บทที่ 731 ครอบครัวรวมใจ (1)
หวังซวี่ถึงกับจนปัญญา
นอนเหม่อลอยมองเพดานห้องบนพื้นเย็นเฉียบราวกับโดนฟ้าผ่านับหมื่นหน
กู้เจียวถือชามยืนขึ้น ขยิบตาให้กู้เฉิงเฟิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คลายเชือก เขาเป็นพวกเดียวกันแล้ว”
กู้เฉิงเฟิงแสดงสีหน้ามึนงง แค่นี้เองหรือ
ไม่ถูกต้อง ที่นี่มีคนตั้งหลายคน เหตุใดเจ้าถึงใช้ข้าคนเดียวเล่า
เหอะ รู้แล้วสินะว่าข้าน่ะไว้ใจได้มากที่สุด
กู้เฉิงเฟิงที่ถูกฟาดด้วยไม้นวดแป้งจนเป็นรอยเด่นชัดกลางหน้าผาก ก้าวเดินเข้ามาอย่างมั่นใจ เขาคลายเชือกที่พันธนาการหวังซวี่เอาไว้
มีหรือที่หวังซวี่จะดูไม่ออกว่าเขาคือ ‘หญิงชาวบ้าน’ ที่สะกดรอยตามเขามาตลอดเส้นทาง
มีลูกกระเดือกนี่… เป็นผู้ชายอย่างนั้นรึ
หวังซวี่รู้สึกสงสัยยิ่งนัก
ทุกคนที่ปรากฏตัวอยู่ในห้องของพระนัดดาองค์โตเป็นใครกันแน่
มียอดฝีมืออันน่าสะพรึงกลัวคนหนึ่งที่เพียงแค่ใช้ไม้นวดแป้งก็สามารถทำให้เขาล้มลงได้ ยังมียอดฝีมือวิชาตัวเบาอีกคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการปลอมตัวจนทำให้เขาต้องหนีอย่างจนตรอก อีกหนึ่งคนคือเซียวลิ่วหลังที่เขารู้จัก เขาคือหมอที่ฮ่องเต้เรียกตัวมารักษาอดีตองค์หญิง
เขาเป็นคนพาเซียวลิ่วหลังเข้ามาในวังหลวงเอง
“แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงสะกดรอยตามข้า” หวังซวี่ถามกู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงตัดสินใจที่จะไม่แต่งตัวเป็นหญิงสาวอีกต่อไป เนื่องจากแม่เด็กนั่นบอกว่านางเป็นพวกเดียวกัน
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป กลับไปใช้เสียงผู้ชายดังเดิม “ข้าไม่ได้สะกดรอยตามเจ้า ข้าสะกดรอยตามไท่จื่อต่างหาก ไท่จื่อพบนายใหญ่ตระกูลหันอีกครั้ง ข้าต้องการสืบว่าเขาจะมีแผนอะไรต่อ ใครจะคาดคิดว่าเจ้าจะมา แอบพบตระกูลหันอย่างลับๆ นั้นน่าสงสัยไหมเล่า”
เป็นผู้ชายจริงๆ ด้วย หวังซวี่คิดในใจ
หวังซวี่คิดอย่างรอบคอบถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ที่กู้เฉิงเฟิงเอ่ย
ความขัดแย้งระหว่างไท่จื่อและอดีตองค์หญิงมิใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อวันสองวัน จุดเริ่มต้นนั้นคงต้องย้อนกลับไปเมื่อยามองค์หญิงถูกปลดพระยศ ไท่จื่อกลายเป็นรัชทายาท ทุกคนต่างก็คิดว่าไท่จื่อแย่งชิงสิ่งที่เป็นขององค์หญิงไป
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ไท่จื่อและอดีตองค์หญิงมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันในวังหลัง แถมองครักษ์ของไท่จื่อยังเป็นคนทำให้นางบาดเจ็บอีก
ตอนนี้อดีตองค์หญิงก็ได้รับบาดเจ็บ หากพระนัดดาองค์โตจะสงสัยไท่จื่อก็มิใช่เรื่องแปลก
กู้เฉิงเฟิงคลายพันธนาการให้เขาแล้วยื่นมือออกไปประครองให้ยืนขึ้น
หวังซวี่จับมือของกู้เฉิงเฟิงแล้วยืนขึ้น
“ซี้ดดด…”
เจ็บนัก
เจ้าคนตัวสูงใหญ่นั้นคือใคร มือหนักชะมัด!
เขาเดินกะเผลกมาหาเซียวเหิงพลางโค้งคำนับ “ข้าน้อยหวังซวี่ ถวายบังคมพระนัดดาองค์โต”
กู้เฉิงเฟิงสังเกตหวังซวี่มาสักพักแล้ว เขาพบว่าหวังซวี่เป็นคนค่อนข้างดื้อรั้น ทั้งยังไม่ได้ถูกซื้อตัวง่ายๆ เห็นได้ว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์
เซียวเหิงพยักหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ย “เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นความเข้าใจผิด ขอท่านแม่ทัพอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย”
“เป็นความผิดของข้าน้อย พระนัดดาองค์โตไม่ถือโทษข้าน้อย ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก”
“ฝ่าบาทอยู่ที่หอดูดาว เจ้าไปรายงานตัวกับท่านเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ” หวังซวี่โค้งคำนับอีกครั้ง จากนั้นจึงออกจากห้องไป ทว่าพอหันหลังกลับเขาก็พลันเหลียวมามองเซียวเหิง “พระนัดดาองค์โตจะไม่ถามข้าเลยหรือว่าข้าได้สืบหาเบาะแสอะไรมาบ้าง”
แม้แต่หันกุ้ยเฟยก็ส่งคนมาถามเขาก่อนเลย
เซียวเหิงจ้องมองเขาด้วยสายตาหนักแน่น “ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพจะคืนความเป็นธรรมให้กับท่านแม่ของข้า”
พระนัดดาองค์โตยังคงไว้วางใจเขาเช่นเดิม
หวังซวี่รู้สึกหัวใจเต้นแรง ความรู้สึกถูกไว้วางใจพุ่งทะลุหัวใจของเขา
เขาออกจากห้องไป
กู้เฉิงเฟิงชะโงกหน้าออกไปมองดูสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าห้องไปพร้อมกับตบมือพลางเอ่ย “เรียบร้อยแล้ว ไปแล้วล่ะ”
เซียวเหิงล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อหยิบผ้าพันแผลสะอาดผืนหนึ่งออกมา จากนั้นจึงแกะออกเผยให้เห็นเส้นด้ายเล็กๆ เส้นหนึ่งอยู่ข้างใน
นี่คือเส้นด้ายที่เซียวเหิงเพิ่งค้นได้จากตัวหวังซวี่ หวังซวี่ห่อมันไว้ในผ้าเช็ดหน้า เส้นด้ายเส้นนี้ดูไม่เข้ากับตัวตนของท่านแม่ทัพหวังซวี่เลย แถมยังมีกลิ่นหอมของหญ้าและกลิ่นคาวเลือดจางๆ อยู่ด้วย
เซียวเหิงคาดเดาว่ามันน่าจะเป็นหลักฐานที่หวังซวี่พบเจอในวันนี้ที่สถานที่เกิดเหตุ
เซียวเหิงใช้กรรไกรตัดเส้นด้ายเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่งออกมา
เสื้อผ้าที่ซ่างกวานเยี่ยนสวมใส่อยู่ตอนที่บาดเจ็บได้ถูกกู้เจียวเปลี่ยนแล้ว และเก็บไว้เป็นหลักฐานในกล่องภายในห้องผู้ป่วย
หลังจากตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้ว เซียวเหิงพบว่าเส้นด้ายเส้นนี้ไม่ได้มาจากซ่างกวานเยี่ยน
สี่คนนั่งล้อมวงกันอยู่ที่โต๊ะแปดเซียน
กู้เจียวกินบะหมี่จนหมดแล้ว ตอนนี้กำลังถือชามที่ใหญ่กว่าหน้าตัวเองขึ้นมาดื่มน้ำแกง
เซียวเหิงนั่งข้างๆ นางพลางเอ่ย “น่าจะเป็นเสื้อผ้าของมือสังหาร ที่ทิ้งร่องรอยไว้ในพุ่มหญ้าหรือหนามแหลมในสถานที่เกิดเหตุ”
กู้เฉิงเฟิงและกู้ฉังชิงนั่งอยู่ตรงข้ามพวกเขา
“หรือว่าจะเป็น…ผ้าของหันเย่” กู้เฉิงเฟิงถาม
หันเย่น่าสงสัยมากที่สุด เขาไม่ใช่แค่เคยลอบสังหารเซียวเหิง แต่ยังเคยลอบโจมตีกู้เจียวระหว่างเดินทางเพื่อเอาชีวิต เขาแทบจะเป็นอาวุธลับของไท่จื่อก็ว่าได้
เซียวเหิงส่ายศีรษะ “นี่มันเส้นไหมจากต้นหม่อน ฤดูหนาวใส่ขนแกะ ฤดูร้อนใส่ไหมหม่อน ผ้าไหมหม่อนไม่ได้ให้ความอบอุ่นมากนัก แต่ระบายอากาศได้ดี จึงมักนำมาทำเสื้อฤดูร้อน”
เขาเอ่ยพลางมองกู้เฉิงเฟิงแวบหนึ่ง “เสื้อของเจ้าทำมากจากผ้าหม่อนฝ้าย คุณภาพไม่ดีเท่าผ้าหมอนไหมในมือข้า แต่ผ้าไหมหม่อนชนิดนี้ก็ไม่ได้ดีที่สุด ในป่าวันนี้ เจียวเจียวต่อสู้กับหันเย่ เขาสวมใส่ผ้าไหมแพร ส่วนคืนนั้นเขาปลอมตัวเป็นชายชุดดำไปลอบสังหารข้าที่สำนักบัณฑิต ขาสวมใส่ผ้าฝ้ายชั้นดี”
เรื่องนี้พอจะเข้าใจได้ หันเย่เป็นทายาทของตระกูลหัน เป็นขุนนางชั้นสูงอย่างแท้จริง เขาย่อมไม่มีทางใส่ชุดพรางตัวยามราตรีราคาถูกที่ขายราคาหนึ่งหรือสองตำลึงในตลาดเป็นแน่
ทั้งหมดเป็นชุดที่สั่งทำ มีการตัดเย็บพอดีตัว เนื้อผ้าเบาสบาย และยืดหยุ่นได้ดี
กู้เฉิงเฟิงมองดูผ้าไหมหม่อนในมือของเซียวเหิง ท่าทางราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ก็หมายความว่าผ้านี้ไม่ใช่ผ้าที่ราคาถูกที่สุด แต่ก็ไม่ได้แพงที่สุดเช่นกัน”
เซียวเหิงตอบ “ราคาปานกลาง ชาวบ้านไม่สามารถซื้อได้ ขุนนางชั้นสูงดูถูก”
กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว “จะเป็นใครได้อีกเล่า ยอดฝีมือของตระกูลหัน ยอดฝีมือของตำหนักไท่จื่อ หรือจะเป็นฉีเซวียนคนนั้นรึเปล่า”
พวกเขาได้แลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดที่แต่ละคนรู้ ซึ่งรวมถึงประวัติความเป็นมาของเซียวเหิง เรื่องซ่างกวานเยี่ยนที่เป็นทาสหญิงในแคว้นเยี่ยนเมื่อก่อน และเบาะแสของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับหันเย่ เช่น ฉีเซวียน
กู้เฉิงเฟิงถามกู้ฉังชิง “พี่ใหญ่ ท่านเคยต่อสู้กับฉีเซวียนหรือไม่ ท่านสังเกตเห็นเขาสวมเสื้อผ้าอะไรไหม”
กู้ฉังชิงตอบ “ไม่เคยสู้กับเขา”
ฉีเซวียนคว้าตัวหันเย่แล้วเดินจากไป ไม่ได้ต่อสู้กับกู้ฉังชิงแม้แต่ครั้งเดียว
“ข้า” กู้เจียวยกมือข้างหนึ่งขึ้นจากด้านหลังชาม “ข้าเคยต่อสู้กับฉีเซวียน”
กู้เฉิงเฟิงมองนาง “แล้วเขาใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าแบบนี้ไหม”
กู้เจียว “จำไม่ได้”
กู้เฉิงเฟิง “…”
เซียวเหิงเอ่ย “จับตามองหวังซวี่ ดูว่าเขามีเบาะแสอะไรไหม”
กู้เฉิงเฟิงมุมปากกระตุก หึ หึ ไหนบอกว่าไว้ใจได้ แต่ก็ยังแอบสืบอยู่อีกหรือ
“เข้าใจแล้ว ข้าจะจับตาดูเขา” กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว ทว่านึกอะไรออกบางอย่าง จึงถามต่อ “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เขาฆ่าเจ้าก็เพราะเจ้าเป็นพระราชนัดดาองค์โต เจ้าไม่ได้ถูกถอดยศเป็นสามัญชน แต่แม่ของเจ้าไม่ได้เป็นคนในราชวงศ์แล้ว เหตุใดยังมีคนไม่ยอมปล่อยนางไปล่ะ”
เซียวเหิงเอ่ย “ถอดยศได้ ก็ย่อมสามารถสถาปนาใหม่ได้ ฮ่องเต้เคยตรัสไว้ว่าองค์หญิงซ่างกวานเยี่ยนถูกถอดยศเป็นสามัญชน คุมขังไว้ในสุสานกษัตริย์ และห้ามกลับเมืองหลวงอีก แต่ตอนนี้นางไม่เพียงกลับมาแล้ว แต่ยังได้อาศัยอยู่ในวังหลวงอีกด้วย ถามว่าคนเหล่านั้นที่คอยหาโอกาสอยู่ จะทนอยู่เฉยได้หรือ ไท่จื่อย่อมทนไม่ไหวเป็นคนแรก”
วันสองวันอาจจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าเวลาผ่านไปนาน อาจมีบางคนกังวลว่าความรักของพ่อที่มีต่อลูกของฮ่องเต้จะกลับคืนมาอีกครั้ง
นี่ถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่ง
ไม่ใช่ทุกเรื่องจะต้องรอให้มันเกิดขึ้นแล้วค่อยแก้ แต่ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหา
แม้จะเป็นเพียงความเป็นไปได้อันน้อยนิด แต่ก็ต้องรีบกำจัดมันทันที