ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่13 กฎการใช้เวทมนตร์ตอนตีสอง

ตอนที่13 กฎการใช้เวทมนตร์ตอนตีสอง

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จทัตสึยะก็เดินเอาจานไปเก็บที่ใต้ท้องเรือ

เมื่อเดินกลับขึ้นมาเขาก็เห็นไดอาน่าที่นั่งมองหมู่ดาวด้วยดวงตาเหม่อลอย

“เกิดชอบดวงดาวขึ้นมารึไง”

ทัตสึยะเดินเข้าไปก่อนจะนั่งลงที่ข้างๆ กับไดอาน่า

“ก็แค่สงสัยน่ะ ว่าตอนนี้พวกที่อยู่บ้านเด็กกำพร้ากำลังมองท้องฟ้าฝืนนี้อยู่รึเปล่า”

ยามที่หิมะยังโปรยปราย มองเห็นลมหายใจสีขาวจางๆ ของเธอที่พ่นออกมาทุกครั้งที่พูด ทัตสึยะมองดูหิมะที่ส่องประกายราวกับแสงดาวบนฟากฟ้าก่อนจะกระทบแก้มและละลายในทันทีที่สัมผัส

ภาพที่เห็นทำเอานึกถึงคืนวันหวานปนขมที่พัดผ่าน ไดอาน่าที่จ้องมองดวงดาวบนฟากฟ้าอย่างตั้งใจซ้อนทับกับภาพของเด็กสาวผมสีตาลในความทรงจำ

“มีอะไร คิดจะจ้องหน้าฉันไปจนถึงเมื่อไหร่”

เด็กหนุ่มถูกตบเรียกสติด้วยคำพูดและสายตาเป็นกังวลจากไดอาน่า

“อย่าบอกนะว่านายเป็นภัยสังคมจริงๆ น่ะ”

ไดอาน่าขยับถอยหนีหลังพูดเช่นนั้นโดยไม่รอคำพูดแก้ตัวใดๆ จากทัตสึยะ

“เฮ้อ~แค่กำลังคิดว่าทำไมเธอที่มีพลังเวทตั้งเยอะแต่ทำไมถึงไม่เคยใช้เวทมนตร์เลยน่ะสิ”

เขาบอกปัดเช่นนั้นก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าในทันที สายตาที่ราวกับมองทะลุจ้องผ่านเด็กสาวตรงหน้าโดยปกปิดความรู้สึกเมื่อครู่โดยสมบูรณ์

“เอ๊ะ?! อะ เออ~ก็แบบว่า…มันไม่ค่อยสะดวกตอนถูกเข้าประชิดก็เลยไม่เคยเรียน…”

“ก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ พอมองดูตัวเธอที่เล่นเอาหินเวทมาปาเล่นแล้วฉันนี่แทบจะเป็นลมล้มลงกับพื้นเลย”

“ก็จะให้ทำไงได้เล่า! ทุกครั้งพอเริ่มตั้งสมาธิแล้วส่งพลังเวทลงไปในไม้คทาที่เพิ่งซื้อมา ไม่รู้เพราะอะไรจู่ๆ มันก็ระเบิดเฉยเลย”

“เพราะเธอพลังเวทเยอะเกินไปไงเล่า เท่าที่มองระดับพลังเวทของเธอมันก็อยู่ราวๆ นักเวทของอาณาจักรเลยมั้ง”

“ยะ เยอะขนาดนั้นเชียว!”

“อา แถมยังปล่อยทิ้งเรี่ยราดอีกต่างหาก”

“ปะ ปล่อยทิ้งเรี่ยราด! ยะ อย่าใช้คำพูดที่มันชวนให้เข้าใจผิดแบบนั้นสิยะ”

“ก็มันจริงนี่นา ไม่เคยสังเกตเลยรึไงว่าตอนเดินบนพื้นมีต้นหญ้างอกตามรอยเท้ารึเปล่า”

“ห้ะ? อะไรล่ะนั้น พูดเปรียบเทียบอยู่เหรอ?”

“เปล่า ช่างเถอะ… เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังแล้วกัน”

ทัตสึยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอามือเกาแล้วจึงเริ่มพูดต่อ

“สิ่งมีชีวิตน่ะมีพลังเวทอยู่ใช่ไหมล่ะ และพลังเวทก็เป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต ทั้งพลังชีวิตและพลังเวทต่างก็เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ทั้งพลังชีวิตและพลังเวทต่างก็หมุนเวียนกันในร่างของสิ่งมีชีวิต หากดึงพลังเวทในร่างออกมาก็จะรู้สึกเหนื่อย หากดึงพลังชีวิตก็จะหน้ามืด แต่ทั้งสองก็ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ตลอด เพราะงั้นถ้าระหว่างวันไม่มีการระบายออกมันก็จนล้นออกมาเอง แบบของเธอไง”

ทัตสึยะยกนิ้วชี้ไปยังพื้นไม้บนด้านฟ้าเรือที่ไดอาน่านั่งอยู่ เธอเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงยกมือข้างขวาที่ถูกทัตสึยะชี้ขึ้น ก่อนจะพบบางสิ่งที่อยู่ด้านใต้

ต้นอ่อนสีเขียวงอกออกมาจากแผ่นไม้ที่เธอจับอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ เด็กสาวรู้สึกตะลึงในสิ่งที่เห็น เธอแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเองเลยเสียด้วยซ้ำ

“ตะ ตั้งแต่เมื่อไหร่?!”

“ก็เธอนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่กินข้าวแล้วนี่นา แถมวันนี้เองก็ไม่ได้ใช้พลังเวทเลยใช่ไหมล่ะ”

“บะ แบบนี้สักวันฉันจะตายไหม!? แบบว่านอนอยู่กลางดึกแล้วมีต้นไม้งอกทะลุตัวอะไรงี้”

“จะบ้ารึไง ถ้าจะทำต้นไม้โตขนาดนั้นคงต้องเป็นพลังเวทระดับมังกรแล้วมั่ง”

“แล้วปกติคนที่มีพลังเวทเยอะเขาต้องทำยังไงกันล่ะ แบบว่าต้องเข้าห้องน้ำก่อนนอนอะไรงั้นไหม?”

“พูดซะเห็นภาพเลยนะเธอ แต่ก็ตามนั้นแหละ ส่วนใหญ่คนเขาไม่มานั่งกังวลเรื่องต้นไม้งอกหรอกนะ แต่ก็ต้องระวังมอนสเตอร์ระดับสูงที่ไวต่อพลังเวทไว้ด้วย แบบพวกซอบบี้ไม่ก็ผีดูดเลือด”

“นี่อย่ามาพูดอะไรที่ชวนขนลุกตอนกลางคืนแบบนี้จะได้ไหม แล้วก็หยุดยิ้มด้วยมันน่าขนลุกแปลกๆ”

เป็นอย่างที่ไดอาน่าพูด ทัตสึยะยกยิ้มดูสนุกเมื่อได้พูดแหย่เรื่องน่ากลัวตอนกลางคืน

“แล้วถ้าเกิดว่า…”

ไดอาน่ากระซิบเสียงแผ่ว

“ถ้าเกิดว่า?”

“ถะ ถ้าเกิดว่าฉันอยากใช้เวทมนตร์ต้องทำยังไงบ้าง!”

“แล้วจะตะโกนเพื่อ”

“นี่นายคิดจะปั่นประสาทกันรึไงยะ”

“เอาน่า อย่าเสียงดังสิ พวกเราลอยเท้งอยู่กลางแม่น้ำนะ อยากโดนมอนสเตอร์กระโดดขึ้นเรือมารึไง”

ไดอาน่านั่งลงอย่างไม่พอใจ เธอหันหน้าหนีราวกับจะประชดการกระทำของทัตสึยะ

“ขอยืมหินเวทของเธอหน่อยสิ”

แม้จะไม่พอใจแต่เธอก็หยิบหินเวทในกระเป๋าให้ทัตสึยะโดยไม่หันมอง

“โดยทั่วไปผู้ใช้เวทมนตร์ที่ถือคทาจะใช้เวทได้แรงกว่าและก็นานกว่าใช่ไหมล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเขาร่ายเวทแบบมือเปล่าไม่ได้ แต่เพราะว่าทำแบบนั้นแล้วมันได้คุณภาพสูงกว่า เวทมนตร์น่ะใครๆ ก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละถ้ายังเหลือพลังเวทในตัว แต่พวกนักเวทจะใช้พลังเวทเหล่านั้นผ่านคทาที่เป็นสื่อกลางเพื่อขยายขอบเขตพลังของเวทมนตร์บทนั้นๆ”

“นายจะบอกว่าคนที่ถือคทาจะได้เปรียบเพราะเวทมนตร์จะรุนแรงกว่าเหรอ?”

“ก็ไม่เสมอไป หลักการทำงานของคทาเวทมนตร์คือการทำหน้าที่เหมือนตาข่ายที่ค่อยดักจับพลังเวทตามธรรมชาติที่ลอยอยู่บนอากาศ จากนั้นก็ใช้พลังของตัวเองเป็นตัวกระตุ้นเพื่อบรรจุเชื้อเพลิงที่ว่ามาเก็บเอาไว้ในคทา”

มือที่ถือหินเวทปรากฏเปลวไฟลุกขึ้นมา มันส่องสว่างในความมืดราวกับแสงเทียน ทัตสึยะยกยิ้มเบาๆ ก่อนจะใช้มืออีกข้างขยับข้อมือราวกับคว้าจับบางสิ่ง

“เว้นซะว่าเธอจะมีดวงตาที่พิเศษสามารถมองเห็นพวกมันที่ลอยอย่างกระจัดกระจายอยู่ในอากาศได้”

แล้วจากนั้นจึงดีดนิ้วมือข้างนั้นหนึ่งครั้ง สิ้นเสียงดีดนิ้วเปลวไฟสีส้มแดงก็ส่องสว่างขึ้นเป็นดวงที่สอง ทัตสึยะดับไฟทั้งสองดวงก่อนจะหันไปอธิบายสิ่งที่เขาทำให้ไดอาน่าได้รับรู้

“บางคนก็เกิดมาพร้อมพรสวรรค์บางอย่างที่สามารถมองเห็นอณูพลังเวทที่ลอยอยู่ทั่วไปได้ หากร่ายเวทในจุดที่มีพลังงานหนาแน่นอนุภาคของเวทมนตร์ก็จะไม่ต่างจากการร่ายผ่านคทา”

“แบบนั้นน่ะจะมีสักกี่คนเชียวที่ทำได้”

“มีนักเวทหลวงที่ทำงานอยู่ในพระราชวังมิเนเรียทำได้นะ เห็นว่าคลุกคลีอยู่กับการวิจัยเวทมนตร์มาเกือบห้าสิบปีเลยแน่ะกว่าจะทำได้”

“ฉันไม่ได้อยากจะเป็นตาแก่ที่วันๆ เอาแต่ใช้ชีวิตอยู่ในห้องมืดๆ หรอกนะ”

“แล้วเธอล่ะ ได้คิดไว้รึเปล่าว่าอยากจะใช้เวทมนตร์แบบไหน”

“ก็พวกเวทที่ทำให้ตัวสูงขึ้นไม่ก็ฉลาดขึ้น”

“มันจะไปมีได้ไงเล่าของแบบนั้น ถ้าอยากฉลาดก็ไปอ่านหนังสือซะสิ”

“ตกลงนายจะสอนหรือจะแซะกันแน่! แล้วเมื่อไหร่ถึงจะเริ่มเข้าเรื่องสักที ที่พูดมามันไม่เห็นจะเกี่ยวกับที่ฉันทำคทาระเบิดเลยนี่”

“เกี่ยวสิ เพราะพลังเวทที่เธอมีมันเยอะเกินไป เพราะงั้นฉันเลยต้องอธิบายการทำงานของคทาเวทมนตร์ก่อนไง”

“นายจะบอกให้ฉันเปลี่ยนไปใช้คทาที่มีหินเวทก่อนใหญ่แล้วก็มีสีสวยๆ ถูกไหม”

“ก็ถ้าจะให้พูดแบบหยาบๆ ล่ะก็ ใช่”

“แบบนั้นก็ฝันไปเถอะ ที่ฉันสร้างได้ตอนนี้มีแต่พวกหินแร่กับหินเวทเกรดต่ำๆ ที่พวกนักเวทมือใหม่เขาใช้กันนั่นแหละ”

“มีอีกวิธีคือร่ายโดยไม่ผ่านไม้คทา แต่แบบนั้นมันก็ไม่ต่างจากพวกนักสู้ที่พ่นพลังเวทออกมามั่วจนหมดแรง แต่เธอคงไม่เป็นไรหรอกมั่ง ลองยืนมือมานี่สิ”

ทัตสึยะกล่าวเช่นนั้นด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย ไดอาน่าที่ได้ยินดังนั้นถึงกับดวงตาเบิกโพลง เธอมองกลับไปกลับมาระหว่างใบหน้าที่ดูไม่คิดอะไรกับมือข้างนั้นที่ยื่นมาหาเธอ พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีเขินอายอะไร เธอจึงค่อยๆ ยืนมือขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดให้ทัตสึยะ

“จริงๆ ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่แน่นอนก็ควรจะถอดถุงมือ แต่ก็ช่างเถอะ”

ทัตสึยะใช้นิ้วโป้งกดลงไปที่ฝ่ามือของไดอาน่า เด็กสาวที่ถูกสัมผัสเช่นนั้นก็เกร็งแขนจนมือสั่นโดยไม่รู้ตัว

“อย่าเกร็งสิ”

“ก็มัน…”

“ผ่อนคล้าย ตั้งสมาธิ พยายามสัมผัสถึงพลังเวทในตัว แล้วก็รวมมันเอาไว้ที่ฝ่ามือ เดี๋ยวฉันจะเป็นดวงไฟนำทางให้”

ทัตสึยะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งดูไม่คิดอะไร ไดอาน่าที่ลังเลจับจ้องไปยังดวงตาสีแดงคู่นั้นที่ดูตั้งใจ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกและหลับตาลงช้าๆ

เมื่อทำเช่นนั้นจึงรู้ว่าที่ฝ่ามือมีสัมผัสอบอุ่นจางๆ ที่ไหล่ผ่าน ทันทีที่สัมผัสได้เช่นนั้นเธอก็เข้าใจถึงสิ่งที่ทัตสึยะพูดในทันที

“ดวงไฟนำทาง…”

ขณะที่หลับตาสัมผัสบางอย่างก็เริ่มชัดเจน มันไหลผ่านร่างของเธออย่างอบอุ่น ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ราวกับถูกคลื่นน้ำมวลมหาศาลพัดร่างจนแทบล้มลง

“นั้นคือพลังเวทของเธอ ควบคุมมันไว้ อย่าให้ไหลผ่านไปเฉยๆ”

ไดอาน่ากลืนน้ำลายก่อนจะควบคุมจังหวะลมหายใจอีกครั้ง เธอตั้งสมาธิอีกครั้งก่อนจะทำตามที่ทัตสึยะบอก รวบรวมมันเข้าด้วยกัน กำหนดการไหล และนำทางมันไปยังจุดสว่างที่ทัตสึยะนำทาง

ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแสงอันอบอุ่นที่ส่องกระทบเปลือกตา เด็กสาวที่รับรู้ถึงบางสิ่งด้านหลังความมืดมิด เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะพบว่าเบื้องหน้าของเธอนั้นคือก้อนหินสีฟ้าทึบที่ส่องแสงเรืองประกาย

เธอจ้องมองก้อนหินที่ลอยอยู่เหนือมือพลันสลับกับใบหน้าของทัตสึยะที่ยิ้มอยู่จางๆ

“นะ นี่คือเวทมนตร์ของฉันเหรอ?”

“ยินดีด้วย เวทมนตร์ธาตุของเธอคือดินกับแสง”

เด็กสาวยกยิ้มอย่างยินดีหลังได้เห็นก่อนหินขนาดเท่ากำปั้นลอยอยู่เหนือมือซ้าย

“ดูเหมือนพรของเธอจะเข้ากันดีกับเวทมนตร์ธาตุเลยนะ ทีนี้ฉันจะสอนขั้นตอนต่อไป แต่อย่าเพิ่งลืมความรู้สึกเมื่อกี้ล่ะ”

“เดี๋ยวสิ ขะ แค่พยายามคุมให้มันลอยอยู่ก็ยากแล้วนะ จะให้ไปต่อทั้งอย่างนี้เลยเหรอ”

“แน่นอนสิ ถ้าขืนปล่อยไปก็ต้องมานั่งรวบรวมพลังเวทกันใหม่ แบบนั้นเธอก็คงไม่ชอบใช่ไหมล่ะ”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นเธอก็สะดุ้งโหยง พลางนึกถึงสัมผัสอันแผ่วเบาบนฝ่ามือก่อนหน้านี้

“กะ ก็ไม่ได้เกลียดสักหน่อย…”

ไดอาน่ากระซิบกล่าวเช่นนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันหลังหลบหน้าทัตสึยะ

“อะไรน่ะ จะหันไปทางนั้นทำไมล่ะ ถ้าไม่ดูวิธีการเดี๋ยวก็ลำบากหรอก”

“ชะ ช่างฉันเถอะนา”

“เฮ้อ~”

ทัตสึยะถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อโดยไม่ใส่ใจในการกระทำของไดอาน่า

“กำหนดเป้าที่ต้องการ จับจ้องสิ่งนั้นโดยไม่ละสายตา กำหนดความเร็วระยะทางแล้วก็ เอ่อ~พูดแบบนั้นคงไม่เข้าใจสินะ งั้นลองพูดคำร่ายดูละกัน”

“เอ๊ะ? ก็มีก้อนหินออกมาแล้วไม่ใช่เหรอ? ยังต้องร่ายอีกงั้นเหรอ”

“เอาไว้ฉันจะอธิบายทีหลังแล้วกัน ตอนนี้พูดคำร่ายตามฉันไปก่อนแล้วกัน เอ่อ… คำร่ายของเวทธาตุดินงั้นเหรอ เท่าที่เคยได้ยินคงจะเป็น [ด้วยต้นกำเนิดจากผืนดิน มอบพลังให้แก่ผู้ศรัทธา ทะลวงผ่านศัตรูเบื้องหน้าข้าด้วยพลังทำลายที่ท่านมอบให้] ”

แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่พอได้ฟังเช่นนั้นเธอก็ไม่ขัดข้อง ไดอาน่ารวบรวมสมาธิไว้ที่ก้อนหินเหนือฝ่ามือก่อนจะผายมือขึ้นไปเบื้องหน้า เล็งไปที่ต้นไม้ที่อยู่ริมฝั่งจากนั้นจึงพูดตามที่ทัตสึยะบอกอย่างตั้งใจ

“ด้วยต้นกำเนิดจากผืนดิน มอบพลังให้แก่ผู้ศรัทธา ทะลวงผ่านศัตรูเบื้องหน้าข้าด้วยพลังทำลายที่ท่านมอบให้”

แม้จะเป็นภาษาที่เธอก็ไม่เข้าใจ แต่พอได้ลองพูดตามเช่นนั้นมันก็มีความรู้สึกแปลกที่ฝ่ามือ

“สโตนแคนนอน”

“สโตนแคนนอน!”

สิ้นเสียงกล่าวคำร่าย ก่อนหินขนาดเท่ากำปั้นก็พุ่งออกจากมือของไดอาน่าด้วยความเร็วสูง แรงดีดที่ไม่ทันตั้งตัวผลักเธอให้เกือบล้มลง จากนั้นจึงได้ยินเสียงราวกับมีอะไรตกน้ำไป

“เอ๊ะ?”

ไดอาน่าที่ได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เธอมองเจ้าต้นไม้ริมฝั่งที่ตนตั้งใจเล็งไป แต่ก็ไม่พบร่องรอยการแตกหักใด

“ออกเสียงได้โอเคเลยนี่นา ที่นี่ก็จำความรู้สึกนั้นไว้ ฝึกซ้ำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชินเอง ส่วนเวทมนตร์บทอื่นๆ เธอก็ไปหาเรียนเอาเองละกัน เดิมทีฉันก็ใช้เวทธาตุดินกับแสงไม่ได้อยู่แล้วด้วย”

“เดี๋ยวสิ มันหมายความว่าไง ไม่ใช่ว่าฉันเล็งต้นไม้ต้นนั้นไว้หรอกเหรอ ทำไมมันไม่พุ่งออกไปแบบที่ฉันคิดล่ะ”

“ก็เพราะบทร่ายเมื่อกี้ไงล่ะ ผู้คนในยุคนี้หลงลืมแก่นแท้ในการใช้เวทมนตร์ไปแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าใจหลักการจริงๆ ของเวทมนตร์ ทำได้เพียงลักจำมาจากคนในอดีต คำร่ายเดิมทีมันเป็นแค่การกำหนดเป้าหมาย ความเร็ว ระยะทาง ขนาดแล้วก็การหมุน ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคนี้ไม่รู้ถึงข้อนี้ พวกเขาทำได้เพียงจดจำวิธีร่ายและส่งต่อมาเรื่อยๆ ก็เท่านั้น หากเธอเข้าใจถึงกลไกการทำงานของมันเธอเองก็ไม่จำเป็นต้องพูดออก เธอสามารถใช้เวทมนตร์ได้เพียงใช้ความคิดเป็นตัวกำหนด”

ทัตสึยะเดินไปที่ระเบียงเรือ ก่อนจะดีดนิ้วเรียกลูกไฟออกมาอีกครั้ง

“หากเคยชินเธอสามารถใช้กิจวัตรประจำในการสร้างความคุ้นชิน แล้วจากนั้นการใช้เวทมนตร์ก็จะทำงานเหมือนสูดลมหายใจ ยกตัวอย่างฉันที่ก่อนจะใช้เวทก็มักจะเผลอดีดนิ้ว สมองก็เลยจดจำไปว่าทุกครั้งที่ฉันดีดนิ้วสูตรคำนวณเวทก็จะปรากฏในหัว”

มือที่กำลังควบคุมเวทไฟนั้นถูกยกขึ้นก่อนจะทำท่าขว้างมันราวกับลูกบอล

บอลไฟลูกเล็กนั้นพุ่งออกไปขนานกับผิวน้ำก่อนจะค่อยๆ เล็กลงและดับไปเหมือนออกห่างได้ระยะหนึ่ง

“แต่ต่อให้จะคำนวณในหัวเก่งแค่ไหน แต่ยังไงปัจจัยภายนอกก็ส่งผลต่อเวทมนตร์ด้วย เช่นเมื่อกี้ฉันก็เล็งต้นไม้ต้นเดียวกับเธอ แต่ฉันไม่ได้คำนวณแรงลมที่ตีกลับมาแล้วก็ขนาดของเปลวไฟที่จะไม่ดับเมื่อถึงระยะ”

“เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาเลยแฮะ”

“แล้วก็นะ ในสถานการณ์บางอย่าง เช่นเวลาที่ตื่นเต้น ก็อาจจะส่งผลต่อการคำนวณในหัว พอเป็นแบบนั้นการร่ายมันออกมาก็จะช่วยแก่ปัญหาในจุดนั้นได้ อย่างฉันเองบางครั้งตอนที่ต่อสู้อยู่อาจไม่มีสมาธิพอในการคำนวณอะไรซับซ้อน ฉันก็เลยต้องร่ายปากเปล่าเพื่อใช้เวทมนตร์แบบสำเร็จรูปแทน”

“อย่างนี้นี่เอง การร่ายก็เหมือนขนมปังแข็งๆ ที่สามารถกินได้ตลอดเวลา แต่ก็ใช้เวลากัดและเคี้ยวนานแถมไม่อร่อย แลกกับความสะดวกในการพกไปไหนมาไหน ส่วนการใช้เวทโดยไม่ร่ายคือการทำอาหารที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนในการปรุงให้อร่อยสินะ”

“ที่พูดมามันก็ถูก แต่การร่ายมันเหมือนการนำอาหารไปผ่านกรรมวิธีถนอมอาหารเสียมากกว่า ลองนึกถึงการหมักเนื้อดูก็ได้ เพราะในบางครั้งคนที่นำมันไปประกอบอาหารในขั้นตอนสุดท้ายก็ไม่ได้รู้ว่าเนื้อเหล่านั้นถูกหมักมาอย่างไรหรือใช้เครื่องเทศแบบไหนใช่ไหมล่ะ”

“พอพูดแบบนั้นก็เห็นภาพชัดเลยแฮะ”

“เธอนี่บางครั้งก็เข้าใจอะไรง่ายเหมือนกันนี่นา”

“อะไรยะ! จะบอกว่าที่ผ่านมาฉันเข้าใจยากรึไง!”

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset