“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ”
สเปียร์กล่าวขอบคุณชายชราก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกมาเธอมองซ้ายขวาก่อนจะพบทัตสึยะที่กำลังก้มมองอะไรบางอย่างอยู่
“กำลังดูอะไรอยู่เหรอคะ?”
เอลฟ์สาวกล่าวถามด้วยความสงสัย
“รอยเท้าน่ะ”
“รอยเท้า?”
เธอเอียงสงสัยก่อนจะชำเลืองมองไปยังร่องรอยที่อยู่บนพื้น
“ได้ข้อมูลมาเยอะรึเปล่า”
ทัตสึยะลุกขึ้นก่อนจะถามกลับเช่นนั้น
“ค่ะ ถึงที่บอกว่าเป็นอาร์คกริฟฟอนจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ระดับกลางอย่างอ๊อคหรือลิซาร์ดแมนที่ชอบย้ายถิ่น”
“ลิซาร์ดแมนนี่ตัดทิ้งไปเลยเพราะพวกมันเป็นสัตว์เลือดเย็น อยู่ในเขตหนาวแบบนี้ไม่ได้หรอก”
“จริงๆ แล้วฉันเองก็แอบสงสัยพวกลิชลอร์ดเหมือนกันนะคะ เห็นว่าถ้าปล่อยมันไว้นานๆ มันจะสะสมความแค้นแล้วว่ากันว่ามันสามารถทำลายเมืองได้ทั้งเมืองเลย”
“อัลเดดเหรอ? นั้นสินะ ถ้าเป็นผู้บงการความตายก็คงตอบได้ล่ะนะว่าทำไมในป่าถึงไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิต”
“คุณทัตสึยะตรวจสอบมาแล้วเหรอคะ?”
“เปล่า แค่มองด้วยตาเปล่าน่ะ บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับวันที่ฉันไปตรวจสอบเขตพักอาศัยนอกประตูเมืองฝั่งตะวันตกก็ได้”
ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อสงสัยขณะที่เริ่มเดินเข้าไปในเขตป่า และมันก็เป็นอย่างที่ทัตสึยะพูดเอาไว้ “ไม่มีสิ่งมีชีวิต”
พอยิ่งเข้าใกล้ทัตสึยะยิ่งรู้สึกถึงลางร้าย บรรยากาศในป่ามันคล้ายกับตอนที่เจ้านั่นปรากฏตัว
“ถึงจะเป็นข้อมูลปากเปล่า แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมังกร ยังไงก็ระวังตัวด้วย”
“มังกร…”
พอได้ยินชื่อของสัตว์ที่น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วจากปากของทัตสึยะ สเปียร์ก็เงียบนิ่ง
“ไม่ต้องรีบปักใจเชื่อก็ได้ แต่ถ้าเป็นมังกรขึ้นมาจริงๆ ฉันคงต้องขอให้ยกเลิกภารกิจล่ะนะ”
คำพูดของทัตสึยะทำให้สเปียร์เริ่มระวังตัวมากขึ้น
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดคำถามหลังทัตสึยะพูดคำว่ามังกร เพราะรายงานการพบเห็นมังกรในโลกใบนี้มันมีครั้งสุดท้ายเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อน ว่ากันตามบันทึกการเดินทางของผู้กล้าที่เขียนขึ้นหลังสงครามใหญ่จบลง มันได้เขียนเอาไว้ว่าท่านผู้กล้าเมื่อสองร้อยปีก่อนได้กวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่ามังกรจนหมดสิ้น ส่วนสาเหตุนั้นยังคงคลุมเคลือ
ทัตสึยะเองก็สงสัยว่าทำไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย การกำจัดนักล่าสูงสุดบนห่วงโซ่อาหารมันจะไม่ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศงั้นหรือ เว้นซะแต่ว่าพวกมันไม่ได้อยู่ในระบบนิเวณเสียแต่แรก
ในป่ารกทึบนั้นประกอบไปด้วยต้นไม้ที่คล้ายกับต้นโอ๊กเป็นส่วนมาก จะบอกว่ามันคือป่าโอ๊กก็คงไม่ผิด เพียงแต่ที่แตกต่างคือขนาด ลำต้นมันหนาและสูงกว่าที่โลกเดิมของทัตสึยะอยู่มาก
“ถึงฉันจะตกใจกับเรื่องมังกรที่คุณพูดก็จริง แต่ปกติแล้วในป่ามันก็น่าจะเหลือสัตว์อื่นๆ อยู่บ้าง แต่นี่เงียบกริบจนน่าขนลุกเลย”
สเปียร์กล่าวออกมาหลังได้เห็นสภาพป่าที่เงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมลงเสียด้วยซ้ำ
“ทางฉันเองก็ตกใจเหมือนกันนั้นแหละ”
ถึงต้นไม้ในป่าจะดูปกติ แต่บรรยากาศเงียบสงัดกลับชวนให้ขนลุกอย่างไม่น่าเชื่อ
“ฉันก็ลองใช้พรของตัวเองตรวจสอบดูในป่าดูคร่าวๆ แล้ว นอกจากมวลพลังเวทที่อยู่ที่นี่จะหนาแน่นกว่าข้างนอกก็มีเรื่องของสิ่งมีชีวิตนี่แหละที่แปลก”
ทัตสึยะหยุดมองลมหายใจที่เปลี่ยนเป็นสีขาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ถูกต้นไม้บดบัง
เขาใช้ดวงตาสีแดงจ้องทะลุใบไม้ที่กีดขวางก่อนจะพบว่าเหนือป่าที่พวกเขาอยู่นั้นมีเมฆดำที่เริ่มก่อตัว
ทันใดนั้น
“หยดน้ำ?”
เอลฟ์สาวหลุดปากออกมาเช่นนั้นหลังมีบางอย่างหยดลงบนชุดเกราะของเธอ
คงเพราะอากาศที่อุ่นขึ้นทำให้จากที่หิมะตก กลายเป็นฝนแทน
“แย่ล่ะสิ พวกเราไม่ได้เตรียมของเอาไว้สำหรับฝนตก รีบไปหาที่หลบก่อนที่ตัวจะเปียกดีกว่า”
ทัตสึยะแอบตำหนิความผิดพลาดเล็กๆ ของตนเอง เพราะดันวางใจหลังเห็นหิมะตกมาหลายวันจึงไม่ทันฉุดคิดเรื่องอากาศที่อุ่นขึ้น
จากนั้นไม่นานฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา ทั้งสองโชคดีที่แถวนั้นมีโพรงต้นไม้ต้นใหญ่ที่กว้างพอจะให้ทั้งสองใช้เป็นที่หลบฝนได้
“ทำไมจู่ๆ ถึงตกกันล่ะ ทั้งที่ก่อนเข้ามายังไม่มีเมฆฝนแท้ ๆ”
“นั่นสิ กระทันหันจังนะ”
ทัตสึยะกล่าวเสริมอย่างเห็นพ้องหลังเงยหน้ามองเมฆฝนที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน
หลังยืนมองเม็ดฝนที่ตกโดยไม่มีท่าทีจะหยุด ทัตสึยะก็สังเกตเห็นสเปียร์ที่กำลังเกร็งเพราะคำพูดของเขา
“ไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ ยังไม่แน่สักหน่อยว่าเป็นมังกร”
“นะ นั่นสินะคะ”
เธอผ่อนไหล่ลงเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังพิงกับโพรงต้นไม้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มผ่อนคลาย ทัตสึยะก็นึกถึงเรื่องที่อยากลองถามเธอขึ้นมาได้
“ฉันมีเรื่องอยากถามเธออยู่น่ะ แต่ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร”
พอได้ยินเด็กหนุ่มเป็นคนเปิดปาดพูดก่อน เอลฟ์สาวก็ถึงกับประหลาดใจ เธอเอียงคอสงสัยก่อนจะพยักหน้ารับคำพูดนั้น
“ได้สิคะ”
“เรื่องที่อยากแต่งงานของเธอน่ะ”
“เอ๊ะ!? ทะ ทำไมถึงถามเรื่องนั้นล่ะคะ”
“ก็เอลฟ์เป็นเผ่าพันธุ์ทีอายุขัยยืนยาวนี่นา แล้วเท่าที่ดูเธอเองก็ถือว่าอายุยังน้อยถ้าเทียบเอลฟ์ด้วยกัน แล้วทำไมถึงอยากรีบหาคู่แต่งงานล่ะ”
“จริงๆ แล้วฉันไม่ใช่เอลฟ์สายเลือดบริสุทธิ์หรอกคะ”
“เป็นลูกผสมงั้นเหรอ”
“ถึงจะไม่ค่อนแน่ใจ แต่เห็นว่าคุณพ่อเป็นมนุษย์ค่ะ”
“ไม่แน่ใจ หมายความว่าไงน่ะ ไม่ใช่ว่าเธอสนิทกับเขาเหรอ?”
“ก็ฉันไม่เคยถามนี่นา อีกอย่างท่านพ่อน่ะอายุเกินสองร้อยปีแล้ว แล้วท่านก็เพิ่งเสียไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง”
“สุดยอดเลยแหะ ใช้เวทเพิ่มอายุงั้นเหรอ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านพ่อกับท่านแม่น่ะอยู่รวมชีวิตกันเกินร้อยปี แต่ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันทั้งๆ อยู่ด้วยกันตั้งนาน แต่ก็เพิ่งให้กำเนิดฉันหลังผ่านไปแล้วตั้งร้อยปี”
“เป็นเพราะความต่างของเผ่าพันธุ์หรือเปล่า มันอาจะทำให้มีบุตรยาก”
“เดิมทีเอลฟ์ก็ขึ้นชื่อเรื่องการมีบุตรน้อยอยู่แล้วคะ สักห้าสิบปีถึงจะมีเอลฟ์รุ่นใหม่ถือกำเนิด”
แม้จะเป็นข้อมูลที่รู้อยู่แล้ว แต่พอได้ยินจากปากเจ้าตัวแบบนี้ก็ยิ่งทำให้มันดูน่าเหลือเชื่อขึ้นไปอีก
“ตัวฉันที่เป็นแค่ลูกครึ่งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีอายุขัยยืนยาวแบบคนอื่นหรือเปล่า แม้ร่างกายจะไม่ต่างจากยี่สิบปีที่แล้ว แต่ก็สัมผัสได้ว่าทุกครั้งที่ครบหนึ่งปีร่างกายมันเปลี่ยนไป”
เอลฟ์สาวผู้ออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ มันช่างเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเสียเกิบบรรยาย แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะไม่เปลี่ยน แต่อายุขัยก็ยังคงเพิ่มขึ้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวเองจะหมดสิ้นอายุขัยในช่วงวัยไหน
“เพราะแบบนั้นตอนที่พ่ายแพ้เป็นครั้งแรกถึงได้ฉุกคิด ว่าอาจจะถึงเวลาแล้วรึเปล่าที่จะตามหาคู่ครอง”
พอได้ฟังมันก็ยิงย้ำเตือนถึงเหตุผล พอได้ฟังแบบนั้นทัตสึยะกล่าวขอโทษสเปียร์อยู่ในใจเงียบๆ
“แล้วคุณทัตสึยะล่ะคะ สำหรับเผ่ามนุษย์ที่มีอายุขัยไม่มาก คุณคิดจะหาคู่ครองตอนอายุเท่าไหร่เหรอคะ?”
พอถูกจี้ถามเช่นนั้นทัตสึยะทำได้เพียงฝืนยิ้ม
“แฮะๆ จริงๆ แล้วฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นเลย”
เขาหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะพูดตอบออกไปเช่นนั้น
เอลฟ์สาวเบิกตาโพลงหลังได้ยินคำตอบ เธอดูจะตกใจกับคำพูดนั้นเสียจนส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
“อะไรกัน ทั้งๆ ที่ฉันอุส่าห์คิดว่าคุณจะวางแผนอนาคตเอาไว้แล้วถึงได้ปฏิเสธฉันแท้ๆ”
“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่ใช่คนแบบที่เธอคิดหรอก”
“แบบนี้เองสินะคะ”
“หื้ม?”
“ฉันเริ่มเข้าใจที่คุณบอกมากขึ้นแล้วคะ”
“เธอหมายถึง?”
“การทำความรู้จักไงคะ ตอนนี้ฉันรู้เรื่องของคุณเพิ่มแล้ว และคุณก็รู้เรื่องของฉันเพิ่มเช่นกันไงคะ”
สเปียร์พูดออกมาอย่างร่าเริง
เธอยิ้มอย่างไร้เดียงสา ทว่าดูเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ พอมาลองนึกๆ ดู หญิงสาวตรงหน้าก็ช่างแตกต่างจากเอลฟ์หน้านิ่งที่เขาเจอก่อนหน้านี้มาก ถึงแม้เขาจะเป็นคนพูดเองแต่แรก แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังทั้งสองได้รู้จักถึงตัวตนของกันและกันมากขึ้นก็ชวนให้ประหลาดใจเหมือนกัน
“นั่นสินะ…”
พออยู่ต่อหน้ารอยยิ้มนั้น ทัตสึยะทำได้เพียงคลี่ยิ้มบางอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนนั้นที่เธอพูดคำสอนจะคุณพ่อ ฉันเองก็แอบนึกถึงสิ่งครอบครัวฉันพูดบ่อยๆ เหมือนกัน”
ทัตสึยะที่ได้เห็นเอลฟ์สาวยิ้มร่าอย่างมีความสุข เขาก็หลุดพูดถึงเรื่องของโลกก่อนออกไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“คุณทัตสึยะก็มีคำสอนอะไรประมาณนั้นเหรอคะ?”
“เป็นคำพูดของคุณแม่น่ะ เมื่อก่อนก็แค่ฟังผ่านหู แต่พอได้ยินเธอพูดถึงคุณพ่อแล้วก็เลยคิดได้น่ะ”
“เป็นคำสอนแบบไหนเหรอคะ?”
เธอยื่นหน้าเข้าใกล้อย่างสนใจ มองเห็นใบหูยาวๆ นั้นขยับขึ้นลงเล็กๆ ด้วย
“ถ้าเชื่อว่าทำได้ สักวันมันก็จะทำได้จริง แต่ถ้าหนี สักวันมันก็จะถึงทางตัน อะไรทำนองนั้นมั้ง ฉันเองก็จำไม่ค่อยได้แล้วสิ”
“เป็นคำที่ฟังแล้วดูมีพลังขึ้นมาเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ…”
หลังพูดออกไปแบบนั้น ก็ราวกับมองเห็นใบหน้าที่ดูโศกเศร้ามาจากทัตสึยะ แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยพูด แต่การที่กลายเป็นคนแปลกหน้าของทั้งโลกก็คงจะทำให้เขาต้องเก็บความรู้สึกมากมายเอาไว้เพียงคนเดียว
“พอได้ฟังเธอพูดแบบนั้น ฉันเองก็คงต้องเริ่มคิดแล้วรึเปล่านะ เรื่องของอนาคตน่ะ”
“เอ๊~แล้วจะมีฉันอยู่ในตัวเลือกหรือเปล่าคะ?”
“เรื่องนั้นถึงจะรีบคิดก็ยังตอบไม่ได้ทันทีหรอกนะ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ทั้งสองสามารถเปิดอกพูดคุยกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ทัตสึยะที่แทบจะไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดกับคนของโลกฝั่งนี้กลับสามารถพูดคุยกับเธอได้อย่างอิสระ แม้จะมีบางเรื่องที่พูดออกไปไม่ได้ แต่ก็นับว่าเป็นเพียงไม่กี่คนที่พาเขาออกมาจากกรอบที่ตัวเองตั้งไว้ได้โดยไม่รู้ตัว
…
เมื่อเสียงของเม็ดฝนเริ่มจางลง กลิ่นแปลกๆ ก็ลอยมากับความชื้น บรรยากาศรอบข้างเริ่มสั่นไหว มองเห็นละอองแสงพลังเวทในอากาศหนาขึ้นเรื่อย ทัตสึยะที่มีท่าทีสบายๆ กลับมาอยู่ในโหมดเตรียมตัวอีกครั้ง
เมื่อเริ่มฉุกคิดเขาก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาสีแดงจ้องมองไปยังอีกด้านของป่าโอ๊ก
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
เมื่อลองมองเข้าไปในป่าให้ลึกขึ้นก็พบว่ายิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไรต้นไม้มันก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ไม่ใช่แค่ระดับความสูงปกติ มันสูงขึ้นต่างจากป่ารอบนอกจนเกินไปจนน่าสงสัย นั่นทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เคยพูดเล่นกับไดอาน่าไว้เรื่องผลของพลังเวท
“ฉันได้ยินเสียง”
“เสียงเหรอคะ? แต่ฉันไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
ทัตสึยะขมวดคิ้วแน่นพลางกวาดสายตามองไปทั่วป่า เขาตั้งสมาธิก่อนมองซ้ำอีกครั้งด้วยเนตรแห่งความจริงก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า
ทว่า เรื่องนั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันคำตอบของเขาได้ดีที่สุด
“ดูจากมวลพลังเวทที่ไหลอยู่ในป่ารวมกับความรู้สึกนี้ คิดว่าคงเป็นมังกรไม่ผิดแน่”
“พวกเราโดนจับได้แล้วเหรอคะ”
ได้ยินเสียงสูดลมหายใจของหญิงสาวตรงหน้าหลายต่อครั้ง
“เดาจากที่ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตในป่าแบบนั้น เจ้านั้นมันคงจมูกไวน่าดู ทันทีที่พวกเราเข้ามามันอาจจำกลิ่นของพวกเราได้แล้ว อย่างแย่ที่สุดคือพวกเรากลับไปที่กิลด์แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ ระหว่างนั้นเจ้ามังกรนั่นก็อาจจะตามกลิ่นพวกเราไป”
ทัตสึยะอธิบายไปเช่นนั้นขณะสูดลมหายใจเข้าเพื่อปรับอารมณ์
จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อรู้ตัวเจ้าของบ้านเริ่มเข้าใกล้ทั้งทัตสึยะและสเปียร์ต่างก็จับดาบประจำตัว
เสียงของต้นไม้ที่ขยับเป็นสัญญาณถึงบางสิ่งที่เข้าใกล้
ทั้งสองสบตากันก่อนจะกระโจนออกจากโพรงต้นไม้
ตูม!!
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงแรงกระแทกดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ต้นไม้ที่ถูกใช้หลบฝนถูกตบกระเด็นจนเหลือเพียงเศษซาก
เมื่อหันมามองหลังไอฝนจางลง ร่างของสัตว์ประหลาดจึงปรากฏ
รูปลักษณ์คล้ายกับตัวก่อน เดินสี่ขาลำคอยาวมีปีกคู่ใหญ่ แต่ที่ต่างคือสีของเกล็ด——ไม่สิ สิ่งนั้นมันไม่ควรจะเรียกว่าเกล็ดเสียด้วยซ้ำ มันคล้ายกับแผ่นเกราะสีดำที่ซ้อนกันหลายชั้น และที่ต่างมากที่สุดคงเป็นขนาดที่ใหญ่กว่าตัวก่อนถึงสามเท่า
แม้จะไม่มีข้อมูลที่มากพอ แต่ก็อนุมานได้ว่ามันคือมังกร