพากษาชุยก็รีบร้อนเข้ามาหาอย่างลนลาน ใต้เท้าเจ้าตำหนักรีบสะบัดแขนเสื้อกว้าง ใช้อาคมมายาปกปิดเรือนร่างนางไว้อย่างแน่นหนา “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
ผู้พิพากษาชุยหยุดกึก เขาเสียหลักจนเกือบจะล้มคว่ำกับพื้น
หลังจากตั้งหลักได้ ผู้พิพากษาชุยก็มองแผ่นหลังของใต้เท้าของตนแล้วถามว่า “ใต้เท้า ท่านตื่นแล้วหรือ”
“อืม” ใต้เท้าเจ้าตำหนักขานตอบงึมงำคำหนึ่ง
ผู้พิพากษาชุยจึงถามต่อว่า “มังกรน้อยไม่เป็นอันใดแล้วใช่หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่พูดไม่จา แต่ร่างกายแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย!
ผู้พิพากษาชุยถามต่อว่า “”ใต้เท้า…ใต้เท้าท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่ทันรอให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักตอบ ผู้พิพากษาชุยก็เห็นว่าตอนนี้เศษเสี้ยววิญญาณของเจ้าตำหนักที่เดิมทีโปร่งใสและอ่อนแรงอยู่แล้วเหมือนถูกคมดาบนับไม่ถ้วนทิ่มแทง ปราณวิญญาณไหลบ่าออกมาตาม ‘รูแผล’ ที่มองไม่เห็นเหล่านั้น
ดวงวิญญาณไม่มีโลหิต
หากจะบอกว่ามีสิ่งใด มันก็คงจะเป็นปราณวิญญาณ
ปราณวิญญาณเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีผู้ใดปล่อยให้รั่วหายไปง่ายๆ ใต้เท้าเจ้าตำหนักเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าผู้ใด แต่เขาควบคุมปราณวิญญาณมากมายที่ไหลทะลักออกไปไม่ได้ หากเทียบกับสิ่งที่อยู่ในโลกมนุษย์ นี่ก็คือเลือดกำเดาที่ไหลทะลักออกมาจากตัวบุรุษผู้นี้
ผู้พิพากษาชุยตาโตอ้าปากค้างเดินจากไป
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสวดคาถาสงบใจหนึ่งร้อยจบในที่สุดก็หยุดปราณวิญญาณที่ไหลทะลักออกได้ในที่สุด เวลานี้ปราณวิญญาณในร่างเขาเหลือไม่มากเท่าไรแล้ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเป็นบุรุษคนหนึ่ง แล้วยังเป็นบุรุษที่งดเว้นเรื่องอย่างว่ามาหลายหมื่นปีแล้วด้วย ใต้เท้าเจ้าตำหนักแหงนหน้าพรูลมหายใจยาวคล้ายกับว่าอยากจะทำบางสิ่งอย่างยิ่ง
ทว่าทันใดนั้นเองก็เกิดเสียงปุ้งดังสนั่น หญิงสาวเรือนร่างงามระหงหายไปกลับมาเป็นเจ้าซาลาเปาน้อยตัวอ้วนกลมคนหนึ่งอีกครั้ง
ใต้เท้าเจ้าตำหนักรู้สึกเหมือนถูกน้ำเย็นอ่างหนึ่งราดใส่ “!”
…
ชิงสุ่ยเจินเหรินกับผู้พิทักษ์ทั้งสองคนใช้เวลาสี่ชั่วยามค้นหาจนทั่วเขตแดนลับ พวกเขาอยู่ในเขตแดนลับเพียงหนึ่งคืน แต่เมื่อกลับออกมาข้างนอกกลับกลายเป็นเจ็ดวันให้หลัง
พวกเขาย้อนกลับไปที่โรงเตี๊ยม เด็กๆ ทุกคนยังอยู่ ปีศาจกระต่ายหยกก็ยังอยู่
ปีศาจกระต่ายหยกกลัวจนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางแปลงกายกลับมาเป็นร่างดั้งเดิม ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการแกล้งทำเป็นสลบอยู่ทั้งวัน
ข่ายอาคมในห้องของหลิงจือถูกฉีก แต่ที่ห้องของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ยังอยู่ ทุกคนล้วนอยู่ในห้องของนาง
“เกิดอะไรขึ้น ผู้ใดฉีกข่ายอาคมที่ห้องของหลิงจือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินถาม
หลิงจือทราบแล้วว่าบุรุษที่ถูกเผาจนขนไม่เหลือผู้นั้นคือราชาปีศาจ นางไม่ปิดบังสิ่งใดทั้งสิ้น เล่าเรื่องราวที่ตนเองรู้ออกมาอย่างละเอียดทุกสิ่งอัน นางย่อมไม่รู้ว่าเด็กสาวรากปราณสวรรค์ครอบครองปราณปีศาจ จึงโยนทุกสิ่งไปใส่หัวของราชาปีศาจแต่เพียงผู้เดียว
“เหตุใดราชาปีศาจต้องจับตัวหลิงจือกับเวยเวยไปด้วย” ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่เข้าใจ
ตอนนี้ชิงสุ่ยเจินเหรินเหมือนจะเดาออกแล้วว่าจิ้งจอกเพลิงที่พบในเขตแดนลับคือราชาปีศาจ เขากล่าวว่า “ข้าประมือกับราชาปีศาจในเขตแดนลับอยู่หนหนึ่ง เขาคงเข้าใจผิดว่าข้าต้องการแย่งชิงเพลิงปีศาจหมื่นพิภพจากเขา คงเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงจับเวยเวยกับหลิงจือไป คิดจะบีบบังคับให้ข้าสละเพลิงปีศาจหมื่นพิภพ หรือไม่ก็ให้ข้าช่วยเขาตามหาเพลิงปีศาจหมื่นพิภพ”
ตอนนี้คำอธิบายนี้ดูสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว
แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่เข้าใจว่าผู้มีพลังระดับราชาปีศาจปล่อยให้เด็กน้อยทั้งหลายเหล่านี้หนีออกมาได้เช่นไร
“เวยเวยพ่นไฟได้แล้ว นางพ่นไฟมากมายออกมาเผาราชาปีศาจจนเขาหนีไป ทว่าตัวเวยเวยเองก็หายตัวไปด้วย พวกเราจึงตัดสินใจย้อนกลับมาที่โรงเตี๊ยม แต่หลังจากนั้นจู่ๆ เวยเวยก็กลับมาเอง” หลิงจือเล่า
ชิงสุ่ยเจินเหรินขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ
เฉียวเวยเวยกระโดดลงจากเตียง นางวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหาเขาพลางยื่นศีรษะน้อยๆ กลมดิกของตนเองออกมา “ท่านพ่อ ดูสิ!”
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองเห็นเขาน้อยๆ บนศีรษะของนางแล้ว เขาอันกระจิ๋วหลิวสองอัน ลูบแล้วไม่แข็งแกร่งเท่าไรนัก ลักษณะดูคล้ายกระดูกอ่อน
มันก็คือเขามังกรที่งอกขึ้นมาใหม่นั่นเอง
ชิงสุ่ยเจินเหรินดวงตาเป็นประกาย “เวยเวยเขามังกรงอกแล้วหรือ”
เฉียวเวยเวยพยักหน้าประหนึ่งตำกระเทียม
“เหตุไฉนไม่มีลางบอกอันใด จู่ๆ ก็งอกขึ้นมากันเล่า” ตามหลักแล้ว ยามเขามังกรงอก เริ่มแรกจะต้องรู้สึกถึงความผิดปกติก่อน ความรู้สึกผิดปกติเช่นนี้จะดำเนินไปหลายสิบปีก่อนจะมีก้อนกลมๆ ก้อนเล็กๆ งอกออกมาอย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ใช่ว่าเขามังกรจะงอกออกมาสองข้างพร้อมกัน มันจะงอกออกมาข้างหนึ่งก่อน เมื่อข้างหนึ่งงอกออกมาได้หนึ่งถึงสองชุ่นแล้ว ข้างที่สองจึงจะผุดขึ้นมา แต่เวยเวยกลับงอกสองเขาออกมาพร้อมกัน!
เฉียวเวยเวยกระหยิ่มยิ้มย่อง หางมังกรเล็กๆ ดีดปึ๋งออกมา
ชิงสุ่ยเจินเหรินอยากจะไปตามหาราชาปีศาจ ไม่ว่าอย่างไรราชาปีศาจก็ลักพาตัวบุตรสาวของเขาไป หนี้แค้นนี้ เขาปล่อยให้จบเช่นนี้ไม่ได้
จีเสี่ยวซิวคิดในใจ บุตรสาวของเจ้ากินผลปีศาจของผู้อื่นจนเกลี้ยง ดื่มน้ำนมศิลาหมื่นปีของผู้อื่นจนหมด ผู้อื่นไม่เดินทางไปโวยวายถึงแดนเซียนก็นับว่าไว้หน้าเจ้ามากแล้ว
ยามนี้ราชาปีศาจกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ หลายพันปีก่อนใต้เท้าเจ้าตำหนักเคยติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายไว้หนหนึ่ง จึงไม่คิดจะปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปในเงื้อมมือของชิงสุ่ยเจินเหริน ดังนั้นเขาจึงบอกชิงสุ่ยเจินเหรินว่า “ท่านเซียน ข้ามีบางสิ่งต้องบอกท่าน”
…
“อะไรนะ เจ้าบอกว่าเวยเวยโตแล้วหรือ”
ภายในห้องของหลิงจือมีเพียงชิงสุ่ยเจินเหรินกับจีเสี่ยวซิวสองคน
หลังจากฟังคำพูดของจีเสี่ยวซิวจบ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็ลุกพรวดด้วยความตกใจ
หลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์กลับมาถึงโรงเตี๊ยมหลังเขากับเฉียวเวยเวย เวลานั้นเฉียวเวยเวยกลับกลายเป็นเด็กน้อยแล้ว บนศีรษะมีเขามังกรน้อยเพิ่มมาเพียงคู่เดียว ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น จีเสี่ยวซิวแต่งเรื่องว่าอย่างไรมันย่อมถูกเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น
“…ใช่แล้วขอรับ ข้าหลับไปหนึ่งตื่น ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็ยามรุ่งสาง พอไม่เห็นพวกนาง ข้าก็หวาดกลัวมาก คิดจะออกไปตามหาพวกท่าน แต่แล้วตอนนั้นเวยเวยก็กลับมา! ข้าเห็นกับตาตนเองว่านางตัวสูงเท่านี้ สูงเท่านี้” จีเสี่ยวซิวเขย่งปลายเท้า ยืดมือให้ยาวที่สุด ไปตรงตำแหน่งที่ความสูงของร่างกายตนไปไม่ถึง
ชิงสุ่ยเจินเหรินเข้าใจว่าเขาหมายถึงส่วนสูง
จีเสี่ยวซิวใช้น้ำเสียงอ้อแอ้เล่าต่อ “ข้าจำนางไม่ได้สักนิด นางเดินมาล้มตัวนอนบนเตียงของข้า ตัวข้าเบื่อหน่ายยิ่งนักจึงนอนหลับต่อบ้าง พอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว”
คำพูดของเด็กน้อยดูไม่ประติดประต่อ แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินฟังเข้าใจแล้ว
เขารู้มาตลอดว่าเวยเวยไม่เติบโตเพราะมีสารอาหารหล่อเลี้ยงไม่พอ แต่ในเมื่อนางเติบโตแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่านางได้รับสารอาหารมากพอแล้ว แต่เหตุไฉนนางจึงกลายร่างกลับมาเหมือนเดิมเล่า
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่มีกะจิตกะใจจะไปสร้างความยุ่งยากให้ราชาปีศาจแล้ว เขาจำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวยเวย
นี่ก็เป็นเรื่องที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักอยากรู้เหมือนกัน เขาไม่คิดว่าหลังจากกินผลปีศาจหลายสิบผลกับน้ำนมศิลาหมื่นปีสามหยด มังกรน้อยจะยังมีสภาพเป็นมังกรน้อยเช่นเดิม เรื่องนี้จะต้องมีบางสิ่งที่เขากับชิงสุ่ยเจินเหรินมองข้ามไปแน่
หากค้นหา ‘สาเหตุของอาการป่วยไม่พบ’ ถ้าเช่นนั้นวันหน้าไม่ว่าจะมอบอาหารให้มังกรน้อยมากอีกเท่าใดก็อาจกลายเป็นการโยนใส่หลุมอันไร้ก้น
ชิงสุ่ยเจินเหรินเดินไปที่ห้องด้านข้าง “ข้ามีเรื่องด่วนต้องพาเวยเวยไปที่แดนเซียนสักหน เรื่องที่แดนปีศาจ…”