ตอนพิเศษ 48-1 ราชาปีศาจปรากฏตัว (1)
ชิงสุ่ยเจินเหรินรับภารกิจมาทั้งหมดห้าภารกิจด้วยกัน พวกมันเป็นภารกิจในภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคใต้ ภาคเหนือและภาคกลางของแดนปีศาจ หากทำภารกิจทั้งห้าลุล่วงก็เท่ากับเดินทางไปทั่วแดนปีศาจพอดี
นี่คือแผนการของชิงสุ่ยเจินเหริน แน่นอนว่าหากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าจะหาจอมมารพบตั้งแต่ทำภารกิจแรก
ภารกิจแรกคือการอารักขาปีศาจกระต่ายหยกตัวหนึ่งกลับเมืองตงหลิน
ปีศาจกระต่ายหยกตนนี้เป็นอนุภรรยาลำดับที่สิบแปดของเจ้าเมืองตงหลิน หลายเดือนก่อนนางเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดซึ่งอยู่ที่ชายแดน
แต่เดิมใต้เท้าเจ้าเมืองส่งยอดฝีมือขั้นมหายานคนหนึ่งมาอารักขานาง แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินทางถึงชายแดน ยอดฝีมือคนนั้นก็ต้องเผชิญกับมหาอัสนีวิบาก เผ่าปีศาจมีโอกาสรอดจากมหาอัสนีวิบากเพียงหนึ่งในสิบส่วน โชคร้ายที่ยอดฝีมือคนนั้นก้าวผ่านมหาอัสนีวิบากมาไม่ได้ แม้แต่จิตตั้งตนก็ถูกอสนีบาตผ่าจนแตกสลาย
เมื่อข้างกายปีศาจกระต่ายหยกไม่เหลือยอดฝีมือแล้ว นางจึงกังวลว่าระหว่างทางกลับอาจพบเรื่องไม่คาดฝัน นางจึงมาเยือนค่ายทหาร
ชิงสุ่ยเจินเหรินมาได้จังหวะจึงพบนางพอดี
ภารกิจนี้ทั้งไม่อันตรายและไม่ยุ่งยาก ปีศาจกระต่ายหยกถนอมตนเองประหนึ่งหยกเพื่อเจ้าเมืองตงหลิน ส่วนใหญ่นางจึงอยู่ในร่างเดิมแล้วอาศัยอยู่ในห้อง (กรง) กระต่ายอันวิจิตรหรูหรา
เฉียวเวยเวยเป็นคนถือกรงกระต่ายไว้ นางชอบกระต่ายน้อยมาก แต่ไม่รู้ว่าปีศาจกระต่ายหยกคิดไปเองหรือไม่ มันรู้สึกเหมือนเหนือหัวมันมีสัตว์บางตัวกำลังน้ำลายหยดติ๋งๆ อยู่
เผ่าปีศาจไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย หากอยากเดินทางไปเมืองตงหลินต้องขี่กระบี่หรือไม่ก็เดินทางไปทางบก บังเอิญว่าปีศาจกระต่ายหยกกลัวความสูง พวกเขาจึงต้องเดินทางทางบกอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องนี้ประจวบเหมาะกับความต้องการของชิงสุ่ยเจินเหรินพอดี เขากำลังกลัดกลุ้มที่หาโอกาสตระเวนดูให้ทั่วไม่ได้อยู่พอดี เมื่อมีกระต่ายเอาแต่ใจตัวนี้ เขาก็ค่อยๆ ตามหาคนไปตลอดทางได้แล้ว
ยามกลางวันทุกคนจะพาปีศาจกระต่ายหยกเร่งรีบเดินทาง พอตกกลางคืนก็จะหาสถานที่แห่งหนึ่งพักแรม ก่อนจะออกค้นหาตามสถานที่ซึ่งเดินทางผ่านมายามกลางวันอย่างละเอียดซ้ำอีกหน
ตกกลางคืนของวันที่สาม ทุกคนก็เดินทางมาถึงชนบทอันรกร้างแห่งหนึ่ง ที่แห่งนี้มีโรงเตี๊ยมอยู่แห่งเดียว ชิงสุ่ยเจินเหรินจึงพาทุกคนเข้าไปพักในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ตัวเขากับผู้พิทักษ์ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องพักผ่อนจึงจองห้องเพียงสองห้อง แต่เดิมจะให้หลิงจือพักกับเฉียวเวยเวยห้องหนึ่ง เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับจีเสี่ยวซิวพักอีกห้องหนึ่ง แต่เด็กน้อยทั้งสองดันเล่นกันจนดึก ดื่มนมเสร็จก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเดียวกัน
เฉียวเวยเวยกอดจีเสี่ยวซิวไว้แน่น เด็กสาวรากปราณสวรรค์ดึงไม่ออก สุดท้ายจึงได้แต่ยอมแพ้ กลับห้องด้านข้างไปคนเดียว
ปีศาจกระต่ายหยกก็อยู่ในห้องของหลิงจือด้วย นางนอนหลับไปนานแล้ว
“ข้ากับอาจารย์ของพวกเจ้าจะออกไปข้างนอก ข้าวางค่ายกลไว้ในห้องแล้ว จะไม่มีผู้ใดฝ่าเข้ามาได้ หากไม่มีเรื่องใดพวกเจ้าก็อย่าออกมาเดินมั่วซั่ว” ชิงสุ่ยเจินเหรินกำชับหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก่อนออกไป เขาเป็นเซียนตนหนึ่ง แม้จะกดพลังเอาไว้ แต่ข่ายอาคมที่เขาสร้างไม่ว่าปีศาจตนใดก็มิอาจทลายได้ง่ายๆ ยกเว้นก็แต่ราชาปีศาจมาเอง
แต่ราชาปีศาจจะมาสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไรเล่า
หลิงจือตอบรับอย่างว่าง่าย “ท่านเซียนโปรดวางใจ ข้าจะดูแลเวยเวยกับเสี่ยวซิวให้ดีแล้วก็จะเฝ้าปีศาจกระต่ายหยกให้ดีด้วยเจ้าค่ะ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยักหน้าแล้วพาผู้พิทักษ์ทั้งสองคนออกไปจากโรงเตี๊ยม
ระหว่างเร่งเดินทางยามกลางวัน เขาพบเขตแดนลับแห่งหนึ่ง เขตแดนลับแห่งนั้นต้องเป็นยอดฝีมือขั้นบรรลุญาณเท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ หากไม่ใช่เช่นนั้น เขาก็คงไม่ทิ้งพวกเด็กๆ ไว้ข้างนอก
หลังจากชิงสุ่ยเจินเหรินกับผู้พิทักษ์ทั้งสองคนออกไปแล้ว หลิงจือก็ห่มผ้าให้เฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิว แล้วนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่บนเตียง
ในห้องอีกห้องหนึ่งเด็กสาวรากปราณสวรรค์เดินออกไปที่ภูเขาด้านหลัง ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด แต่เพื่อให้ได้ยินเสียงของสตรีนางนั้น นางกังวลว่าหลิงจือจะเห็น ดังนั้นจึงหลบออกมาค่อนข้างไกล
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงมองไม่เห็นหญิงสาวนางนั้น นางสันนิษฐานว่าอีกฝ่ายอาจใช้วิชาอำพรางกายบางอย่าง โดยที่นางไม่รู้ว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายมีเพียงจิตตั้งต้นเท่านั้น
“พวกเขาจากไปหมดแล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่จะลงมือ” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถามกลับเรียบๆ “โอกาสดีที่จะทำอะไร”
หญิงสาวยิ้ม “พามังกรน้อยมา แล้วข้าจะพาเจ้าไปหาราชาปีศาจ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ชะงัก นางถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเจ้าอยากได้มังกรน้อยตัวนั้นนัก”
หญิงสาวยิ้มละไม “ทั้งร่างของมังกรน้อยล้วนเป็นสมบัติ ใต้หล้านี้คงไม่มีผู้ใดไม่อยากได้ตัวนาง หากเจ้าต้องการ ข้าแบ่งให้เจ้าส่วนหนึ่งก็ได้”
แบ่งให้ส่วนหนึ่งหมายความว่า…จะชำแหละร่างมังกรน้อยตัวนั้นหรือ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์รู้สึกสะอิดสะเอียนขึ้นมาทันใด “ข้าไม่สนใจ!”
หญิงสาวไม่คิดจะแบ่งให้นางจากใจจริงอยู่แล้ว พอเห็นนางปฏิเสธจึงรามือแต่โดยดี เปลี่ยนประเด็นมาเอ่ยขึ้นว่า “รู้สึกหรือไม่ว่าพลังในร่างเจ้าแปลกไปจากเดิม”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตั้งสมาธิเพ่งไปที่จุดตันเถียน นางสัมผัสได้ถึงกำลังภายในอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งสายหนึ่ง “นี่คือ…”
หญิงสาวคลี่ยิ้ม “ยินดีด้วย เจ้าเลื่อนขั้นแล้ว”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตะลึง “แต่ข้าเพิ่ง…” เลื่อนขั้นมาไม่นานเท่าไรเองนะ
หญิงสาวลากเสียงอ้อยอิ่ง “ข้าบอกเจ้าแล้ว ปราณปีศาจของเผ่าปีศาจมีประโยชน์ต่อเจ้ามหาศาล ลองเลื่อนขั้นดูเถิด”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ลงไปนั่งขัดสมาธิแล้วหลับตา นางสัมผัสพลังปราณในร่างอย่างนิ่งสงบ นางไม่เคยรู้สึกว่าพลังปราณของตนถาโถมรุนแรงเช่นนี้มาก่อน พวกมันเหมือนคลื่นที่กำลังซัดสาดในจุดตันเถียนของนางอย่างบ้าคลั่ง
แต่ในจุดตันเถียนของนางเหมือนจะไม่ได้มีแต่พลังปราณเท่านั้น มันยังมีปราณสีดำสนิทสายหนึ่งวนเวียนอยู่เลือนรางด้วย…
“ข้าธาตุไฟเข้าแทรกตกสู่วิถีมารแล้วหรือ” นางสะดุ้งโหยงในใจ
มือของหญิงสาววางลงบนหัวไหล่ของนางเบาๆ “เด็กโง่ เจ้าเป็นมารตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เบิกตาโพลง “เจ้าพูดจาเหลวไหล! ข้ามิใช่มาร!”
หญิงสาวขยับมาชิดใบหูของนาง “สัมผัสพลังของตนเองให้ดีสิ”
ชั่วพริบตาที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ได้ยินว่าตนเองเป็นมาร นางก็เริ่มรู้สึกต่อต้านการเลื่อนขั้นหนนี้ แต่ยิ่งนางต่อต้าน ยิ่งพยายามกดมันไว้ พลังขุมนั้นในร่างก็ยิ่งถาโถมคลุ้มคลั่ง ในที่สุดหลังจากพลังพลุ่งพล่านอย่างรุนแรงหนหนึ่งจนนางเจ็บปวดเกือบสลบ เส้นลมปราณของนางก็ถูกทะลวงเปิด
นางเลื่อนขั้นจากขั้นรากฐานขั้นกลางกระโดดพรวดไปยังขั้นกึ่งสมบูรณ์ในทันที
ปราณปีศาจโถมทะลักมาจากสี่ด้านแปดทิศ จุดตันเถียนที่เหือดแห้งของเด็กสาวรากปราณสวรรค์เต็มเปี่ยมอีกครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อระดับการฝึกตนของนางก็เลื่อนขั้นอีกหน นางบรรลุขั้นรากฐานขั้นสมบูรณ์แล้ว!
กลางหว่างคิ้วของเด็กสาวรากปราณสวรรค์มีตราประทับรูปร่างคล้ายเปลวเพลิงดวงหนึ่งปรากฏขึ้นมาเลือนราง ตราประทับนี้ปรากฏเพียงชั่วพริบตา หลังจากนางคุมลมปราณของตนเองได้ มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หอบหายใจ นางมองสองมือของตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ
เสียงระรื่นของหญิงสาวดังขึ้นอีกหน “ยินดีด้วย หากเจ้าก้าวหน้าเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเจ้าก็จะประสานเม็ดตันแล้ว”
แต่ในใจของเด็กสาวรากปราณสวรรค์กลับไม่ดีใจแม้แต่นิดเดียว นางลุกพรวดอย่างหวาดผวา “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ข้าไม่ใช่มาร…ข้าไม่ใช่…ข้าไม่ใช่…ข้าคือฉินหลิงเอ๋อร์! ข้าคือศิษย์ของสำนักเชียนหลัน! ข้าคือผู้ฝึกตนสายธรรมะ! ข้าไม่ใช่มาร!”