ไดอาน่านิ่งเงียบไม่แม้แต่จะขยับเท้า เหงื่อบนใบหน้าค่อย ๆ ไหลหยดลงพื้น ทั้ง ๆ ที่อากาศด้านนอกน่าจะหนาวพอสมควร
“ถอยไปสิ มัวยืนนิ่งทำไม!”
เด็กหนุ่มในชุดคลุมตะโกนกลับหลังเห็นสภาพตัวแข็งของเด็กสาว เขากวาดสายตาไปยังคุณลุงเจ้าของรถม้าแต่ก็ต้องผงะเมื่อเห็นว่าร่างนั้นล้มฟุบไปแล้ว พอหันไปมองร่างอันใหญ่โตที่กำลังใกล้เข้ามาเขาก็สรุปได้ว่าเสียงร้องคำรามเมื่อครู่นั้นอาจจะเป็นต้นเหตุ แม้ร่างนั้นจะใหญ่โตมากกว่าเขาถึงห้าเท่า แต่กลับไม่รับรู้ถึงความเชื่องช้าเลยแม้แต่น้อย
“โดนข่มขู่งั้นเรอะ”
กรร——!!
เจ้าสัตว์ร้ายร้องคำรามส่งแรงกดดันออกมาอีกครั้งก่อนจะกระโจนลงที่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่ม แม้ครั้งแรกจะไม่รู้สึกอะไร แต่พอได้ยินเสียงนั้นเป็นครั้งที่สองกลับรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด
พอมองใกล้ ๆ ก็จะเห็นว่าทั่วร่างนั้นเต็มไปด้วยเกล็ดเงาสีเงิน คล้ายสัตว์เลื้อยคลาน แต่กลับมีปีกพังผืดเหมือนค้างคาว บนหลังหัวมีปุ่มสีขาวนูนเล็ก ๆ ที่หลังศีรษะอย่างกับว่าเป็นเขาที่เพิ่งงอกออกมา ดวงตากลมโตนั้นจับจ้องไปที่เขาอย่างน่าประหลาด ในดวงตานั้นเต็มความสงสัยที่มีต่อคนตรงหน้าของมันราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งเคยเห็นคนแปลกหน้า
“อะไร คิดจะขอลายเซ็นรึไง”
เด็กหนุ่มตอบกลับมันด้วยน้ำเสียงไร้ความหวาดกลัว พร้อมดาบในมือที่กำแน่น ทันใดนั้นเอง——เมื่อสัตว์ร้ายรับรู้ถึงจิตมุ่งร้ายมันไม่รอช้ากวาดกรงเล็บคมกริบไปยังเป้าหมาย
ตูม!——
กรงเล็บของสัตว์ร้ายเข้าปะทะกับดาบในมือจนเกิดประกายไฟสีส้มแดงสาดกระเซ็นทุกครั้งที่เข้าปะทะ
“อึก——”
แม้จะรับการโจมตีนั้นได้ แต่มันก็หนักยิ่งกว่าที่คิดไว้ กรงเล็บที่รับรู้ถึงจิตมุ่งร้ายค่อย ๆ เพิ่มความเร็วอย่างน่าพิศวง พอมัวแต่ตั้งรับการโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว รู้ตัวอีกทีเจ้าอสุรกายก็ยืนสองขาและเพิ่มการโจมตีด้วยกรงเล็บเป็นสองเท่า
“โถ่เว้ย——”
เสียงสบถเล็ดลอดออกมาพร้อมสายตาที่ชำเลืองมองผ่านไหล่ก่อนจะกระโจนหลบการโจมตีครั้งสุดท้าย ทำให้สิ่งที่กรงเล็บนั้นโจมตีโดนเป็นเพียงพื้นหินว่างเปล่า เศษหินและดินแตกกระจายจนกลายเป็นฝุ่นผง ท่ามกลางกองฝุ่นที่บดบังการมองเห็นเจ้าสัตว์ร้ายได้แต่จ้องมองไม่ห่างเพื่อหาศัตรูของมัน แต่แล้วการเคลื่อนไหวก็ปรากฏขึ้นภายในม่านหมอก
“เอ๊ะ”
เด็กหนุ่มในชุดหลุมกระโจนออกจากกองฝุ่นพร้อมแบกร่างของไดอาน่าและคุณลุงเจ้าของรถม้าออกมาพร้อมกัน อาจเพราะนั่นไม่ใช่การอุ้มที่นุ่มนวลนักไดอาน่าจึงฟื้นคืนสติขึ้นมา
“ทะทำอะไรเนี่ย ปล่อยฉันนะ”
ไดอาน่าพยายามดิ้นพร้อมใช้มือผลักใบหน้าเรียบเฉยนั้น
“หนวกหูจริงยัยนี่ อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นรึไง”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายมาช่วยสักหน่อย ไอ้คนฉวยโอกาส”
เด็กสาวพูดพร้อมสีบนใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจาง ๆ ขณะเดียวกันถุงมือกันหนาวที่เธอสวมอยู่มันก็ค่อย ๆ หลุดออกจากการดิ้นไปมาราวกับเด็กน้อย ทำให้มือเธอนั้นเผลอสัมผัสร่างของเด็กหนุ่มผมดำโดยบังเอิญ
ชั่ววินาทีนั้นไดอาน่าก็เงียบนิ่งไป แม้ดวงตาทั้งสองจะเบิกโพลง แต่ปากกลับเงียบสนิท
ภาพในหัวตีกันไปมา ก่อนที่ความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยจะแล่นผ่านหัวไปราวกับสายน้ำ ภาพของชายตรงหน้าที่เดินทางผ่านแสงมายังห้องโถงหรูหราและล้อมรอบไปด้วยนักบวช ก่อนจะถูกเรียกขานด้วยชื่อเรียกที่ราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย
“ผู้กล้า…ทัตสึยะ”
เธอจับจ้องดวงตาสีแดงสดที่ส่องประกายราวทับทิมก่อนจะค่อย ๆ เปิดปากพูดอย่างไม่ตั้งใจ
“!?”
เด็กหนุ่มหยุดวิ่งก่อนจะกระโจนเข้าไปที่หลังก้อนหิน เขาวางร่างทั้งสองที่แบกอยู่ลงพร้อมกันนั้นก็หันไปสบตาไดอาน่าด้วยความฉงน
“เธอ…”
เขาเปลี่ยนสีหน้าขณะมองเธอ ดวงตาที่ตกใจกับคำพูดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความสงสัยโดยพลัน
ไดอาน่าที่รับรู้แล้วว่าเพิ่งหลุดพูดอะไรแปลก ๆ ออกไป เธอจึงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองเอาไว้
“อยู่นิ่ง ๆ ตรงนี้อย่าหนีไปไหน ฉันมีธุระต้องคุยกับเธอ”
เด็กหนุ่มไม่สนใจคำโต้แย้งของไดอาน่า ก่อนจะหันกลับมองไปทางเจ้าสัตว์ประหลาด ขณะเดียวกันดาบมือเดียวที่ถูกกำแน่นค่อย ๆ เปลี่ยนรูปเป็นคันธนูอีกครั้ง
กรร!!!
อสูรร้ายร้องคำรามอีกครั้งหนึ่ง พัดปลิวความสงสัยในหัวไดอาน่าจนกระเจิงไป แม้จะหลบอยู่หลังก้อนหินใหญ่ แต่แรงกดดันที่ส่งผ่านมานั้นกลับไม่ลดลงเลย
“ไอ้นั่นมันตัวอะไรกันแน่น่ะ”
แม้ไดอาน่าจะตะโกนถามไปอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้คำตอบลอยมาหา เธอได้แต่เอามือปิดหูในขณะที่มองดูผู้ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ
“ฟู่——”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่สายธนูที่สร้างจากพลังเวทจะถูกดึง เด็กหนุ่มกระโจนออกจากที่กำบังพร้อมพลังเวทที่รวมไว้บนปลายศร เขาเพ่งมองเจ้าสัตว์ประหลาดด้วยดวงตาสีแดงที่ส่องแสงเรือง ๆ ทั้งสองสบตากันชั่วเวลาหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ
“มองไม่เห็น…?”
กรร——!
เสียงร้องคำรามดังขึ้นอีกครั้ง มันพุ่งตรงปะทะกับร่างที่นิ่งอึ้งด้วยความสับสนของเด็กหนุ่ม แรงกดดันนั้นแผ่ซ่านไปทั่วร่างจนเผลอยกมือขึ้นมาบังไว้โดยไม่รู้ตัว ไดอาน่าที่หลบอยู่หลังหินสะดุ้งเฮือกก่อนจะยกมือทั้งสองขึ้นมาอุดหูเอาไว้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะต่างออกไปนิดหน่อย เพราะเธอไดยินเสียงตัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
“อะไรน่ะ”
พอมองดูมือที่สั่นอย่างไม่รู้สาเหตุเธอก็หลุดปากพูดออกมาเช่นนั้น
เมื่อเห็นว่าไม่มีเวลาให้มาสงสัย ชายปริศนาก็ส่ายหัวเบา ๆ แล้วตั้งสมาธิพร้อมท่าเตรียมยิงอีกครั้ง ก่อนที่ลำแสงไร้สีจะพุ่งออกจากศรเวทในมือด้วยความเร็วโดยไน้เสียง ศรเวทที่เกิดจากการควบแน่นนั้นตัดผ่านอากาศราวกับไร้แรงต้าน——แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำเอาเขาต้องประหลาดใจ เจ้าสัตว์ร้ายสามารถหลบศรเวทที่ยิงออกไปในจังหวะที่ไม่น่าเป็นไปได้
“อะไรน่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาไม่รีรอยิงศรดอกที่สองและสามตามออกไป แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิม ร่างใหญ่โตนั่นยังคงหลบการโจมตีเหล่านั้นได้ทั้งหมดราวกับมองเห็นความคิดของเด็กหนุ่ม ไดอาน่าที่เฝ้ามองนั้นมองออกว่าไม่ใช่เจ้านั่นที่หลบได้ แต่เป็นมือคู่นั้นที่กำลังสั่นอ่อน ๆ ต่างหากที่เป็นสาเหตุ
ทันทีที่รู้ตัวว่าการโจมตีไม่ได้ผล เขาจึงเลือกเก็บอาวุธในมือขณะที่ศัตรูกำลังพุ่งเข้ามาอย่างหิวกระหาย
“นายจะทำอะไรน่ะ!?”
เด็กหนุ่มช้อนร่างของไดอาน่ากับคุณลุงขึ้นอีกครั้งก่อนจะกระโจนออกจากตรงนั้นในวินาทีเดียวกับที่เจ้าสัตว์ร้ายพุ่งเข้ามาพอดิบพอดี
ก้อนหินที่เคยเป็นที่กำบังถูกบดขยี้จนกลายเป็นเพียงเศษหิน
“นะ นายเป็นใครกันแน่ เจ้านั่นมันตัวอะไร แล้วทำไมต้องมาอุ้มฉันบ่อย ๆ ด้วยเล่า!”
เธอตะโกนอย่างไม่พอใจขณะที่เด็กหนุ่มเองก็เริ่มแสดงสีหน้าเอือมระอาออกมา
“หยุดแหกปากได้แล้วยัยจอมยุ่ง ถ้ายังส่งเสียงอีกฉันจะโยนเธอเป็นเหยื่อล่อเดี๋ยวนี้แหละ”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายมาช่วยสักหน่อย! แค่นั้นน่ะฉันหลบได้!”
ทั้งสองต่างขึ้นเสียงทะเลาะกันราวกับเด็กน้อย แต่พอเห็นเจ้านั่นที่กำลังหันมาไดอาน่าก็หยิบหน้าไม้ของเธอพร้อมโยนหินสีประหลาดกลางอากาศ ก่อนจะยิงลูกศรไปที่หินเหล่านั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างแม่นยำ
ก้อนหินแตกออกเป็นฝุ่นควันบดบังทัศนวิสัยของอสุรกาย
“ความคิดดีนี่ยัยปากไม่ตรงกับใจ”
“ว่าใครเป็นคนปากไม่ตรงกับใจกัน——”
ยังไม่ทันพูดจบ ไดอาน่าก็นึกขึ้นได้ว่าเสียงของเธออาจเผยตำแหน่งให้สัตว์ร้ายรู้ตัว เธอจึงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเอาไว้ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงกระซิบ
“…แล้วก็ปล่อยฉันลงได้แล้ว คิดจะอุ้มไปตลอดเลยรึไง”
ได้ยินเช่นนั้นบนหน้าผากของเด็กหนุ่มก็ปรากฏเส้นเลือดที่เต้นตุบ ๆ เขาจงใจปล่อยร่างของเธอโดยไม่ให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว ทำให้ร่างเล็ก ๆ นั่นตกลงสู่พื้นเสียงดังตุบ
“โอ๊ยเจ็บ ๆ ทำอะไรของนายเนี่ย”
พอหันไปเตรียมจะบ่นก็เห็นว่าเขากำลังวางร่างไร้สติของคุณลุงลงช้า ๆ ต่างจากตัวเธอที่ถูกโยนราวกับถุงขยะ
ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่เธอก็เข้าใจว่าควรให้ความสำคัญกับคนเจ็บก่อน
ตอนนี้ทั้งสามอาศัยหินอีกก้อนที่ดูใหญ่กว่าเพื่อหลบสายตาของเจ้าสัตว์ประหลาดได้ก็จริง แต่หากมันหาพวกเธอไม่เจอก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะจู่โจมผู้บาดเจ็บบนรถม้า ขณะคิดเช่นนั้นสายตาของเด็กสาวก็เหลือบไปเห็นมือของชายตรงหน้าที่กำลังสั่นอยู่
ไดอาน่าที่เห็นแบบนั้น มันก็ทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เกิดกับตัวเองเมื่อครู่นี้ พอลองปะติดปะต่อกับที่เคยได้ยินมาก่อนว่ามอนสเตอร์ระดับสูงบางสายพันธุ์สามารถโจมตีทางจิตใจของมนุษย์โดยตรงได้ บางทีเขาคนนั้นคงได้รับผลกระทบจากเสียงร้องนั่นไม่ต่างจากเธอ
“คงถึงขีดจำกัดแล้วสินะนายน่ะ”
“พูดอะไรของเธอ”
“จะฝืนทำเป็นเท่ไปทำไม ฉันไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่ต้องรอให้นายมาช่วยเสียหน่อย อย่างน้อยฉันก็เป็นนักผจญภัยที่มีประสบการณ์นะ”
กรร!!!
เสียงร้องคำรามนั้นดังขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียง แต่ไดอาน่ากลับไม่รอฟังคำพูดจากเขา เธอกระโดดออกไปพร้อมบรรจุศรลงหน้าไม้
“และฉันก็ไม่ใช่ลูกน้องนาย เพราะงั้นอย่าได้คิดมาสั่งฉัน”
“…”
ไดอาน่ายิงลูกศรออกไปใส่เจ้าสัตว์ประหลาดขณะที่วิ่งหลบไปมา
ลูกศรพุ่งออกจากหน้าไม้อย่างรวดเร็ว ทว่า แทนที่มันจะพุ่งทะลุผิวหนังของสัตว์ร้าย ศรนั้นกลับกระเด็นออกราวกับถูกสะท้อนกลับ
เมื่อศัตรูปรากฏสู่สายตาอีกครั้ง เจ้าอสุรกายคำรามอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาไดอาน่า
ในตอนนั้นที่ลูกศรซึ่งไม่สามารถทำความเสียหายใดกับผิวของมันได้กระทบลงบนหินสีสันแปลกตาซึ่งไม่ควรจะอยู่ตรงนั้น ปลายศรแตกออกเป็นสะเก็ดไฟเล็ก ๆ ก่อนจะกลายเป็นม่านเพลิงโหมกระหน่ำ
กรร——
ตูม——
ทันทีที่มันกำลังจะร้องคำรามเสียงระเบิดจากพื้นก็ดังขึ้นกลบทับร่างเข้ามันพร้อมฝุ่นควันสีดำที่ลอยคละคลุ้ง
“เป็นไงเล่า!”
สิ้นเสียงพูดของไดอาน่า แสงไฟสีส้มจาง ๆ ก็เริ่มลุกไหม้ท่ามกลางเขม่าควัน ก่อนที่เธอจะรู้ตัวเปลวไฟสีส้มก็พุ่งผ่านม่านควันมาที่เธออย่างไม่ทันตั้งตัว
“เอ๊ะ”
ก่อนที่จะถูกเปลวเพลิงกลืนกินร่าง ไดอาน่าก็รู้สึกได้ว่าตนถูกแรงบางอย่างยกให้ลอยออกจากพื้นที่อันตรายได้ทันเวลาฉิวเฉียด
“นี่นายจะอุ้มฉันทำไมนักหนา เป็นพวกฉวยโอกาสจริง ๆ สินะ!”
“ขอโทษทีละกันที่ช่วยชีวิตเธอน่ะ”
ร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศลงพื้นอย่างนิ่มนวลพร้อมสายลมอุ่น ๆ ที่พัดขึ้นเหนือพื้น ดูเหมือนที่เห็นว่ากระโดดไปมาได้ราวกับเหยียบบนอากาศนั้นจะเป็นเวทมนตร์บางอย่าง
เด็กหนุ่มใช้สายตาคู่นั้นจับจ้องมายังไดอาน่า ก่อนที่ความรู้สึกประหลาดที่ใช้มองเธอจะหายไป
“ถือว่าพยายามใช้ได้ แต่แค่นั้นน่ะไม่พอหรอก ถ้ายังอยากกลับบ้านแบบครบสามสิบสองก็รีบทำตามที่พูดซะ ก่อนจะกลายเป็นขนมกินเล่นของเจ้านั่น”
“นั่นเป็นวิธีขอร้องของนายรึไง แล้วที่บ้านฉันไม่มีใครอยู่หรอกย่ะ ถึงไม่กลับไปอย่างมากก็แค่โดนเลิกเช่าเท่านั้นแหละ”
เด็กสาวร่างเล็กรีบตอบกลับพร้อมสีหน้าไม่สบอารมณ์ขณะที่หน้าไม้ในมือถูกบรรจุศรเรียบร้อย
“ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ เพราะงั้นจะทำอะไรก็เชิญเลย ระหว่างนั้นฉันจะเตรียมการอะไรนิดหน่อย”
“หึ ดูถูกกันจังเลยนะ”
ไดอาน่าเมื่อพูดจบก็กระโจนออกมาระยะหนึ่ง เธอดึงความสนใจของเจ้าสัตว์ร้ายให้มาสนใจพร้อมยิงศรที่ไม่ระเบิดไปที่บริเวณเท้าของมัน
“กินนี่ซะเจ้าตัวน่าเกลียด!”
ทันทีที่จัดเตรียมระเบิดจนได้ที่เธอก็ตะโกนลั่นพร้อมเหนี่ยวไกหน้าไม้ในมืออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเจ้านั่นจะเรียนรู้ได้จากการโจมตีก่อนหน้า
มันพ่นลมหายใจร้อนระอุเผาศรที่ไดอาน่าเพิ่งยิงออกไปจนกลายเป็นเถ้าถ่าน แต่นั่นกลับไม่ลดความมั่นใจให้เธอเลยแม้แต่น้อย
“หึ เจ้าโง่เอ้ย”
สะเก็ดไฟเล็ก ๆ จากจุดที่เธออยู่วิ่งตรงจากพื้นไปราวกับมีบางสิ่งนำทางพวกมัน เมื่อก้มลงมองพื้นก็พบเศษหินคล้ายเม็ดทรายสีดำทอดยาวจากจุดที่เธอยืนไปถึงลูกศรนัดก่อน ๆ ที่ถูกยิงออกไป
ตูม! ——
เสียงระเบิดดังสนั่น เจ้าสัตว์โซเซอย่างเสียศูนย์ มันส่ายหัวพร้อมกะพริบตาไปมาราวกับกำลังสับสน
พอได้มองภาพนั้นมันก็เพิ่มพูนความสงสัยให้เด็กหนุ่มที่มองอยู่พร้อมสายคันธนูที่ยืดตรง
แม้จะโดนระเบิดไปหลายต่อหลายครั้งแต่ถึงกระนั้นเป้าหมายก็ไม่ได้ล้มลง มันยังคงทรงตัวและยืนอยู่ได้และส่งสายตาโกรธแค้นไปยังไดอาน่า
กรร!——
มันร้องคำรามอีกครั้ง แต่กลับตั้งเป้าหมายไปผิดคน เพราะที่ยืนอยู่บนยอดหินคือ อาซากิริ ทัตสึยะ ผู้ถูกขนานนามว่าเป็นผู้กล้า และในมือนั้นคือคันธนูที่รวมพลังเวทเอาไว้จนแผ่แรงกดดันมหาศาลออกมา
“ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้”
พร้อมกับคันศรเวทที่ถูกปล่อย มวลพลังเวทเข้มข้นมหาศาลพุ่งตรงตัดผ่านทุกสิ่งที่ขวางกั้น เกิดเป็นลำแสงที่พุ่งตัดอากาศเป็นทางตรง
——ทุกสิ่งในวิถีนั้นถูกลบหายไปในพริบตา
ศรที่ผ่านการรวมพลังเวทนานกว่าครั้งไหน ๆ พุ่งตัดขั้วหัวใจของเป้าหมาย สัตว์ร้ายกางปีกและร้องคำรามออกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะล้มลงจมกองเลือด พร้อมเผยให้เห็นหมู่เมฆเหนือฟากฟ้าที่แยกออกจากกันเพราะพลังเวทที่พุ่งขึ้นเหนือผืนดิน
เมื่อเห็นว่าศัตรูตรงหน้าล้มลงจมกองเลือดเด็กสาวร่างเล็กก็ทรุดลงแทบพื้น ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างประสบการณ์เฉียดนรกเมื่อครู่ทำให้เธอหอบหายใจอย่างผิดจังหวะ
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“นายนั่นแหละ โดนเจ้านั่นคำรามใส่ตั้งหลายรอบแล้วยังยืนไหวได้ยังไง”
“นั่นสินะ เธอที่โดนเข้าไปแค่ครั้งเดียวก็ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นเลยนี่”
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะต่อล้อต่อเถียงกันเสร็จก็ได้ยินเสียงของมนุษย์ดังมาจากทิศทางของรถม้า
“นี่! เป็นอะไรรึเปล่า”
เมื่อหนุ่มสาวทั้งสองหันกลับไปมองก็พบกับกลุ่มนักผจญภัยแปลกหน้าที่วิ่งเข้ามา
“กำลังเสริมเหรอ ชักเข้าใจความรู้สึกในหนังที่พวกตำรวจมักออกมาตอนสุดท้ายแล้วสิ”
พอพูดจบเด็กหนุ่มก็หยิบขวดแก้วสีใสแบบก่อนหน้านี้ออกมาก่อนจะยืนให้ไดอาน่าที่กำลังลุกขึ้น
“เอานี่ไปสิ”
“อะไร คิดจะทำให้ฉันติดหนี้บุญคุณเพิ่มรึไง”
“ถือซะว่าเป็นค่าจ้างสำหรับการถ่วงเวลาเมื่อกี้ละกัน”
ทัตสึยะพูดเช่นนั้นก่อนจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนทุกที แต่พอมองดูสายตานั้นดี ๆ แล้วกลับรู้สึกถึงอารมณ์อันแปลกประหลาดที่ส่งผ่านมายังเธอ
“ทำไมต้องทำหน้าตาแบบนั้นด้วย เห็นแล้วขนลุก”
ไดอาน่ารับขวดโพชั่นนั้นเอาไว้ก่อนจะเปิดฝาขวดพร้อมยกดื่มในทันที
“เอาล่ะ ที่นี้ก็พูดออกมาให้หมด เธอรู้ชื่อของฉันได้ยังไง แล้วทำไมถึงรู้ว่าฉันเป็นผู้กล้า”
“ห๊ะ?”
ไดอาน่าดวงตาเบิกโพลงพร้อมเริ่มสงสัยในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งดื่มลงไป เธอมองกลับไปกลับมาระหว่างคนตรงหน้ากับขวดโพชั่นที่ถือในมือ ก่อนจะได้รับคำตอบจากเจ้าตัวโดยตรง
“โพชั่นพูดจริงน่ะ ฉันผสมยาแก้โกหกกับโพชั่นขวดที่เธอดื่ม ส่วนผลของยา… ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้สินะ”
“อะ ไอ้บ้านี่ เล่นสกปรกนี่หว่า!”
ยาแก้โกหก ยาที่ช่วงชิงความสามารถในการปกปิดความจริงไปจากผู้ที่ดูดซึมยาสู่ร่างกาย เป็นยาที่มักถูกใช้ในการสอบปากคำนักโทษ
เพราะรู้เรื่องนั้นดี ไดอาน่าจึงพยายามใช้มือปิดปากแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอพูดอะไรออกไป
“พวกคุณนักผจญภัยที่เพิ่งมาเมื่อกี้ มีคนเจ็บนอนอยู่ทางโน้นแล้วก็มีคุณลุงเจ้าของรถม้าสลบอยู่หลังหินตรงนั้น”
ทัตสึยะหันไปตอบกลับพวกนักผจญภัยที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับจับแขนของไดอาน่าที่พยายามหนี ภาพที่ปรากฏต่อหน้ากลุ่มนักผจญภัยจึงแทบไม่ต่างจากคุณพ่อคุณแม่ที่พยายามเอาลูกวัยซนกลับบ้าน
“ปล่อยนะ ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด!”
“เธอเป็นใคร มาจากไหน มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคนใหญ่คนโตของประเทศนี้”
“ฉันชื่อไดอาน่า เป็นเด็กกำพร้าจากหมู่บ้านข้างหน้านี้ พออายุครบสิบสี่ก็ออกมาและเริ่มทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะเริ่มเป็นนักผจญภัยที่ใฝ่ฝัน ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับอาณาจักร ที่รู้ก็เพราะพรที่สามารถอ่านความทรงจำได้ ตอนที่หนีอยู่ฉันเผลอเอามือเปล่าไปโดนนายก็เลยรู้ว่านายเป็นใคร…”
ไดอาน่าพ่นข้อมูลทั้งหมดออกพร้อมใช้มือลูบหน้าผากที่เป็นรอยแดงจาง ๆ จากการถูกดีด
“ก็คิดไว้อยู่แล้วล่ะ แต่เป็นพรที่สามารถอ่านความทรงจำได้เนี่ยนะ รับมือยากชะมัด”
“หมดแล้ว ที่ฉันรู้ก็มีเท่านั้นแหละ ปล่อยฉันไปได้รึยัง”
“ยังก่อน ฉันอยากถามเรื่องอาวุธของเธอ ถึงภายนอกจะไม่ต่างอะไรจากหน้าไม้ แต่ของในกระเป๋ากับหัวลูกศรที่เธอใช้มันทำมาจากหินเวทไม่ผิดแน่ ทำไมนักผจญภัยธรรมดาแบบเธอถึงเลือกใช้ของแพง ๆ แบบนั้นกันล่ะ”
“ก็ฉันมีพรอีกข้อนี่นา มันเป็นพลังที่มีมาแต่เกิด เป็นพลังที่สามารถสร้างแร่กับหินเวทอ่อน ๆ ออกมาจากฝ่ามือได้”
“สองข้อเหรอ? แล้วทำไมเธอถึงพูดอย่างกับว่าได้พรมาคนละช่วงเวลาแบบนั้นล่ะ มันไม่ใช่สิ่งที่มีแต่แรกแล้วเหรอ?”
“ตอนแรกก็มีแค่พลังสร้างหินธรรมดา แต่ฉันก็แอบหนีคุณผู้ดูแลออกไปฝึกทุกวันจนสร้างหินเวทได้ ส่วนพลังอ่านความทรงจำได้มาตอนที่แอบหนีไปฝึกนั่นแหละ ตอนนั้นหลงป่ารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จับต้นไม้แล้วเห็นภาพแปลก ๆ แล่นเข้ามาในหัวน่ะ”
“งั้นเหรอ แบบนี้เอง เอาล่ะ หมดคำถามแล้ว ที่เหลือเธอก็รออีกประมาณยี่สิบนาทีละกัน เดี๋ยวยาก็หมดฤทธิ์ไปเอง”
“เอ๊ะ?! ไม่มียาถอนงั้นเหรอ”
ไดอาน่ารีบตอบกลับหลังได้ยินเช่นนั้นอย่างลนลาน
“อะไร ลนลานเชียวนะเธอ มีข้อมูลอะไรที่แอบปิดบังไว้รึไง”
“ปะปะปะ เปล่า~มะมะมะไม่มี้~”
ไดอาน่าพยายามฝืนยิ้มพร้อมหลบสายตาที่กำลังจับจ้องเธอ ส่วนทัตสึยะนั้นก็หรี่ตาเล็กลงราวกับกำลังส่งแรงกดดันอันน่าประหลาดไปทางเด็กสาว
“ช่างเถอะ ฉันเองก็ไมได้อยากจะก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเธอสักหน่อย แล้วจะให้ฉันทำยังไงกับเจ้านั่นล่ะ”
ทัตสึยะหยุดเดินพร้อมมองไปที่ซากเจ้าสัตว์ประหลาดที่นอนจมกองเลือด
“ก็เอาไปขึ้นเงินกับทางกิลด์ไง”
ไดอาน่าตอบกลับขณะที่หยุดมองซากตรงหน้าพร้อมทัตสึยะ
“เฮ้อ~ ก็นั่นแหละ ฉันยังไม่ได้ลงทะเบียนกับกิลด์เลยน่ะสิ”
“อา~ก็จริง ฉันรู้แล้วล่ะ”
“นี่เธอกวนประสาทกันอยู่รึไง”
“เปล่านี่ ก็ตอนนี้ยายังไม่หมดฤทธิ์ ฉันก็เลยโกหกไม่ได้”
“เฮ้อ~ มีอยู่ใช่ไหมล่ะ ไอ้ถุงผ้าที่ใช้เก็บซากมอนสเตอร์ได้น่ะ ช่วยเก็บมันไว้หน่อยสิ”
“อะไรน้า~ไม่เห็นได้ยินอะไรเลย”
“เฮ้อ~เดี๋ยวจะแบ่งส่วนของเธอให้ด้วย พอใจรึยัง”
“แหม ขอบคุณนะ ฉันจะไม่ลืมความใจดีนั่นเลย”
“ยัยนี่น่ารำคาญชะมัด”