ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่31 ลองปรับความเข้าใจ

ตอนที่31 ลองปรับความเข้าใจ

“คุณทัตสึยะไม่ถนัดเข้าหาคนอื่นสินะคะ”

สเปียร์พูดเช่นนั้นหลังได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เธอเก็บแก้วน้ำชาบนโต๊ะพร้อมกับพูดสิ่งที่คิดออกมาอย่างตรงไปตรงมา

“ต่อให้เป็นฉัน แต่ถ้าโดนพูดแบบนั้นใส่ก็คงมีคิดมากกันบ้างแหละคะ”

“นี่ฉันพูดแรงไปงั้นเหรอ?”

“แรงมากๆ เลยต่างหากล่ะคะ”

เอลฟ์สาวตอบกลับมาทันทีที่ถูกถาม

ทัตสึยะที่ได้ฟังคำตอบนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะเดินไปทิ้งร่างของตัวเองลงบนเตียง เขากางแขนทั้งสองข้างพลางจ้องเพดานของอีกครั้ง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังมาจากร่างที่จมอยู่บนเตียง

“เรื่องค่อนข้างใหญ่เลยนะคะ ถ้าข้อมูลของพวกคุณมากัสถูกต้อง ก็มีโอกาสที่รถไฟขบวนนี้จะกลายเป็นสนามรบ”

สเปียร์นั่งลงบนเตียงของเธอพลางพูดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น

“ตอนอยู่ที่กิลด์ฉันเห็นว่ามีนักผจญภัยที่สวมชุดแบบเดียวกับพวกมากัสอยู่เยอะเลย บางที่ก็คงไม่ได้มีแค่ขบวนนี้หรอกที่จะมีการล้อมจับ”

“นั้นสินะคะ บางทีตอนที่แวะสถานีบาทหลวงเฟอร์เมียนก็อาจจะลงเพื่อเปลี่ยนรถ”

พอได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทัตสึยะก็เริ่มฉุกคิดบางอย่างขึ้นมา ความเป็นไปได้สุดเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น เขาลุกพรวดออกจากเตียงด้วยสีหน้าที่ดูเป็นกังวล

สเปียร์ที่เห็นการกระทำนั้นก็ตกใจเช่นกัน

“มะ มีอะไรรึเปล่าคะ?”

“ตอนนี้พวกกิลด์เมืองหลวงไม่ได้รู้เรื่องมังกรนี่น่า”

“เอ๊ะ?”

“ก็พวกข้อมูลที่ได้จากการพิสูจน์ศพของเจ้ามังกรตัวใหญ่นั้นไง เพราะการพิสูจน์ยังไม่เสร็จ ข้อมูลที่ว่าพวกขายพรเทียมมันมีเอี่ยวกับเรื่องการกลับมาของมังกรก็เลยยังส่งมาไม่ถึงเมืองหลวง”

“เอ๊ะ? ไม่ใช่ว่าพวกเราก็เอาหัวมังกรไม่ส่งองค์ราชาแล้วไม่ใช่เหรอคะ? แบบนั้นทางกิลด์ก็น่าจะรู้แล้วนี่นา?”

“ไม่ๆ นั้นมันหัวของเจ้าตัวที่ฉันเจอระหว่างเดินทาง สิ่งที่เมืองหลวงรู้ตอนนี้น่าจะมีแค่เรื่องมังกรยังไม่สูญพันธุ์”

ทัตสึยะเริ่มเหงื่อตกเมื่อคิดได้ว่าอาจจะมีมังกรถูกขนมาด้วยกับรถไฟขบวนนี้

แม้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่มันก็ยังมีความเป็นไปได้

“ไม่ใช่ว่าทางกิลด์เองก็เริ่มกวาดล้างพวกที่แฝงตัวได้สักระยะแล้วเหรอคะ? แบบนั้นก็น่าจะมีข้อมูลหลุดไปบ้างสิคะ”

“ไม่หรอก พวกนักบวชที่โดนจับได้น่าจะเป็นแค่พวกปลายแถว เฟอร์เมียนน่าจะเป็นระดับหัวหน้าคนแรกที่ทางกิลด์สาวตัวมาถึง”

พอเรื่องที่ทัตสึยะพูดเริ่มมีเค้าลางความจริงสเปียร์ก็พลันหน้าซีดตามไปด้วย

“ไอ้ตัวแบบนั้น…ในรถไฟขบวนนี้”

ทัตสึยะเองก็กลืนน้ำลาย เพราะถ้าคิดตามที่ลูกน้องของดิโอน่าบอกเรื่องการเร่งเจริญเติบโตนั้นเป็นจริง เจ้าคนที่ชื่อเฟอร์เมียนก็ดูจะน่ากลัวขึ้นมาเลย

“จริงสิ ฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่นะคะ เรื่องเนตรมารที่คุณมากัสผู้ถึง ถ้าหากคุณทัตสึยะยังมีเรื่องที่ปิดปังฉันอยู่ช่วยบอกมาด้วยเถอะค่ะ มันน่าจะมีประโยชน์กว่านะคะที่จะใช้สิ่งนั้นตามหามังกรกับบาทหลวงเฟอร์เมียน”

สเปียร์ขยับหน้าเข้ามาใกล้จนทัตสึยะต้องถอยออกมา

“ใจเย็นสิ ถึงจะปิดบังอยู่ก็จริง มันก็ใช่ว่าไม่อยากทำหรอกนะ แต่เพราะทำไม่ได้ต่างหาก”

ทัตสึยะผลักไหล่ของสเปียร์ให้เธอนั่งลงที่เดิม

“หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”

“ก่อนอื่นช่วยบอกถึงสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเนตรมารมาก่อนสิ จะได้รู้ว่าควรเริ่มอธิบายตรงไหน”

แม้จะสงสัย แต่เธอก็พยักหน้าและเริ่มพูดสิ่งตนรู้ให้ทัตสึยะได้ฟัง

“เนตรมารก็คือหนึ่งในพลังที่เผ่าปีศาจได้รับจากพระเจ้าของพวกเขา มันมอบพลังที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บ้างมองไกลบ้างมองทะลุ หรือแม้แต่มองเห็นอนาคต”

ทัตสึยะพบักหน้าตอบ เพราะข้อมูลที่เธอพูดมันก็เป็นข้อมูลชุดเดียวกับที่เขาได้รับจากบันทึกในวังหลวงของมิเนเรียเช่นกัน

“แต่หลังสงครามเมื่อสองร้อยปีจบลงก็เริ่มมีมนุษย์บางคนที่เกิมาพร้อมพลังที่คล้ายเนตรมาร ถึงจะยังไม่แน่ชัด แต่ก็มีทฤษฎีที่น่าเชื่อถือหนึ่งผุดขึ้นมา เขาบอกมาว่ามนุษย์ที่เกิดมาพร้อมเนตรมารเพราะว่าอาจจะมีเลือดของเผ่าปีศาจไหล่เวียนอยู่ คนเหล่านั้นจึงถูกรังเกียจโดยคนบางกลุ่มแม้ว่าจะเป็นเผ่ามนุษย์ด้วยกัน”

“ก็นะ ถึงจะคล้ายกัน แต่พลังของฉันมันไม่ใช่เนตรมารหรอก มันเป็นพลังจากพรศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก มันมอบพลังที่คล้ายกับเนตรมารมาให้กับฉัน แต่ว่าดวงตาคู่นี้มันมีหลายอย่างที่ทรงพลังมากกว่าเนตรมาร”

“ทรงพลังมากกว่าเนตรมาร?”

“ปกติเนตรมารมันจะมอบพลังเพียงแต่หนึ่งอย่างให้กับผู้ถือครองถูกไหมล่ะ แต่พรของฉันมันมอบทุกความสามารถที่เนตรมารทำได้ให้ฉันทั้งหมดเลย ทั้งมองไกลมองทะลุมองพลังเวท หรือแม้แต่มองอนาคต ถึงจะแค่ไม่กี่วิก่อนหน้าก็เถอะ”

“แบบนั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่คะ พลังที่สุดยอดขนาดนั้นก็น่าจะหาตัวเฟอร์เมียนเจอนี่คะ”

ทัตสึยะถอนหายใจยาวก่อนจะผสานมือวางไว้บนตัก

“นั่นแหละปัญหา เพราะพรของฉันมองไม่เห็นมังกร ถูกให้ถูกคือมองไม่เห็นอะไรก็ตามที่เป็นวัตถุจากร่างมังกร”

“อะไรกัน ทำไมถึงมีข้อจำกัดที่แพ้ทางขนาดนั้นล่ะคะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็เพิ่งเข้าใจตอนที่สู้กับแม่มดชุดดำคนนั้นเหมือนกัน พวกคนแบบเดียวกับบาทหลวงเฟอร์เมียนน่าจะรู้ถึงข้อได้เปรียบนี้เลยพกวัตถุบางอย่างจากร่างมังกรไว้กับตัว”

ทัตสึยะนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่บ้านเกิดของไดอาน่า ตอนที่เขาถูกซุ่มโจมตีในตรอกเองก็สัมผัสและตรวจจับไม่ได้ รู้ตัวอีกที่พวกนั้นก็มาอยู่ข้างหลังแล้ว

“แบบนั้นก็น่าจะมีทางอยู่นี่คะ เราก็กระโจนเข้าไปจับคนที่คุณทัตสึยะมองไม่เห็นก็พอแล้วนี่น่า”

“ฉันก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันก็อาจจะมีคนแบบมากัสอยู่ก็ได้ พวกคนที่ถูกตรวจสอบแล้วจะรู้ตัวน่ะ แบบนั้นมันจะทำให้ฝ่ายนั้นไหวตัวทัน”

พอพูดคุยเรื่องที่เครียดๆ รู้ตัวอีกที่ท้องฟ้าก็ถูกย้อมเป็นสีส้มไปเสียแล้ว

ทัตสึยะลุกขึ้นจากเตียงพร้อมหยิบผ้าคลุมพร้อมบาร์เกสต์ขึ้นมา

“ถ้าจะออกไปเดี๋ยวฉันจะไปด้วยค่ะ”

“ไม่ต้องหรอก ดาบของเธอมันเล่มใหญ่เกินไป ถ้าต้องสู้ในที่แคบๆ อย่างในตู้ขบวนแบบนี้ มีหวังเธอฟังตู้โดยสารเป็นชิ้นๆ แน่”

“แล้วกัน ถึงอย่างนั้นฉันก็ใช้หมัดสู้ได้นะคะ”

พูดจบเธอก็ใช้หมัดชกอากาศโชว์ทัตสึยะ

พอเห็นแบบนั้นทัตสึยะก็ได้แค่ยิ้มเจื่อน

“เอาน่าๆ ยังไงก็พักเอาแรงไว้ก่อนเถอะ ถ้าได้เรื่องแล้วจะมาเรียกละกัน”

มองเห็นว่าแก้มของสเปียร์มันป่องออกมา ดูเหมือนเธอจะไม่ค่อยพอใจกับการตัดสินใจของทัตสึยะสักเท่าไหร่

แม้จะเห็นแบบนั้นสิ่งที่ทัตสึยะทำได้ก็มีแค่การส่งยิ้มแบบเจื่อนๆ กลับไปแล้วหวังว่าจะค่อยกลับมาง้อเธอพร้อมของกินอร่อยๆ

ทัตสึยะที่เดินออกมาจากห้องให้เวลาไม่นานนักในการมาสมทบกับกลุ่มของมากัส แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือในกลุ่มนั้นไม่ได้มีไดอาน่าอยู่ แต่กลับมีนักเวทสาวอีกคนอยู่แทน

“เอ๊ะ? คุณทัตสึยะมีอะไรรึเปล่า”

มากัสกล่าวทักทันทีที่เห็นทัตสึยะกำลังเดินเข้ามา

“ใครงั้นเหรอ?”

นักเวทสาวผู้มีใบหน้าเฉยชากล่าวถามกับมากัสถึงบุคคลที่ปริศนาที่กำลังเดินเข้ามา

“อ่อ เขาเป็นคนรู้จักของไดอาน่าน่ะ ชื่อว่าทัตสึยะ เห็นว่าเป็นนักผจญภัยที่มีฝีมือถึงขั้นที่ราชวงศ์ยังให้การยอมรับ”

“โห~อย่างงี้เองสินะ”

แม้ใบหน้าที่เธอแสดงออกมามันจะเฉยชา แต่ก็มีความรู้สึกว่าเธอคนนั้นกำลังกุมความลับอะไรบางอย่างเอาไว้

“สวัสดีครับ อาซากิริ ทัตสึยะครับ เป็นนักผจญภัย”

“นักผจญภัยเช่นกัน ชื่อลาร่า แกรนดอฟร์ เป็นนักเวทประจำปาร์ตี้”

เมื่อแนะนำตัวกันเสร็จ ทัตสึยะก็บอกเล่าข้อมูลที่ตัวเองมีให้แก่เหล่าปาร์ตี้เคี้ยวสีเงินได้ฟังทั้งหมด เพียงแต่เขาหลีกเลี่ยงการบอกเรื่องที่ตนเป็นคนกำจัดมังกรทั้งสองตัว รวมถึงความสามารถอย่างละเอียดของพร

คงเพราะยังวางใจพวกเขาไม่ได้ทัตสึยะจึงเลือกที่จะเก็บความสามารถของเนตรแห่งความจริงเอาไว้

“ก็มีความเป็นไปได้”

“ไม่สิ ยังไงนั้นก็เป็นกรณีที่แย่ที่สุดไม่ใช่รึไง ไม่เห็นต้องรีบกังวลเลยนี่”

“ผิดแล้วอเลค ตามที่มากัสว่านั่นแหละ ตราบใดที่มีความเป็นไปได้ก็ไม่ควรตัดความเป็นไปได้นั้นทิ้งไป”

ลาร่าตอบกลับคำพูดของอเลคด้วยน้ำเสียงสุดเมินเฉย ในขณะที่คิ้วของมากัสนั้นขมวดจนแทบจะติดกัน

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลอันมีค่า เดี๋ยวพวกเราจะรีบไปบอกหน่วยรักษาความปลอดภัยของขบวนรถละกัน”

“ผมว่าอย่าเพิ่งทำแบบนั้นจะดีกว่า”

ทัตสึยะรีบกล่าวขัดความคิดนั้นแทบจะในทันที

“ข้อมูลตรงนี้ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วถ้าฝ่ายนั้นขนสัตว์ประหลาดขึ้นมาบนขบวนรถได้ก็หมายความว่าพวกนั้นเองก็มีคงมีสมรู้ร่วมคิดอยู่ในพนักงานของรถไฟขบวนนี้ด้วยแหละ”

พอได้ฟังการตัดสินใจของทัตสึยะคุณนักเวทสาวก็เริ่มออกความคิดเห็นเช่นกัน

“ถ้าเป็นงั้นก็แปลว่าฝ่ายก็รู้อยู่แล้วว่ามีนักผจญภัยจากกิลด์ขึ้นมาบนขบวนรถ แบบนี้พวกเราก็เสียเปรียบอยู่นะ”

“มีแผนแล้วงั้นเหรอลาร่า”

มากัสยังคงสงสัย แต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานเขาจึงพอเดาได้จากรอยยิ้มนั้นของลาร่า

“พวกเราก็แค่เคลื่อนไหวให้น้อยลงเพื่อให้พวกนั้นชะล่าใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ตรวจสอบตู้โดยสารไปทีละตู้ตอนที่พวกนั้นไม่รู้ตัวไง”

“แบบนั้นมันจะทันงั้นเหรอ รถไฟขบวนนี้ใช้เวลาแค่สี่วันครึ่งก็ถึงแกรนโนอาแล้วนะ”

อเลคยังคงกังวลกับแผนที่ได้ยิน

“พวกนายก็ทำเหมือนเดิมนั่นแหละ อย่าให้เจ้าพวกนั้นสงสัย ก็แต่ทำตัวให้เหมือนว่ากำลังถอดใจ จากนั้นก็ให้ใครสักคนที่พวกนั้นไม่รู้จักเที่ยวตระเวนไปในตู้โดยสารในยามวิกาลก็พอ”

ไม่รู้ว่าจงใจหรืออย่างไร แต่พอถึงประโยคสุดท้ายนักเวทยาวก็ชำเลืองสายตามาหาทัตสึยะ

ทัตสึยะที่รู้ตัวว่าจะถูกใช้งานก็ได้แต่ยิ้มแห้งอย่างไร้ทางเลือก

หลังจากนั้นก็ประชุมกันอีกนิดหน่อย โดยสรุปแล้วทัตสึยะจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเลี่ยงไม่ได้

เมื่อกลับมาที่ห้องเขาก็เลือกจะเก็บแผนการนี้ไว้เป็นความลับจากสเปียร์ โดยที่หลอกล้อความสนใจของเธอโดยใช้ของกินที่ทัตสึยะหยิบติดมือมาจากตู้เสบียง

มันเป็นของหวานที่เป็นที่นิยมในหมู่ของขุนในประเทศแห่งนี้ เค้ก ดูเหมือนค่าอาหารจะถูกคิดรวมกับตั๋วรถไฟอยู่แล้ว เพราะงั้นของกินสวนมากจึงสามารถหยิบออกมาได้เลย

เมื่อพระอาทิตย์ตกดินอุณหภูมิก็ลดลง แม้จะเป็นภายในห้องวีไอพีที่มีอุปกรณ์ทำความร้อน แต่มันก็ยังสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นจากภายนอก ทัตสึยะก็แสร้ทำเป็นนอนหลับทันทีหลังพระอาทิตย์ตกเพื่อไม่ให้สเปียร์รับรู้ถึงแผนการ

หลังเวลาผ่านไปจนแน่ใจแล้วเขาก็จึงสวมผ้าคลุมวิเศษเพื่อป้องกันการถูกระบุตัวตน

ทัตสึยะวางเจ้าตุ๊กตาหมอนสไลม์เอาไว้แทนตัวเองพร้อมห่มผ้าให้มันเพื่อไม่ใช้สเปียร์ที่ตื่นมากลางดึกสงสัย หลังจากจัดเตรียมอุปกรณ์เสร็จ เด็กหนุ่มผมดำก็ก้าวเท้าออกจากห้องโดยไม่ทำให้แม่สาวเอลฟ์ตื่น

ตู้โดยสารของทัตสึยะนั้นคือตู้วีไอพีที่อยู่เกือบหน้าสุดของขบวนรถ ถัดไปก็คือตู้เสบียงและก็จะเป็นตู้สำหรับคนธรรมดา หากจะเริ่มตรวจสอบหาสิ่งมีชีวิตอย่างมังกรก็ต้องเริ่มจากตู้บรรทุกสินค้าที่อยู่ด้านหลังสุด

เขาดึงฮูดขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่ตู้โดยสารที่อยู่ถัดไป เมื่อตรวจสอบบนทางเดินจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเขาจึงเดินเข้าไปที่ตู้เสบียง

“เสียงงั้นเหรอ?”

เมื่อเดินเข้ามาก็ได้ยินเสียงใครบางคนที่กำลังพึมพำอย่างน่าอึดอัด

เมื่อมองเข้าไปสิ่งที่ไม่คาดหวังก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าทันทีที่เปิดประตู

เด็กสาวผมเงินสวมหมวกและชุดคลุมสีหิมะกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง

“เอาจริงดิ”

เธอคนนั้นหันมองเขาทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู

“นะ นาย!?”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset