ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่21 มังกรเกราะ

ตอนที่21 มังกรเกราะ

การกักขังร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้กรง การผูกมัดก็ไม่จำเป็นต้องมีโซ่เสมอไป——

ในความจริงเพียงแค่เจ้าสิ่งนั้นร้องคำราม ร่างกายก็ราวกับถูกสะกดให้หยุดนิ่ง ในหัวเองก็ขาวโพลน ข้อมูลที่จำเป็นต่อการประมวลผลถูกพัดปลิวมลายหายสิ้น

“——อา”

เสียงร้องคำรามดังลากยาว มองเห็นลมหายใจสีขาวระเหยไปในอากาศ เม็ดฝนระเหยทันทีเมื่อตกกระทบ ร่างที่อยู่ท่ามกลางสายฝนไม่แม้จะเปียกเลยเสียด้วยซ้ำ

กรงเล็บสีดำลากขูดไปกับต้นไม้ที่หัก ลำต้นสีน้ำตาลหนาเตอะถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษไม้ ดวงตาสีแดงไร้แววจับจ้องมาที่ทั้งสอง

“นั่นเหรอคะ ตัวที่เป็นต้นเหตุ สัตว์ประหลาดที่อาละวาดอยู่ในเทพนิยาย มังกร”

เอลฟ์สาวตั้งท่าพร้อมดาบในมือ แม้ร่างของสัตว์ร้ายจะปรากฏแต่ในแววตานั้นกลับปราศจากความกลัว

“เอาไงดีคะ แบบนี้แย่แน่ จะรีบถอยไปตั้งหลักกันก่อนดีไหมคะ”

“ไม่ได้ เจ้านั้นมันจำกลิ่นพวกเราได้ ถ้าหนีไปมีหวังหมู่บ้านถูกเป่ากระจุยแน่ แล้วดูจากสภาพ เจ้านี่น่าจะตัวใหญ่กว่าตอนไปบุกหมู่บ้านแน่ๆ”

“แล้วจะเอายังไงล่ะคะ ดูยังไงมันก็อันตรายกว่าอาร์คกริฟฟอนแล้ว”

พอได้ยินคำถามมันก็ยิ่งตอบอะไรบางอย่างในจิตใจของทัตสึยะ ตัวเขามาที่นี่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ แล้วเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็อยู่นอกเหนือจากคำไหว้วาน

“เธอไม่จำเป็นต้องสู้ เจ้านั่นมันอยู่นอกเหนือคำไหว้วาน ตอนภารกิจถูกยกเลิกแล้ว เธอรีบกลับไปที่หมู่บ้านซะ แล้วแจ้งเรื่องนี้กับทหาร เดี๋ยวฉันจะคอยถ่วงเวลาให้”

“ไม่ไหวหรอก ลำพังแค่คุณคนเดียวเอาชนะเจ้านั่นไม่ได้หรอกนะคะ”

“ฉันไม่คิดจะสู้จนตายหรอก แค่จะถ่วงเวลาล่อมันไปให้ไกลจากขอบป่า”

เอลฟ์สาวฉงนกับคำพูดนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วจ้องไปยังทัตสึยะ

“มองฉันแบบนั้นหมายความว่าไง”

“ฉันรู้ว่าคุณแข็งแกร่ง แต่จะทำคนเดียวทั้งหมดเลยเหรอคะ”

ทัตสึยะไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเมินเฉยต่อคำถามก่อนเริ่มเตรียมตัวพร้อมต่อสู้

จังหวะเดียวกันแรงกระแทกมหาศาลก็พุ่งตรงเข้าหา

กรงเล็บสีดำตัดผ่านต้นไม้ต้นใหญ่จนขาดวิ่น แม้จะรุนแรงแต่ก็ไม่ยากที่จะหลบ ทัตสึยะและสเปียร์กระโจนไปคนละฝั่ง

“ก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากไหน แต่แค่คนเดียวน่ะไม่ไหวหรอก อย่างน้อยก็ให้ฉันช่วยบ้างเถอะค่ะ”

“แค่ถ่วงเวลาอย่างเดียวไม่ทำให้ฉันตายหรอก”

แต่ในจังหวะที่ทั้งสองยังโต้เถียงกันอยู่นั้นเอง——

แผ่นเกราะสีดำของมังกรร่างใหญ่เคลื่อนตัวอย่างผิดปกติเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดงสดข้างใน พร้อมกันนั้นหมอกที่เกิดจากไอระเหยก็ดูหนาตัวขึ้น

“เปิดเกราะเหรอ?”

เสียงร้องคำรามดังขึ้นอีกครั้ง

“——อา”

ทั้งทุ้มต่ำและกังวาน ทั้งบ้าคลั่งและน่าหวาดกลัว

เอลฟ์สาวรีบกระโจนหลบทันทีที่ได้ยินเสียง ผิดจากเด็กหนุ่มที่มีท่าทีแปลกไป

สเปียร์มองกลับไปยังร่างของทัตสึยะที่ยืนนิ่ง วินาทีนั้นเธอจึงเข้าใจ

เสียงที่กังวานนั้นราวกับฝังความรู้สึกบางอย่างลงในอก ทัตสึยะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวในอกจนแทบจะระเบิด

“ข่มขู่เรอะ น่ารำคาญจริง”

แม้จะรู้ตัวมันก็ไม่ช่วยอะไร ร่างกายที่ทนต่อแรงกดดันไม่ไหวหยุดนิ่งไม่ฟังคำสั่ง ทัตสึยะพยายามข่มจิตใจของตัวเองให้เยือกเย็น ดวงตาที่จ้องมองใบหน้าของสัตว์ร้ายเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น

ขณะที่ขบฟันแน่นเจ้ามังกรก็ตวัดกรงเล็บอย่างบ้าคลั่ง

กรร

แรงกระแทกที่เกิดขึ้นบดขยี้ป่าจนเหี้ยนเตียน ต้นไม้สูงถูกถางจนกลายเป็นพื้นที่ว่าง

แม้จะไม่โดนแบบจังๆ แต่ก็มากพอจะบดขยี้อวัยวะภายใน

ทัตสึยะกระเด็นออกจากจุดปะทะก่อนจะกระอักเลือดออกมา เขาจับที่เกราะอกพลางขอบคุณลุงดวอร์ฟในใจ

“ถ้าไม่มีเกราะนี่คงร่างละเอียดไปแล้วมั้ง”

เขาสูดลมหายใจก่อนจะสลัดความลังเลทิ้งไป แม้เสียงหัวจะร้องดังจนน่ารำคาญ แต่ก็ยังข่มความรู้สึกนั้นเอาไว้แล้วตรงเข้าใส่ร่างอันใหญ่โตนั้นทันที

ไลน์นิ่งบูสถูกเรียกใช้ ทัตสึยะอาศัยข้อได้เปรียบด้านความคล่องตัวกระโจนหลบไปมาก่อนจะใช้บาร์เกสต์ฟันเข้าที่ขาหน้าของมังกร แต่ทว่า——

เสียงโลหะดังขึ้น แผ่นเกราะของเจ้ามังกรขยับในชั่ววินาทีนั้น แม้แต่อาวุธที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคนิคพิเศษของดวอร์ฟก็ไม่สามารถสร้างรอยแผลให้มันได้

เด็กหนุ่มดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ จังหวะนั้นเขาก็ถูกกรงเล็บตรงหน้าตะปบเข้าเต็มเปา

ตูม!!

“อัก——”

เสียงกระอักเลือดดังขึ้นเช่นนั้น ร่างของเด็กหนุ่มถูกตบจนกระเด็นติดกับต้นไม้ แม้สติยังคงไม่เลือนหาย แต่ภาพเบื้องหน้ากลับพร่ามัว

ชั่วขณะที่ในหัวนั้นว่างเปล่า ความคิดแปลกๆ พลันปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

‘นี่ตัวฉันทำอะไรอยู่กันนะ ทำไมถึงเลือกเส้นทางที่เสี่ยงตายแบบนี้กันล่ะ’

‘ทั้งๆ ที่เลือกหนีไปแล้วทำเป็นลืมเรื่องนี้ก็ได้แท้ๆ’

‘เพราะว่าทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ?’

“ใช่แล้วล่ะ เพราะทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ”

ถึงกระนั้นก็ยังพอลุกขึ้นไหว ถึงจะกระอักเลือด ถึงแม้อาจจะตายไปแล้วหากไม่สวมเกราะ

ได้ยินเสียงขบฟันแน่น บาร์เกสต์ในมือปักลงพื้นพยุงร่างที่ชุ่มเลือดให้ลุกขึ้น

จังหวะนั้นดวงตาของเจ้ามังกรจับจ้องมาที่ทัตสึยะ ความรู้สึกประหลาดแล่นไปทั่วร่าง มันไม่แม้จะขยับเสียด้วยซ้ำ แต่แค่นั้นก็มากพอจะทำให้ทัตสึยะรู้ว่ามันต้องการอะไร มองเห็นแสงไฟอ่อนๆ ที่กำลังลุกไหม้อยู่ในปากนั้น

“เออก็เอาสิ มาดวลกัน ไอ้จิ้งเหลน”

บาร์เกสต์ในมือเปลี่ยนรูปเป็นคันศร ทัตสึยะถืออาวุธของเขาด้วยมือซ้ายพร้อมกับตั้งท่าราวกับง้างสายธนูที่ไม่มีอยู่จริง

ยิ่งแขนถูกเหนี่ยวมาข้างหลังมากเท่าไรศรเวทไร้สีก็ยิ่งเปล่งแสงสว่างมากขึ้น ขณะเดียวกันมวลพลังเวทที่รั่วไหลของเจ้ามังกรก็ถูกรวบรวมจนเป็นกลุ่มก้อน ทัตสึยะไม่ปล่อยให้เสียโอกาส เขาปล่อยศรพลังเวทที่ถูกบีบอัดในจังหวะเดียวกันกับที่เจ้ามังกรพ่นไฟออกมา

ตูม!!!

เปลวเพลิงที่ถูกพ่นแผ่ความร้อนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ในฤดูร้อน

พลังทำลายอันมากล้นลบพื้นหายไปบริเวณหนึ่ง ต้นไม้ที่หักโค่นก็หายไปไม่เหลือแม้เศษซาก——และไม่ใช่แค่ต้นไม้ที่ถูกเผา แม้แต่ศรเวทเองก็ถูกเปลวเพลิงนั้นกลืนเข้าไป

หลังได้เห็นเช่นนั้นดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้าง แม้ร่างกายจะเปียกเพราะฝนไปแล้ว แต่ก็สัมผัสได้ว่าบนใบหน้ามีเหงื่อไหลออกมา

หลังเสียงระเบิดดังสนั่น หยุดสายฝนได้ในชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ ถูกกลบทับเช่นเดิม

“——อ้า——”

เจ้าสัตว์ร้ายร้องตะโกนอีกครั้ง แต่คราวนี้มันดูจะเป็นการประกาศชัยชนะเสียมากกว่า

เศษฝุ่นลอยฟุ้งเป็นวงกว้างหลังแรงระเบิด บดบังทัศนวิสัย

แต่เมื่อเสียงกระแทกและฝุ่นผงเริ่มจางลงกลับไม่พบแม้แต่ร่างของทัตสึยะ

เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองยังคงมีชีวิต พร้อมกับใบหน้าอันคุ้นเคยของเอลฟ์สาว

“ไม่เป็นไรนะคะ”

ชั่วขณะที่กำลังจะถูกแรงระเบิดเข้าเล่นงาน ร่างของทัตสึยะก็ถูกแบกออกมาด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิง สเปียร์เก็บดาบเล่มใหญ่ขณะใช้แรงอันมากล้นกระโดดไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่

“ยังอยู่อีกเหรอ รีบ——อั่ก——”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค ลมหายใจก็ติดขัด อิทธิพลจากเสียงคำรามยังคงตกค้างในหัว ความคิดทั้งหมดหยุดชะงัก หากเป็นครั้งแรกก็คงไม่หนักถึงขนาดนี้ แต่เพราะนี่คือครั้งที่สองที่เขายืนต่อหน้าเสียงคำรามนั้น

“โดนพลังของการข่มขู่เล่นงานสินะคะ”

เพราะเป็นเอลฟ์ที่มีอายุขัยยืนยาวจึงมีภูมิปัญญาที่ต่างจากมนุษย์ จึงทำให้เธอรับรู้ได้ทันทีหลังมองเห็นอาการผิดปกติของทัตสึยะ

หลังจากสเปียร์เหยียบลงบนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ทัตสึยะก็ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ

“รีบกลับไปซะ!”

ทัตสึยะพูดตวาดออกมาเช่นนั้นก่อนตั้งท่าเหมือนจะยิงศรเวทอีกครั้ง

เอลฟ์สาวที่ได้ยินก็เริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้อยากได้ยินคำตอบใดๆ เธอใช้มือผลักเบาๆ ที่ร่างอันบอบช้ำ เพียงแค่นั้นร่างของทัตสึยะก็ล้มลง

“แค่ยืนยังลำบากเลยไม่ใช่เหรอคะ หรือต่อให้ยืนได้ผลลัพธ์มันก็คงจะออกมาไม่ต่างจากเมื่อกี้”

ทัตสึยะที่ขบฟันแน่นไม่สามารถปฏิเสธความจริงนั้นได้

“ขอโทษด้วยนะคะ แต่ฉันคงจะรับฟังคำสั่งจากคุณไม่ได้”

พูดจบดาบสีดำเล่มใหญ่ก็ถูกดึงออกมา ทัตสึยะเดาออกในทันทีว่าเอลฟ์สาวกำลังจะทำอะไร เขาจึงพยายามห้ามเธอ

“ไม่ไหวหรอก รีบหนีไปซะ อยากเอาชีวิตไปทิ้งรึไง!”

สเปียร์ไม่ได้ตอบกลับ เธอหันหลังและกระโจนลงจากต้นไม้

เสียงของแรงกระแทกที่พื้นดึงดูดความสนใจของเจ้ามังกร

ทันทีที่เห็นเหยื่อรายใหม่มันก็ร้องคำราม เหมือนว่านี่จะเป็นการข่มขู่เพื่อตัดกำลังใจแบบเดียวกับครั้งแรก แต่ในครั้งนี้เสียงร้องคำรามของมันรุนแรงกว่ามาก

“แย่แล้วไง”

ทันทีที่คิดว่าสเปียร์จะถูกสะกดเขาก็อุทานขึ้นเช่นนั้น เพียงแต่เขาคิดผิด เพราะสิ่งที่พบคือใบหน้าที่ปราศจากความกลัว เพราะอะไรกัน——

พอถามหาคำตอบมันก็กฎปรากฏอยู่ในมือขวาของเธอ

ดาบสีดำเล่มใหญ่นั้นกำลังปกป้อง——ไม่สิ มันกำลังดูดกลืนพลังเวทที่ล้นทะลักของเจ้ามังกร เพราะแบบนั้นการข่มขู่ที่มีผลคล้ายกับเวทมนตร์จึงไม่ส่งผล

“นโยบายของบ้านฉันคือการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังทั้งนั้น!”

หญิงสาวกระโจนออกไปพร้อมดาบในมืออย่างไม่กลัวเกรง

เธอกวัดแกว่งดาบสีดำนั้นอย่างชำนาญ ท่วงท่าและพลังเวทที่เอ่อล้นมันมากกว่าตอนที่เขาต่อสู้กับเธอ

กรงเล็บขนาดใหญ่ที่พุ่งผ่านตัดต้นไม้ให้ขาดเป็นสองท่อนได้ด้วยคลื่นกระแทก แม้จะทรงพลังแต่กลับไม่สามารถทำลายแนวป้องกันของดาบสีดำเล่มนั้นได้ เอลฟ์สาวรับกรงเล็บนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น ก่อนจะสวนกลับด้วยการตวัดดาบในวินาทีนั้น

คลื่นทรงจันทร์เสี้ยวสีดำสร้างแรงสั่นได้แม้จะอยู่ในอากาศ ต้นไม้ยักษ์ในป่าถูกคลื่นนั้นหั่นจนล้มตึงไปหลายต้น เจ้ามังกรตัวใหญ่กระเด็นถอยหลังจากโดนสวนกลับเช่นนั้น ถึงจะไม่สร้างบาดแผล แต่ก็มากพอจะทำให้มันรู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นศัตรู

ทัตสึยะที่ร่างไม่ขยับได้แต่มองการโจมตีเมื่อกี้โดยไม่กะพริบตา ขนาดตัวเขาเองยังไม่แน่ใจเสียด้วยซ้ำว่าจะต่อกรกับสัตว์ประหลาดที่เปลี่ยนกฎเกณฑ์ของธรรมชาติแบบนั้นได้หรือเปล่า แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นาน แต่ก็แข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ ทัตสึยะได้แต่ชื่นชมในจุดนั้นอย่างไร้ข้อกังขา

แต่ถึงจะแข็งแกร่งขึ้นมากแค่ไหนทัตสึยะก็รู้ดี ว่าเพียงเท่านั้นเอาชนะไม่ได้หรอก

เสียงคำรามที่ดังกังวานนั้นสะกดให้แม้แต่เม็ดฝนยังสั่นสะเทือน ป่าทั้งป่าเองก็สั่นไหว

จังหวะเดียวกันลำตัวขนาดใหญ่ก็เริ่มขยับ เพราะต้นไม้บริเวณนั้นถูกลบหายไปมันจึงขยับร่างอันใหญ่โตได้อย่างคล่องตัว ปีกสีดำถูกกางพร้อมกับแผ่นเกราะที่ขยับเปิด มันกระโจนขึ้นก่อนจะใช้กรงเล็บขนาดใหญ่จู่โจมด้วยความเร็วที่ยากจะเชื่อว่าเป็นร่างของสัตว์ใหญ่

กรงเล็บสีดำของสัตว์ร้ายไม่รอช้าพุ่งตรงเข้าหาอย่างเกรี้ยวกราด

“หลบเร็ว!!”

ตูม!!

ไม่ทันไรเอลฟ์สาวก็พลาดท่า ต้นไม้ที่ทัตสึยะยืนอยู่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เจ้ามังกรใช้กรงเล็บตบร่างของเธอให้กระเด็นมาชนกับต้นไม้ที่เขายืน ก่อนจะตั้งท่าคล้ายกระทิงและหัวพุ่งกระแทกร่างของสเปียร์ซ้ำอีก

ได้ยินเสียง “อั่ก” ดังออกมาจากร่างของสาวเอลฟ์

“ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ”

คำถามเดิมๆ ถูกฉายวนซ้ำในหัว ทัตสึยะได้แต่นึกถึงเหตุผลที่ต้องสู้ของเธอคนนั้น แล้วก็ก็คิดออก

“ได้โปรดแต่งกับฉันเถอะค่ะ!”

“เพราะฉันเชื่อในคำสอนของคุณพ่อ ก็เลยไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดมือ”

คำพูดของสเปียร์ที่เคยบอกกับเขาดังขึ้นเช่นนั้น เด็กหนุ่มค่อยๆ หยิบขวดโพชั่นที่เตรียมมาขึ้นดื่ม เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะตั้งท่าพร้อมยิงศรเวทออกไปหนึ่งดอก

แม้โพชั่นจะไม่ได้ทำให้แผลหายจนหมดสิ้น แต่แค่นั้นก็พอทำให้ยืนไหว

เสียงระเบิดของศรเวทดังขึ้นหนึ่งครั้งดึงดูดความสนใจจากสัตว์ร้าย

มันจ้องมองทัตสึยะด้วยดวงตาสีแดงไร้แวว

“ขอโทษ แต่นี่ก็เพื่อเธอนะ”

ทัตสึยะพยายามสงบอารมณ์ กำหนดลมหายใจใหม่อีกครั้งก่อนจะเริ่มตะโกนเพื่อบอกบางสิ่ง

“พอได้แล้ว! รีบหนีไปสักทีสิ! จะทิ้งชีวิตไว้กับแค่อาชีพนักผจญภัยรึไง!”

“อะไรกันคะ…มาพูดอะไรตอนนี้——”

“สิ่งที่เธอตามหามันไม่ได้อยู่ที่นี่! ตัวเธอในตอนนี้น่ะเปลี่ยนผลลัพธ์ไม่ได้หรอก! ต่อให้จะพยายามไปก็เปล่าประโยชน์!”

ทันทีที่ตะโกนออกไปเช่นในปากของมังกรก็เริ่มแผ่รังสีความร้อน มองเห็นแสงสีแดงส้มที่ลุกไหม้อยู่ในปาก

“ฉันน่ะไม่ได้กระจอกถึงขั้นต้องให้คนอ่อนแอแบบเธอมาช่วยหรอกนะ!”

เอลฟ์สาวที่ยินเช่นนั้นก็ถึงกับนิ่งสงัด เธอผ่อนไหล่ลงราวกับว่าหมดแรง มองเห็นริมฝีปากที่เริ่มสั่นเบาๆ พอได้เห็นแบบนั้นทัตสึยะก็ราวกับรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดออกไป

“ขอโทษ แต่ตอนนี้ช่วยเชื่อแบบนั้นทีเถอะ”

เสียงกระซิบดังขึ้นอย่าแผ่วเบา ทัตสึยะกระโจนลงจากต้นไม้ก่อนจะใช้ศรเวทในมือยิงใส่เจ้ามังกรเพื่อดึงความสนใจให้ออกห่างจากสเปียร์

ดวงตาสีแดงก่ำจับจ้องมา ไอระเหยแผ่ความร้อนออกมาจนชุดที่เปียกของทัตสึยะนั้นแห้งสนิท

“ไอร้อนลอยมาถึงนี่เลยเหรอ”

ขณะที่วิ่งพล่านไปตามต้นไม้และยิงศรเวทถ่วงเวลา เปลวไฟในปากมังกรก็เริ่มสว่างขึ้น แต่มันก็เป็นไปอย่างที่คาดหวัง เพราะเจ้ามังกรนั้นก็ออกห่างจากร่างของสเปียร์เช่นกัน

เจ้ามังกรที่วิ่งตามพ่นลูกไฟที่แตกต่างจากครั้งก่อนเข้าใส่ทัตสึยะ มันเริ่มเรียนรู้ที่จะปล่อยเปลวเพลิงในปากออกไปเป็นระลอกๆ แม้จะมีขนาดเล็กลงแต่อานุภาพของมันไม่ต่างจากเวทมนตร์ไฟบอลเลยแม้แต่น้อย

แม้จะยิงได้เร็วและนานขึ้นแต่ด้วยพลังของเวทเพิ่มความเร็วก็ทำให้ทัตสึยะสามารถหลบลูกไฟเหล่านั้นได้หมด ระหว่างที่ออกห่างจากจุดเดิมมาเรื่อยๆ ทัตสึยะยิงศรเวทสวนไปเป็นระยะ

เขาอาศัยร่างกายและความคล่องตัววิ่งหลบไปมาและยิ่งศรเวทไปยังจุดเดิมซ้ำ พอหันมองอีกครั้งก็พบว่าเขามองไม่เห็นจุดที่สเปียร์ล้มอยู่แล้ว

“ดีแล้วแบบนั้นล่ะ ตัวฉันไม่ใช่คนที่คู่ควรกับเธอแต่แรก”

เสียงกระซิบดูหวั่นๆ ดังขึ้นโดยไร้ผู้ฟัง จังหวะเดียวกันทัตสึยะเริ่มรวบรวมพลังเวทเพื่อจะยิงศรเวทเช่นกัน

“อ่า เริ่มเข้าใจแล้วสิ คำพูดของมินามิที่พูดตอนนั้น…”

มือซ้ายกำบาร์เกสต์แน่น ได้ยิงเสียงขบฟันดูไม่พอใจ

“ยังหรอกยังหรอก”

“เอ๊ะ”

คำพูดที่ราวกับเคยได้ยิน ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

มันไม่ใช่เสียงของใคร แต่เป็นเจ้ามังกรที่กำลังร้องคำราม

“เมื่อกี้นี้มัน…”

เขาไม่มีเวลาให้คิดถึงสิ่งที่อาจจะเป็นเพียงหูแว่ว ความคิดไม่จำเป็นถูกปัดทิ้งทั้งหมด “หากมีใครต้องเสียสละ คนคนนั้นจะต้องไม่ใช่เธอ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความคิดเช่นนั้นปรากฏขึ้นในหัว พอรู้ตัวอีกทีคันธนูในมือก็ถูกปล่อย

แสงประกายส่องสว่างอย่างเจิดจ้าก่อนจะได้ยินเสียงระเบิดตามหลังมา

ตูม!!

เปลวเพลิงโหมกระหน่ำกลืนศรเวทจนหมด ทัตสึยะหลับตาลงก่อนที่จะถูกเพลิงนั้นกลืนเข้าไป…

ชายหนุ่มถอนหายใจ

ทว่าไม่ใช่เพราะความเสียดายหรืออาลัยอาวรณ์

“เป็นแบบนี้เองสินะ ถูกต้องอย่างที่หมอดูเฒ่านั้นพูดเลย ทั้งเหตุผลที่ยื่นมือเข้าช่วยไอริ เหตุผลที่ยอมช่วยไดอาน่า เหตุผล…ที่ยอมมากับสเปียร์ เหตุผลที่ยอมเป็นผู้กล้า…ทั้งหมดเป็นเพียงความต้องการที่เราปฏิเสธมาโดยตลอด การได้เป็นที่พึ่งพาของใครสักคน…”

เสียงคำกล่าวกระซิบนั้นถูกกลืนเข้าไปพร้อมเสียงระเบิดที่ดังสะนั้น แสงไฟสีส้มสว่างวาบ ความร้อนที่แผดเผาต้มเม็ดฝนจะแห้งระเหย ผืนป่าในบริเวณถูกพัดปลิวหายไปจนแทบหมดสิ้น

“.….”

“….”

“…”

ขณะที่คิดว่าคงจบแล้ว แต่ที่เบื้องหน้ากลับพบแผ่นหลังของใครบางคน ดาบสีดำเล่มใหญ่ตั้งตระหง่างป้องกันแรงระเบิด หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของดาบหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มสดใส

“ที่แท้ก็คิดแบบนั้นเองสินะคะ”

แม้จะถูกเจ็บจนแทบจะยืนไม่ไหว แต่ความมุ่งมั่นในดวงตานั้นกลับไม่จางหาย

“ทำไมถึง?”

เธอได้ยินสิ่งที่ทัตสึยะพูด และยิ้มตอบอย่างสดใส

“ทำไมล่ะ ทั้งๆ ที่ฉันพูดแบบนั้นไปแล้วแท้ๆ ทำไมถึงยังกลับมาช่วย”

“เพราะตอนนี้บนหน้าของคุณทัตสึยะมันกำลังร้องขอให้ฉันช่วยไงล่ะคะ”

แม้บนร่างจะมีเลือดท่วม แม้จะถูกพูดอะไรที่ดูทำร้ายจิตใจ แต่ก็ยังเลือกจะพุ่งเข้ามาช่วย เห็นได้ชัดว่าสภาพแบบนั้นลำพังแค่ยืนยังยาก

“ฉันเชื่อในคำสอนของคุณพ่อและคำพูดของคุณที่บอกกับฉัน”

“ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังและยื่นมือช่วยคนที่ร้องขอ”

คำพูดที่ใครบางคนเคยพูดเอาไว้ราวกับดังสะท้อนในหัวของสเปียร์อีกครั้ง แม้จะเลือนรางแต่ก็ชัดเจน แม้จะเบายิ่งกว่าเสียงหัวใจแต่ก็รับรู้ได้ว่ามีอยู่

ภาพของเขาคนนั้นที่กระซิบกับเธอ ใครบางคนที่สำคัญ ใครบางคนที่เป็นดั่งเป้าหมายในชีวิตของเธอ

“อ้าก!!”

สเปียร์ข่มความรู้สึกเจ็บไว้ก่อนจะกวัดแกว่งดาบเล่มใหญ่พัดเปลวไฟของมังกรจนกระจุยหายไป ร่างของเธอที่ยืนอยู่ต่อหน้าทัตสึยะช่างดูองอาจราวกับเป็นผู้กล้าในเทพนิยาย

“คุณเป็นคนพูดกับฉันเองไม่ใช่เหรอคะ ถ้าหากเชื่อว่าทำได้ สักวันมันจะทำได้จริง แต่ถ้าหากหนีไป สักวันมันก็จะถึงทางตัน”

เสียงหวานใสกล่าวออกมาเช่นนั้นอย่างไร้ความลังเล

“ฉันรู้ดีว่านั่นมันไม่ใช่คำโกหกค่ะ”

เธอยืนมือออกมาหลังกล่าวเช่นนั้น ใบหน้านั้นช่างดูอ่อนโยนและเปล่งประกาย แววตาสีมรกตที่ไร้ซึ่งมลทินนั้นราวกับสะกดทัตสึยะไว้ชั่วขณะหนึ่ง

หลังพยุงร่างของทัตสึยะให้ลุกขึ้น เธอหันหลังก่อนจะพุ่งออกไปด้วยแรงที่มากกว่าครั้งไหนๆ

ดาบเล่มใหญ่แผ่สะพัดออร่าสีดำไปทั่วร่าง พลังเวท——ไม่สิ แม้แต่พลังชีวิตยังถูกดูดกลืน ทันทีที่เธอเหยียบลงบนพื้นหรือต้นไม้ ทันใดนั้นสีสันของใบไม้ก็จางหายไป เหลือเพียงเศษไม้แห้งกรอบ

“ฉันจะไม่โกหกคุณและตัวเอง ฉันอยากจะให้คุณยอมรับ!”

เอลฟ์สาวตะโกนกลับเช่นนั้นขณะที่ปะทะกับกรงเล็บสีดำ จากนั้นแววตาของเธอก็เปลี่ยนไป ดวงตาสีเขียวมรกตถูกย้อมเป็นสีม่วงใส แขนขวาที่ไร้เครื่องป้องกัน ปรากฏเกราะสีดำที่อัดแน่นด้วยพลังเวทที่ดูดกลืน เหนือศีรษะมีเขาเล็กๆ งอกขึ้นมาสองอัน หนึ่งอันอยู่เหนือหู อีกอันงอกออกมาที่เหนือคิ้วข้างขวา

เมื่อเธอจับดาบเอาไว้แน่นจึงปรากฏโซ่หลากสีที่ผูกมัดมือของเธอเอาไว้กับตัวดาบ สองมือตั้งท่าง้างดาบและฟันออกไปสุดแรง

“พิสูจน์ให้ฉันเห็นหน่อยสิคะ ว่าสิ่งที่ฉันเชื่อมันไม่ใช่เรื่องโกหก!”

คลื่นกระแทกสีดำแกมม่วงแม้จะไม่สามารถตัดทะลุแผ่นเกราะแต่ก็รุนแรงมากพอจะทำให้เจ้ามังกรหยุดชะงัก

ได้ยินเสียงร้องดังลั่นของเจ้ามังกร

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเพิ่งมาพูดเรื่องนั้นเอาป่านนี้ แต่คำพูดนั้นก็ราวกับได้ปลดโซ่ตรวนบางอย่างที่ล่ามเขาเอาไว้ ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แถมยังเป็นคนรับมือยากที่หัวรั้น ซื่อตรง และไร้เดียงสาเกินไป ทั้งอย่างนั้นเอลฟ์สาวคนนั้นกลับเชื่อคำพูดของทัตสึยะอย่างสุดหัวใจ

ทัตสึยะแค่นยิ้มจางๆ ออกมา

“นั่น…สินะ”

ทัตสึยะสูดหายใจลึกก่อนผ่อนไหล่ลงเล็กน้อย ในเมื่ออีกฝ่ายเชื่อในตัวตนของเขาถึงขนาดนั้น เขาเองก็ต้องลองเชื่อคำพูดของเธอดู

ขณะที่ดาบใหญ่ของสเปียร์เข้าปะทะกับกรงเล็บของมังกร เสียงร้องคำรามก็ดังก้องยิ่งกว่าเดิม เธอกวัดแกว่งดาบอย่างหนักหน่วง ทุกครั้งที่เกิดการตกกระทบก็ราวกับมองเห็นแผ่นเกราะที่ถูกกะเทาะ เจ้ามังกรที่รู้ตัวว่ากำลังเสียเปรียบกระโจนขึ้นพร้อมกางปีกก่อนจะพ่นลมหายใจเพลิงเผาพื้นเบื้องล่าง

เปลวไฟสีส้มแผดเผาทุกสิ่งภายในอาณาเขต

สเปียร์ที่ตกเป็นเป้าได้แต่กัดฟันแน่นขณะที่ใช้ดาบป้องกันเอาไว้

“มากกว่านี้ ต้องการพลังที่จะทำให้ถูกยอมรับ!”

เมื่อแรงปรารถนาของคนผู้นั้นมากพอ คำวิงวอนจะถูกส่งไปถึงและได้รับการอวยพรจากโลก

พอได้เห็นก็ถึงได้เข้าใจ ความหมายของสิ่งที่หญิงชราคนนั้นพูด มันเป็นกลไกอันแสนง่ายดายที่ว่างรากฐานให้แก่โลกใบนี้ “ความปรารถนา” ไม่ใช่เพียงแค่พรศักดิ์สิทธิ์ แต่มันยังรวมถึงโอกาสและโชค ผู้ที่ปรารถนาและลงมือจะได้ผลลัพของความปรารถนา

ชั่ววินาทีที่เปลวเพลิงกำลังเผาไหม้ราวกับมีบางสิ่งทำให้รู้สึกว่ามันเบาลง

“อ้าก!!!”

เสียงตะโกนนั้นดังกังวาน เธอใช้ดาบในมือสะท้อนเพลิงนั้นกลับไปหาเจ้ามังกร แรงลมที่เกิดขึ้นพัดดับไฟที่กำลังเผาป่า เมฆฝนเหนือพื้นถูกพัดกระจายไปในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ร่างของมังกรตัวใหญ่ร่วงลงสู่พื้น

เอลฟ์สาวหอบหายใจ บนร่างเปล่งแสงเรืองจางๆ

“พลังเมื่อกี้มัน?”

“เธอได้รับมาแล้วล่ะ”

“?”

ทัตสึยะเดินตรงมาพร้อมใบหน้าที่ดูต่างออกไป เขายื่นโพชั่นหนึ่งขวดในมือให้เธอด้วยท่าทีสบายๆ

“หมายความว่าไงเหรอคะ?”

“พรของเธอไง ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งเพื่อใครสักคนของเธอ มันส่งไปถึงแล้วไงล่ะ”

ขวดโพชั่นในมือถูกยื่นให้เอลฟ์สาว ก่อนที่ตัวเขาเองก็จะดื่มอีกขวดด้วยเช่นกัน

“ฉันขอยืมกำลังของเธอหน่อยได้รึเปล่า”

น้ำเสียงดูหวั่นๆ พูดออกไปเช่นนั้น สเปียร์ที่ได้ยินก็นิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นดวงตาก็ดูเป็นประกาย เธอยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะตอบรับคำขอนั้นอย่างยินดี

“ได้ค่ะ! ต่อให้จะต้องบุกน้ำลุยไฟฉันก็พร้อมจะรับคำขอของคุณค่ะ!”

“เวอร์ไปแล้ว…แต่ก็ ขอบคุณ”

ทัตสึยะพยุงสเปียร์ให้ลุกขึ้น แต่ทันทีที่ได้สัมผัสมือของอีกฝ่ายมันก็ราวกับร่างกายนั้นเบาลง ชั่ววินาทีนั้นก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่เธอไม่โดนสะกดด้วยการข่มขู่

“ดูเหมือนสถานะผิดปกติของฉันจะโดนเธอกินเข้าไปแล้ว”

“เอ๊ะ?”

“อะไรน่ะสีหน้าแบบนั้น นี่หรือว่าไม่ทันสังเกตเลยเหรอที่ตัวเองดูดกลืนพลังงานรอบๆ นี้ไปจนแทบไม่เหลือแล้ว”

“เอ๊!”

ทันทีที่ถูกบอกเช่นนั้นเธอก็แสดงสีหน้าราวกับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าต้นไม้ทุกต้นที่เธอจับหรือแม้แต่พื้นที่เหยียบจะกลายเป็นเศษซากไร้ชีวิต

“ละละ แล้วคุณมาจับมือฉันแบบนี้จะไม่เป็นอะไรเหรอคะ”

เธอดูลนลานหลังเพิ่งคิดได้ แต่ถึงจะกังวลแต่ทัตสึยะกลับไม่แสดงสีหน้ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย

“ฉันใส่ถุงมืออยู่นะ ไม่ได้จับมือเธอโดยตรงสักหน่อย ถึงจะถูกดูดพลังชีวิตไปบ้างแล้วก็เถอะ”

“สะ ใส่ถุงมือก็ยังโดนเหรอคะ!”

“นิดหน่อย แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ามือเปล่าก็เถอะ ถือซะว่าพลังชีวิตของฉันที่เสียไปเป็นคำขอโทษละกัน ถ้าคิดได้เร็วกว่านี้เธอคงไม่ต้องมาลำบาก”

ทั้งสองต่างสบตากันและกัน สเปียร์ที่แอบตามทัตสึยะมาหลายวันนั้นดูออก ในแววตานั้นไม่เหลือความหยิ่งทะนงอีกแล้ว มันดูส่องประกายและสวยงามในแบบที่ควรจะเป็น

“อ้าก——”

เสียงคำรามร้องตะโกนอย่างหมดแรง ทั้งสองจับจ้องไปยังเจ้ามังกรที่กำลังลุกขึ้นหลังตกลงพื้น มันพ่นลมหายใจสีขาวออกมาหลังร้องคำราม พร้อมสลัดเกล็ดที่แตกหักออกจากร่าง

“ยังหรอก ยังหรอก”

“!?”

อีกแล้ว ไม่ผิดแน่ เจ้ามังกรตัวนั้นพูดออกมา มันไม่ใช่แค่สัตว์ธรรมดาหรอกหรือ?

ทัตสึยะตั้งคำถามเช่นนั้นกับตัวเอง เขามองร่างที่ลุกขึ้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจสลัดความคิดไม่จำเป็นออกทั้งหมด

“ฉันจะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ส่วนเธอก็เข้าไปอาละวาดได้ตามใจชอบเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ช่วยถ่วงเวลาให้หน่อย”

สเปียร์ยิ้มอย่างมั่นใจหลังได้ยินคำพูดนั้น

“รับทราบแล้วค่ะ”

เธอยกดาบที่ปักพื้นขึ้นก่อนจะพุ่งตัวออกไปพร้อมดาบสีดำเล่มนั้น แรงที่เหยียบลงบนพื้นนั้นรุนแรงกว่าครั้งไหน ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนวัตถุจะถูกบดขยี้ลงในพริบตา มันไม่ใช่เพราะได้ดื่มโพชั่นของทัตสึยะ แต่เพราะพรที่ตัวเธอเพิ่งได้รับ มันขยายขอบเขตพลังทางร่างกายที่ตัวเธอนั้นมีอยู่แล้วให้มากขึ้นจนถึงขนาดที่ว่าทัตสึยะยังเหงื่อตกหลังเห็นเช่นนั้น

“ต่อให้จะใช้ลูกไม้คงจะเอาชนะการดวลพละกำลังกับยัยนั้นไม่ได้แล้วล่ะ”

เสียงแรงกระแทกดังขึ้นพร้อมคมดาบที่ฟาดฟัน

ทุกครั้งที่เกิดการปะทะแผ่นเกราะสีดำของมังกรก็หลุดออกทีละแผ่น ถึงพละกำลังจะมากขึ้นแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าสเปียร์ต้องช้าลง เธอเร็วยิ่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และเพราะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองทำอะไรได้ เธอจึงแอบดูดกลืนพลังเวทและพลังชีวิตจากเจ้ามังกรมาผสมกับการโจมตี

แรงกระแทกที่เกิดขึ้นทำเอาทั้งป่าสั่นสะเทือน หากยังปล่อยให้เธออัดพลังทั้งหมดสู้กับเจ้ามังกรนั้นมากไปกว่านั้นมีหวังได้เปลี่ยนภูมิประเทศไปแน่

“อ้า!!!——”

เจ้ามังกรพยายามร้องคำรามเพื่อใช้การข่มขู่ เพียงแต่ตอนนี้ทัตสึยะไม่ได้ปล่อยให้มันได้ทำอีก ศรเวทไร้สีพุ่งตัดอากาศเข้าที่ปากของมังกร หยุดการคำรามและทำให้มันชะงัก

“คิดจะใช้แต่ลูกไม้เดิมๆ เลยรึไง”

ศรเวทของทัตสึยะพุ่งไปอีกสองดอก มันพุ่งตรงเข้าที่ขาหน้าทั้งสองจนทำให้ร่างอันใหญ่โตนั้นเสียหลัก จังหวะเดียวกันสเปียร์ที่รออยู่แล้วก็เข้าจู่โจม

ฉึบ!

คลื่นดาบสีดำแกมม่วงพุ่งทะลุปีกซ้ายเข้าเจ้ามังกร ทันใดนั้นเอลฟ์สาวไม่รอช้ายกปลายดาบแทงเข้ากลางลำตัวหวังจะปิดเกมในคราวเดียว

ตึง!

เกราะสีดำถูกปิด ทันทีที่รู้ว่าตัวเองไม่สามารถหลบคมดาบของศัตรูได้เจ้ามังกรจึงเลือกขยับแผ่นเกราะบนร่างปกปิดส่วนสำคัญจนหมดสิ้น เพราะแบบนั้นการโจมตีของสเปียร์จึงถูกปัดป้อง

“หึ คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ”

แม้การโจมตีของตัวเองจะถูกขัดขวางแต่บนใบหน้าของเอลฟ์สาวกลับไม่ปรากฏความผิดหวัง เธอยกยิ้มดูมั่นใจขณะที่เจ้ามังกรเตรียมเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ในปากนั้น แต่กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว

เมื่อหันมองที่ปลายสายตา ตรงนั้นคือทัตสึยะที่ตั้งท่ายืนอย่างมั่นคง ความลังเลและหวาดกลัวในดวงตามลายหายสิ้น บาร์เกสต์ในมือที่ถูกง้างปรากฏเป็นศรที่ควรจะไร้สี

แต่เพราะอะไรกัน ครั้งนี้มันกลับส่องประกายสีม่วงอย่างสดใส

เจ้ามังกรนั้นรับรู้ถึงบางอย่างที่เข้าใกล้ มันที่คิดมาตลอดว่าตัวเองคือจุดสูงสุดกำลังเรียนรู้ถึงความหวาดกลัว

ขณะที่เปลวไฟในปากยังไม่สามารถถูกปล่อยออกมามันก็ถูกขัดขวาง สเปียร์ใช้โซ่หลากสีที่แขนขวาผูกรั้งเจ้ามังกร

“ไม่ยอมให้หนีหรอกนะ”

เธอง้างดาบพร้อมดึงโซ่หลากสีเตรียมรวบรวมพลังทั้งหมดที่สะสมมาไว้ที่แขนขวาแล้วจึงอัดมันลงไปในการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้

“ไปเลย!!!”

เธอตะโกนพร้อมกวัดแกว่งดาบอย่างเต็มแรง คลื่นสีดำแกมม่วงทรงจันทร์เสี้ยวยกร่างของสัตว์ร้ายจนลอยขึ้นไปเหนือพื้น

จังหวะนั้นเองทัตสึยะก็เข้าใจถึงเงื่อนไขบางอย่างที่ทำให้ไดอาน่าสามารถเรียนรู้เวทมนตร์ได้เร็วนัก เพราะเธอนั้นตั้งใจและมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ ทุกอย่างมันถ่ายทอดออกมาผ่านเวทมนตร์ที่เธอใช้

“โลกใบนี้ขับเคลื่อนด้วยความปรารถนาของผู้คน หากมีความปรารถนาก็จะแข็งแกร่งขึ้น เวทมนตร์เองก็เช่นนั้น ตลอดมาฉันไม่เคยมีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ เอาแต่ปฏิเสธการมีตัวตนของตัวเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่”

ทันใดนั้นบาร์เกสต์ก็ส่องแสง มันน้อมรับความตั้งใจของทัตสึยะ จากนั้นศรเวทสีม่วงที่ส่องประกายก็ลุกเป็นไฟ คันธนูถูกย้อมด้วยเพลิงสีม่วง

“ถึงแม้จะเข้าใจหลักการการทำงานของเวทมนตร์แต่มันก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกอย่าง——ที่สำคัญคือเหตุผลในการใช้มัน ถ้าไร้ซึ่งเหตุผลในการต่อสู้อานุภาพของมันก็ลดลง ตลอดมาตัวฉันไม่ได้มีแรงจูงใจที่หนักแน่น เอาแต่กวัดแกว่งดาบด้วยความคิดครึ่งๆ กลางๆ”

เพลิงที่ม่วงลุกไหม้อย่างรุนแรง ปลายสายตาของทัตสึยะอยู่ที่เจ้ามังกรที่ลอยขึ้นเหนือพื้นวินาทีนั้นทัตสึยะก็ปล่อยคันศร

ทันใดนั้นราวกับได้ยินเสียงของสัตว์ร้ายร้องคำราม บาร์เกสต์กู่ร้องราวกับจะยืนยันความคิดของทัตสึยะ ศรเวทที่ลุกไหม้พุ่งตรงขึ้นเหนือพื้นอย่างเปล่งประกาย มันเผาไหม้แม้แต่อากาศที่สัมผัสก่อนจะตรงเข้ากลางอกของสัตว์ร้ายอย่างเต็มเปา

แผ่นเกราะสีดำที่แม้แต่สเปียร์ก็แท่งไม่เข้าถูกหลอมละลายจนเนื้อด้านในสุก ได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงระเบิดและลมร้อนจะพัดปลิวไปไกล

หมู่เมฆหรือแม้แต่เกล็ดน้ำแข็งที่หลงเหลืออยู่ถูกพัดปลิวจนสภาพอากาศนั้นเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน จากที่เป็นเขตหนาว แต่เพราะการโจมตีเมื่อกี้จึงทำให้ทัตสึยะรู้สึกคิดถึงหน้าร้อนที่บ้านเกิด

สเปียร์ที่จ้องมองร่างนั้นระเบิดกลางอากาศทำได้เพียงเงียบนิ่งต่อสิ่งที่ได้เห็น

สิ่งที่เธอได้เห็นนั้นมันยิ่งย้ำเตือนถึงความสุดยอดของชายตรงหน้า

“สุดยอดจริงๆ นั่นแหละค่ะ”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset