บทที่ 441 ลูกดิ้น
บทที่ 441 ลูกดิ้น
สาขาของร้านยามต้องมนต์ทางตะวันตกของเมืองได้มอบหมายให้อาจารย์ค่งตกแต่ง และจะพร้อมให้เซ็นรับร้านในอีกไม่กี่วัน
อาเซียงไปกับเซี่ยชิงหยวนเพื่อเยี่ยมชมที่นั่น พื้นที่ของสาขาแรกใหญ่กว่าที่ใหม่หลายตารางเมตร แต่สาขาใหม่ค่าเช่าน้อยกว่า 800 หยวนต่อปี
อาเซียงยืนกรานว่าเธอจะอาศัยอยู่ในสาขาใหม่หลังจากเปิดร้าน เซี่ยชิงหยวนก็ห้ามเธอไม่ได้ จึงทำได้แต่ตอบตกลง
ทั้งสองกลับบ้านด้วยกันและบังเอิญพบกับเผ่ยเยว่ ซึ่งพวกเธอไม่ได้เจอกันในเขตที่พักอาศัยมาสักพักหนึ่งแล้ว
เผ่ยเยว่ก้าวมาข้างหน้า “คุณนายเสิ่น ฉันขอเวลาพูดด้วยสักครู่ได้ไหมคะ?”
อาเซียงเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “พี่สาวเซี่ย ฉันจะรอพี่อยู่แถวนี้นะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น หญิงสาวก็ก้าวถอยหลัง ห่างออกไปไม่กี่สิบก้าวเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับทั้งสองในการพูดคุย
แม้จะอยู่ในเขตที่พักอาศัย แต่เซี่ยชิงหยวนก็เป็นหญิงตั้งครรภ์ ดังนั้นอาเซียงจึงไม่กล้าออกไปไกลเกินไปนัก
เซี่ยชิงหยวนชี้ไปยังเก้าอี้หินใกล้ ๆ “ไปนั่งคุยกันตรงนั้นเถอะ”
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลง เผ่ยเยว่ก็พูดว่า “ฉันอยากถามคุณนายเสิ่นหน่อยน่ะค่ะ ช่วงนี้คุณได้เจอลูกพี่ลูกน้องของฉันบ้างไหมคะ?”
“ฉีจิ่นจือ?” เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ฉันไม่เห็นเขาเหมือนกันค่ะ”
เผ่ยเยว่ควรรู้ที่อยู่ของฉีจิ่นจือดีกว่าเธอไม่ใช่เหรอ?
จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็เกิดความคิดในใจและขมวดคิ้ว “ครอบครัวของคุณทะเลาะอะไรอีกหรือเปล่า?”
เผ่ยเยว่ส่ายหัว “ไม่มีนะคะ”
ถ้าฉีจิ่นจือหายไปเพราะปัญหาบางอย่างเธอก็ไม่ต้องกังวล
เผ่ยเยว่รู้แค่ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเจอฉีจิ่นจือคือตอนที่เขากลับมาบ้านเพื่อคุยกับฉีหยวนซาน หลังจากนั้นไม่นานฉีจิ่นจือก็ออกไป แล้วฉีหยวนซานก็นั่งอยู่คนเดียวในห้องหนังสือทั้งคืน
ต่อมาเธอก็ไม่เห็นฉีจิ่นจืออีกเลย
เธอพยายามถามฉีหยวนซาน แต่ชายชรากลับมองเธออย่างจริงจังและบอกว่าอย่าถามคำถามอีกต่อไป เขาบอกว่าต่อจากนี้ไปเขาจะปฏิบัติต่อฉีจิ่นจือราวกับว่าเขาไม่มีลูกชายคนนี้อีกแล้ว และจะปล่อยให้เธอกลับเมืองหลวง
เธอกังวลและไปหาเขาที่ทำงานอีกครั้ง แต่ก็ได้รับแจ้งว่าฉีจิ่นจือถูกไล่ออกจากงานแล้ว
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกไม่สบายใจและถามว่า “คุณ…ถามผู้อำนวยการฉีเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วหรือยังคะ?”
เผ่ยเยว่ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน “ฉันถามแล้ว แต่คุณลุงดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่เลยค่ะ”
เธอได้ยินคุณป้าพูดมาก่อนหน้านี้ว่าเมื่อตอนที่ฉีจิ่นจือกลับไปที่บ้าน เขามีปัญหาหลายอย่างกับฉีหยวนซาน ซึ่งค่อนข้างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้นฉีหยวนซานก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
เผ่ยอิ่งยังพูดอีกว่า “บางทีเขาอาจจะผิดหวังกับลูกนอกสมรสคนนี้มากจนไม่อยากดูดำดูดีอีกต่อไปก็ได้”
แต่เผ่ยเยว่ไม่คิดอย่างนั้น
ฉีหยวนซานพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้ฉีจิ่นจือกลับมาและขอร้องให้ตระกูลเผ่ยแต่งงานด้วย ฉีหยวนซานไม่น่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ เพียงเพราะทะเลาะกับฉีจิ่นจือ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่ได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างทั้งสองในคืนนั้นเลย และสีหน้าของฉีจิ่นจือก็นิ่งมากเมื่อเขาจากไป
เซี่ยชิงหยวนกังวล แต่เธอไม่กล้าแสดงมันออกมาบนใบหน้าของตัวเอง เธอพึมพำว่า “นี่เป็นเรื่องของตระกูลฉี ฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ค่ะ ถ้าคุณเผ่ยอยากรู้ก็ควรจะรอจนกว่าผู้อำนวยการฉีอารมณ์ดีก่อน แล้วค่อยถามอีกรอบนะคะ”
หลังจากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ยืนขึ้น พยักหน้าไปทางเผ่ยเยว่ก่อนจะเรียกอาเซียงแล้วจากไป
เผ่ยเยว่มองไปยังทิศทางที่เซี่ยชิงหยวนเดินจากไปและลังเลที่จะพูด
เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลเสิ่นกับฉีจิ่นจือมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และพวกเขาเป็นเพื่อนเพียงสองคนของฉีจิ่นจือ ดังนั้นพวกเขาจึงอาจรู้ที่อยู่ของฉีจิ่นจือก็ได้
แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยชิงหยวนจะให้คำตอบกับเธอแบบนี้
หญิงสาวถอนหายใจ บางทีเธออาจคิดมากไปก็ได้
เผ่ยเยว่ปวดหัวมากยิ่งขึ้นเมื่อคิดถึงคุณลุงของตัวเองที่ดูมีอารมณ์ไม่มั่นคงมากนักนับตั้งแต่ที่ฉีจิ่นจือจากไป และป้าของเธอที่มักจะพูดประชดประชันอยู่เสมอ
ขณะเดียวกัน สีหน้าสงบนิ่งของเซี่ยชิงหยวนหมดลงทันทีที่หันกลับไป
ไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่ฉีจิ่นจือเคยเป็นผู้ช่วยชีวิตของเธอและเสิ่นอี้หลิน หรือเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเธอก็ตาม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไม่กังวล
เพียงแต่ว่าเธอไม่สามารถแสดงความกังวลมากเกินไปต่อหน้าตระกูลฉีได้ ไม่อย่างนั้นมันจะสร้างปัญหาให้ทั้งตัวเธอเองและเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนเร่งฝีเท้าโดยวางแผนที่จะกลับไปถามเสิ่นอี้โจว
…
“วันนี้เผ่ยเยว่มาหาคุณเพื่อถามเรื่องฉีจิ่นจือเหรอ?” เสิ่นอี้โจววางหนังสือพิมพ์ลงบนโซฟาแล้วถาม
เซี่ยชิงหยวนนั่งลงชิดกับเขา “ใช่ ดูเธอค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับเขามากเลย”
เผ่ยเยว่เป็นคนในตระกูลเผ่ย โดยไม่คาดคิดเธอกลับกังวลเกี่ยวกับฉีจิ่นจือขนาดนี้
เมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้โจวไม่ตอบ เธอจึงใช้นิ้วจิ้มเขาแล้วถามว่า “เขาอยู่ที่ไหนเหรอ? ฉันเองก็ไม่ได้เห็นเขามาหลายวันแล้วนะ”
หัวใจของเสิ่นอี้โจวเต้นรัว แต่สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “บางทีเขาอาจถูกย้ายไปที่ไหนสักแห่งเพื่อทำภารกิจก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมอง “แล้วทำไมเขาถึงรีบจากไปจนไม่มีเวลามาบอกลาด้วยซ้ำเลยล่ะ?”
แม้ภายนอกฉีจิ่นจือจะดูเย็นชา แต่หลังจากได้ใช้เวลาทำความรู้จัก เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายค่อนข้างอ่อนโยนและเป็นคนรอบคอบในทุกอย่าง เป็นไปไม่ได้ที่คนแบบนี้จะจากไปโดยไม่ร่ำลา
“นี่มันไม่ถูกต้อง” เซี่ยชิงหยวนรู้สึกตัว “ไม่ใช่ว่าเขาแค่มีหน้าที่ลาดตระเวนทุกวันเท่านั้นเหรอ? มันจะมีเรื่องใหญ่อะไรได้อีกล่ะ?”
งานปัจจุบันของฉีจิ่นจือถ้าพูดตรง ๆ มันเป็นเพียงงานสบาย ๆ ที่ดูเหมือนเดินฆ่าเวลาด้วยซ้ำ
เสิ่นอี้โจวรู้ว่าเขาหลอกเซี่ยชิงหยวนไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงรับคำในลำคอ “อืม” และพูดต่อ “แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำงานแบบนั้นไปตลอดชีวิตเหมือนกัน ผมได้คุยกับเขาเมื่อสองสามวันก่อน เขาบอกว่าอยากก้าวหน้ามากกว่าเดิม บางทีมันอาจจะเป็นเพราะความตั้งใจของเขาและที่อื่นก็มีตำแหน่งว่างพอดี เขาเลยรีบย้ายไปก็ได้”
นี่เป็นอีกครั้งที่เสิ่นอี้โจวโกหกเธอ แต่เขาจำเป็นต้องทำเพื่อฉีจิ่นจือ
เขารู้สึกผิด แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่จะอธิบายการจากไปอย่างกะทันหันของฉีจิ่นจือและป้องกันไม่ให้เธอกังวลได้
เขาหวังว่าเมื่อฉีจิ่นจือกลับมาในอนาคต อีกฝ่ายจะสามารถอธิบายกับเซี่ยชิงหยวนด้วยตนเองได้นะ
เขากลัวเหลือเกินว่าเซี่ยชิงหยวนจะพยายามขุดค้นหาความจริงเรื่องนี้ลึกลงไปเรื่อย ๆ และในขณะที่เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวเพื่อขอโทษเธอ เขาก็ได้ยินเซี่ยชิงหยวนอุทานว่า “เอ๊?”
เสิ่นอี้โจวสะดุ้ง “คุณเป็นอะไรเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสิ่นอี้โจวซึ่งดูประหม่า เธอใช้เวลานานไม่น้อยกว่าจะสามารถพูดได้ มันทั้งมีความสุขและตื่นเต้น พร้อมกับชี้ไปที่ท้องของตัวเอง “ลูกของเรากำลังดิ้นแหละ!”
0
……………………………………………