ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่28 ร้านค้าหน้าสถานี

ตอนที่28 ร้านค้าหน้าสถานี

เพราะเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้ทั้งกิลด์นักผจญภัยและสถานี จึงให้เวลาเดินเท้าไม่นานก็มาถึงจุดหมาย

เมื่อเดินเข้าไปในสถานีทัตสึยะก็ไม่รอช้าที่จะนำตั๋วไปเปลี่ยนสถานีจุดหมาย

เขายื่นตั๋วของตนและสเปียร์ให้กับพนักงานประจำเคาน์เตอร์ จากนั้นจึงบอกจุดหมายและวันเวลาตามลำดับ แม้คุณพนักงานจะแสดงสีหน้าดูลำบากใจเพราะระยะเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด แต่เพราะเป็นตั๋ววีไอพีจึงยอมทำตามที่ทัตสึยะขอ สุดท้ายก็ได้เที่ยวรถเป็นอีกหนึ่งขบวนถัดไป

หลังเปลี่ยนตั๋วเสร็จเรียบร้อยตัวเขาก็เดินกลับมาทางสเปียร์ที่กำลังมองบางอย่างอยู่

“เปลี่ยนตั๋วเสร็จแล้วนะ เห็นว่าต้องรอรถไฟถัดไปอีกขบวนน่ะ”

“อะ เอ๊ะ! งะ งั้นเหรอคะ”

“นี่เธอมองอะไรตั้งต่อเมื่อกี้แล้วน่ะ”

พูดจบทัตสึยะก็หันไปตามทิศที่เธอมองอยู่เมื่อครู

มันเหมือนกับร้านค้าเล็กในโลกเดิมของเขา

สิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือนร้านที่ดูทันสมัยนั้นก็คือร้านของฝากประจำสถานี เป็นสิ่งที่มีมาคู่กับทุกสถานี แต่ที่มันดึงความสนใจคงเป็นเพราะขนาดตัวร้านที่ค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับที่ดอลเบล เพราะของที่นั่นเรียกว่าร้านยังยาก คงต้องเรียกว่าแผ่งลอยมากกว่า

“ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ จะเดินไปดูหน่อยไหมล่ะ?”

“เอ๊ะ ได้งั้นเหรอคะ”

ถึงจะถามแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์ไปห้ามเธอแต่แรกแล้ว แถมอีกอย่างถ้าโดนมองด้วยสายตาคาดหวังแบบนั้นคงไม่มีใครกล้าตอบปฏิเสธหรอก

เมื่อเดินเข้าไปในร้านก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่น่าคิดถึง ทั้งการตกแต่งหรือแม้แต่การวางชั้นสินค้า มองยังไงนี่มันก็ร้านสะดวกซื้อชัดๆ แถมยังเป็นร้านสะดวกซื้อต่างโลก

“ส่วนใหญ่มีแต่ของกินสินะ คงจะดีถ้ามีของที่คล้ายกาแฟขายด้วย”

ทัตสึยะที่คิดว่าคงจะดีถ้ามีกาแฟขายเพราะยังไงหลังจากนี้ต้องไปเข้าเรียน ขณะที่ยืนมองเขาก็ใช้พรเข้าใจทุกสรรพสิ่งแยกแยะสินค้าทีละชิ้นอย่างละเอียด แต่พอรู้ตัวและหันกลับไปมองสเปียร์ก็เห็นว่าเธอกำลังหอบสินค้าที่เป็นของกินเอาจนแทบจะล้นออกมา

“นี่เธอเป็นเด็กประถมรึไง”

พอหันไปพูดแบบนั้นเธอก็ทำของที่แบกอยู่ทั้งหมดหล่นลงกองกับพื้น

เสียงถอนหายใจดังขึ้นเงียบๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีของที่อยากได้เยอะจนล้นมือทัตสึยะจึงยื่นตะกร้าของตนให้ เพราะเท่าที่ดูตัวเขาเองคงไม่ได้ซื้อของเยอะ

“คราวหลังถ้าจะซื้อเยอะก็เดินไปหยิบตะกร้าตรงนั้นมา เข้าใจไหม”

“ค่า~”

สเปียร์ตอบกลับด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่รู้สึกผิด ภาพของทัตสึยะที่สอนสเปียร์ถึงวิธีเข้าร้านสะดวกซื้อมันเหมือนกับคุณแม่ที่ออกมาจ่ายตลาดกับลูกติดไม่มีผิด

เมื่อเดินผ่านโซนของกินออกมาทัตสึยะก็มาสะดุดตาเข้ากับป้ายโฆษณาอันใหญ่ที่วางอยู่หน้าชั้นขายตุ๊กตา

“ตุ๊กตาหมอนคุณสไลม์สุดนุ่มนิ่มลิมิเต็ดสุดพิเศษขายจำกัดจำนวน”

พออ่านป้ายแล้วมันก็ยิ่งทำให้ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

“อะไรน่ะไอ้ป้ายที่มีแต่ตัวอักษรนี่ ทำเอานึกถึงใบปลิวที่แจกกันตามท้องถนนเลย”

พอเริ่มเกิดความสงสัย ทัตสึยะก็ไม่รอช้ายืนอ่านคำอธิบายสินค้าต่อในทันที

“ตุ๊กตาคุณสไลม์ มาสคอตประจำสถานี ขายแบบลิมิเต็ดจำกัดหนึ่งคนต่อหนึ่งชิ้น จะว่าไปตั้งแต่มาที่โลกนี้ก็ไม่เห็นสไลม์เลยสักตัว ตกลงแล้วสไลม์เนี่ยมันมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้รึเปล่า?”

พอจ้องมันดูดีๆ ก็รู้สึกว่าดีไซน์ของมันดูคุ้นๆ อยู่นิดหน่อย เหมือนจะมาจากแฟนไซน์ดราก้อนสักอย่างลงท้ายด้วยเควสต์นี่แหละ

“อันนั้นเป็นสินค้าที่ท่านผู้กล้าเขาออกแบบเอาไว้ตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อนน่ะ”

เสียงนั้นดังมาจากใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ

พอทัตสึยะหันกลับไปมองก็เห็นชายวัยกลางคนร่างท้วมที่สวมชุดพนักงานร้านยืนอยู่ตรงนั้น

“เห็นว่าเป็นสัตว์วิเศษจากโลกที่ท่านผู้กล้าจากมาน่ะ อะ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมเป็นผู้จัดการประจำสาขาชื่อ ได วอนฟอต ครับผม”

เขาคนนั้นเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

เมื่อเดินมาถึงจุดที่ทัตสึยะยืนอยู่เขาก็หยิบตุ๊กตาคุณสไลม์ขึ้นมาหนึ่งตัวก่อนจะหันกลับมาที่ทัตสึยะ พอถูกจ้องทัตสึยะก็เริ่มต้องท่าพร้อมสู้โดยไม่รู้

“ดูเหมือนว่าคุณลูกค้าจะดูสนอกสนใจเจ้าสินค้าตัวนี้เอามากๆ เลยนะครับ”

หลังพูดแบบนั้นบรรยากาศรอบตัวของคุณลุงคนนั้นก็เปลี่ยนไป มันแผ่แรงกดดันอันน่าพิศวงออกมา ทัตสึยะที่จ้องมองก็ไม่เข้าใจถึงสายตาที่กำลังจับจ้องมาคู่นั้น

“ดูเหมือนคุณลูกค้าจะมีภูมิหลังกับเจ้าตุ๊กตาตัวนี้สินะครับ เดาจากสายตาแล้วคงเป็นความรู้สึกที่ทำให้นึกถึงบ้านเกินที่จากมาสินะครับ”

สิ้นประโยคพูดนั้นของผู้จัดการ ทัตสึยะก็รู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา

“ถ้าเป็นตัวนี้ผมแนะนำให้ซื้อเก็บไว้นะครับ เพราะสินค้าตัวนี้จะไม่มีการผลิตซ้ำแล้ว”

ทั้งบรรยากาศจังหวะการพูดและหลายๆ อย่างที่รวมกันนั้นมันให้ทัตสึยะรู้ว่าเขาคนนี้คือสุดยอดนักขายตัวพ่อ ไม่ใช่แค่อันตรายแล้วแบบนี้มันเข้าขั้นภัยพิบัติเลยก็ว่าได้ ในขณะที่กำลังจะยกมือขึ้นเพื่อปฏิเสธ รู้ตัวอีกทีคุณลุงผู้จัดการก็เข้าประชิดตัวของทัตสึยะในชั่วพริบตา

“ดูจากการแต่งตัวของคุณลูกแล้วคงเป็นนักผจญภัยที่เก่งกาจและน่าจะมีชื่อเสียง”

มองเห็นรอยยิ้มชวนสยองของเซลแมนมาจากบุคคลตรงหน้า ขณะที่กำลังจะตั้งใจปฏิเสธออกไปอย่างชัดเจน แต่ก็ถูกคนพูดหนึ่งดึงความสนใจเอาไว้

“กับเงินเพียงเล็กน้อย แลกกับความรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด ผมว่ายังไงมันก็คุ้มค่าที่จะจ่ายแล้วนะครับ

ในมือของเขาก็ถือตุ๊กตาคุณสไลม์ลิมิเต็ดไม่มีผลิตซ้ำไปเสียแล้ว…

“ขอบคุณที่อุดหนุนนะครับ”

พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์…

เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการขายคุณลุงผู้จัดการก็จึงเดินจากไปพร้อมชนะที่ได้มา

ทัตสึยะที่คอตกจ้องมองเจ้าตุ๊กตาในเมื่อก่อนจะเริ่มมีความคิดที่ว่า “เจ้าผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีเป็นพวกโอตาคุแฟนตาซีรึไงกัน?” พอคิดแบบนั้นเขาก็ได้แต่ถอดถอนใจ ก่อนจะเดินกลับไปหาสเปียร์ที่กำลังยัดของกินใส่ตะกร้า จนตอนนี้ตะกร้าที่เธอถืออยู่มันเริ่มบวมขึ้นมานิดๆ แล้ว

“นี่เธอเป็นเด็กประถมจริงๆ สินะ”

เขากระซิบกับตัวเองเช่นนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะสังเกตเห็นตัวเขา

“อะ! คุณทัตสึยะกลับมาพอดีเลย ฉันกำลังเลือกระหว่างพุดดิ้งถ้วยใหญ่ที่เก็บไว้ได้นานกับพุดดิ้งถ้วยเล็กแต่ราคาถูกแถมซื้อได้ในจำนวนเยอะๆ อยู่ค่ะ คิดว่าแบบไหนมันคุ้มกว่ากันเหรอคะ?”

ถึงแม้คำถามจะฟังดูประหลาด แต่เธอกลับแสดงสีหน้าที่จริงจังแบบสุดๆ ออกมา

“จะอย่างไหนมันก็พุดดิ้งไม่ใช่รึไง”

“งั้นฉันเอาแบบถ้วยเล็กหลายๆ ถ้วยดีกว่านะคะ”

“ไม่ฟังกันเลยนี่หว่า”

เมื่อเลือกซื้อของกันจนพอใจ ทั้งก็เดินมาที่โซนคิดเงิน และที่น่ากลัวก็คือคนที่ยืนอยู่หลัง เคาน์เตอร์ตรงหน้า เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างท้วมสวมเครื่องแบบของพนักงานร้านทั่วไป ใช้แล้ว คุณผู้จัดการร้านคนดีคนเดิม

ทัตสึยะที่เดินผ่านก็ถึงกับเหงื่อตก เขาดูจะลังเลเมื่อต้องเดินไปคิดเงิน แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะผ่านมันมาได้

เมื่อเดินออกมาจากร้านก็เหมือนว่าสเปียร์เพิ่งจะเห็นสิ่งที่ทัตสึยะถือมาด้วย

“คุณทัตสึยะซื้ออะไรมาเหรอคะ?”

“อ่อ เจ้านี้น่ะเหรอ อย่าเรียกว่าซื้อเลย เพราะราคาที่ต้องจ่ายมันคือหลักฐานแห่งความพ่ายแพ้ของฉัน”

เขาขยำเจ้าตุ๊กตาหมอนสไลม์ตลอดทางที่เดินผ่าน ขณะที่กำลังเดินไปยังที่นั่งสำหรับรอรถไฟ ทัตสึยะก็สังเกตเห็นป้ายที่เขียนคำอธิบายเหมือนกันทุกสถานี

บนนั้นบอกเล่าที่มาที่ไปของรถไฟรางเวทมนตร์ไว้โดยละเอียด “บริษัทที่เป็นเจ้าของรถไฟนั้นถูกผูกขาดไว้เพียงผู้เดียว นั้นคือบริษัทที่แยกตัวออกมาจากกิลด์นักผจญภัยและกิลด์การค้า มีชื่อว่า “ออร์บ (orb) ” ก่อตั้งขึ้นโดยท่านผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อน และมีสถานีหลักตั้งอยู่ระหว่างประตูเชื่อมโลก”

เขามองสลับกันระหว่างเจ้าตุ๊กตาและป้ายอันนั้น ตัวตนของผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อนต้องเป็นคนที่มาจากปีที่ไม่ห่างจากทัตสึยะมาก มากสุดก็ประมาณสามสิบถึงสี่สิบปี แต่ระยะเวลาของที่นี่กับผ่านมาแล้วกว่าสองร้อยปี แถมเขาคนนั้นที่อาจจะเป็นแค่พวกคลั่งวรรณกรรมแนวแฟนตาซี แต่พอมองย้อนกลับมาไปถึงสิ่งที่คนคนนั้นทำแล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับตัวเอง

“ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นก็ยังปรามจอมมารและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย”

แม้จะเป็นเพียงโอตาคุคลั่งแฟนตาซีแต่กลับวางรากฐานของสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย นำวัฒนธรรมหลายอย่างมาสู่โลกที่ไม่รู้จัก สร้างสันติสุขยาวนานกว่าสองร้อยปี

“รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เธอน่ะอ่อนแอแค่ไหน ลำพังพลังแค่นั้นน่ะเป็นผู้กล้าจริงๆ ไม่ได้หรอก”

คำพูดนั้นของแม่มดปริศนา ดังขึ้นในหัวอย่างไร้เหตุผล แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอคนนั้นพยายามจะสื่ออย่างชัดเจน แต่ก็พอเดาได้ว่าหลังจากนี้จะเกิดหายนะที่รุนแรงมากๆ รุนแรงจนถึงขั้นที่โลกใบนี้ต้องอัญเชิญผู้กล้ามา

“ทำไมถึงเป็นฉันกันนะ”

เสียงกระซิบกับตัวเองของทัตสึยะถูกกลบทับด้วยเสียงของขบวนรถไฟที่วิ่งผ่านไปจนแม้แต่ตัวเขาก็ไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset