ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อยตอนที่3 เรื่องใหญ่

ตอนที่3 เรื่องใหญ่

ในเมืองที่ผู้คนเดินกันชุกชุม บรรยากาศนั้นจะบอกว่าครึกครื้นก็พูดได้ไม่เต็มปาก บนถนนเส้นใหญ่มีทั้งชาวบ้านธรรมดาและนักรบที่หาเงินด้วยการออกล่าสัตว์ประหลาด

ในโลกนี้สัตว์แทบทุกชนิดนั้นหน้าตาต่างออกไปจากที่เคยรู้จัก แม้ในมุมมองของชาวต่างโลกอย่างทัตสึยะจะเห็นว่าพวกมันเป็นสัตว์ประหลาดหน้าตาพิลึก แต่บนโลกใบนี้พวกมันเป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศ เพราะแบบนั้นงานของเหล่านักล่าจึงไม่ใช่การฆ่าเพียงอย่างเดียว

“นักผจญภัยเหรอ…เห็นว่าเลือกงานตามคำร้องได้ตามใจ แบบนี้มันงานที่ฉันใฝ่ฝันเลยไม่ใช่รึไง”

เสียงพึมพำของทัตสึยะพัดปลิวไปกับสายลม เขาได้แต่มองเหล่านักล่าที่แบกร่างของสัตว์หน้าตาประหลาดไปที่ศูนย์กลางกระจายภารกิจ “กิลด์” หนึ่งในสามขั้วอำนาจของมหาทวีป

เขาถอนหายใจให้กับเรื่องที่กำลังกวนใจ มีหลายอย่างที่อยากพูดระบาย

แต่ภายในโลกที่ตัวเองไม่รู้จักเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นคนที่พูดคุยด้วยมากที่สุดอย่างคุณลุงเผ่าดวอร์ฟเองก็ยังมีบางเรื่องที่เขาพูดไม่ได้

“หวังว่าแผนการครั้งนี้มันจะเป็นการปลดปล่อยฉันจากโลกงี่เง่าใบนี้ละกัน”

ทัตสึยะดึงสายตากลับมาที่ทางข้างหน้าก่อนจะเริ่มเดินต่อ

ใช้เวลาไม่นานตามเส้นทางถนนสายหลักก็มาถึงปราสาทที่ตั้งอยู่กลางเมือง และเนื่องจากตัวของทัตสึยะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกนอกปราสาทเขาจึงต้องแอบกลับเข้าไปโดยไม่ให้ใครเห็น

“ดีล่ะ งั้นมาลองใช้เจ้านี่หน่อยดีกว่า”

หลังนำผ้าคลุมผืนสีดำที่ได้รับจากดวอร์ฟสวมปกปิดร่างกาย ทัตสึยะก็ใช้ [เนตรแห่งความจริง] ส่องดูผืนผ้าคลุม

[ผ้าคลุมวิเศษของพ่อมด]

[เพิ่มโอกาสถูกลืมใบหน้าให้กับผู้สวมใส่และไม่เป็นจุดเด่นหากไม่ถูกทองตรงๆ]

ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลุงดวอร์ฟบอกจะเป็นความจริง

เมื่อมั่นใจแล้วว่าใช้การได้ทัตสึยะไม่รอช้าอาศัยเงาจากดวงอาทิตย์ที่ใกล้ตกแอบกลับเข้าไปในปราสาทได้โดยไม่ถูกสงสัย

ระหว่างทางก่อนจะกลับถึงห้องของตัวเองก็มีบางอย่างมาหยุดฝีเท้าของเขา ทัตสึยะสังเกตเห็นทหารลาดตระเวนกำลังเดินผ่านมา เขาจึงกระโจนเข้าไปหลบหลังเสาหินแทบจะในทันที

“ฮู่~เกือบไปแล้ว”

“นี่ชั้นคิดไปเองรึเปล่าว่าทำไมพักนี้พวกนักวิชาการทำตัวแปลกๆ”

ทันทีที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทหารลาดตระเวนทั้งสองก็เริ่มบทสนทนาที่ดึงดูดทัตสึยะให้สนใจ

“นี่ถ้ารู้แล้วก็เหยียบไว้ให้มิดเลยนะ เห็นแก่ว่าเป็นทหารองครักษ์เหมือนกัน”

หนึ่งในนั้นเข้าไปกระซิบเสียงเบาจนทำให้ทัตสึยะที่หลบอยู่ไม่ได้ยินสิ่งที่เขาทั้งสองกำลังพูด ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่เป็นปัญหาสำหรับทัตสึยะที่มีพรศักดิ์สิทธิ์

ทัตสึยะใช้ [เข้าใจทุกสรรพสิ่ง] อ่านการเคลื่อนไหวของริมฝีปากแทนการได้ยิน

“เห็นว่าองค์ราชามีรับสั่งให้ทำการวิจัยเวทอัญเชิญแบบใหม่น่ะ”

“อะไรน่ะ จะอัญเชิญผู้กล้าอีกแล้วเหรอ?”

“เงียบๆ หน่อยสิเดี๋ยวก็มีคนได้ยินหรอก”

“แล้วแกไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไง?”

“บังเอิญไปได้ยินพวกนักวิชาการเขาพูดกันน่ะสิ เห็นว่าทางเบื้องบนเองก็เคลื่อนไหวแล้วด้วย”

“แล้วเจ้าผู้กล้าที่เพิ่งเรียกมาเมื่อสามเดือนก่อนล่ะ”

“ไม่รู้สิ เห็นว่าอ่อนแอด้วยนี่ อาจจะโดนกำจัดเพื่อปิดปากก็ได้”

“ก็ไม่ค่อยแปลกใจหรอกนะ นอกจากภารกิจสอดแนมกับสำรวจฐานที่มั่นศัตรูก็ไม่เห็นจะทำอะไรเลยนี่”

หลังได้ฟังบทสนทนานั้นจนจบทัตสึยะก็เงียบนิ่ง ความรู้ประหลาดมันเริ่มบีบรัดความคิด

“องค์ราชาคิดจะทำอะไรกันแน่? ตั้งใจจะเปิดศึกกับทั้งทวีปเลยรึไง”

“อย่าไปตั้งคำถามแบบนั้นเซียวนะ เดี๋ยวก็โดนตัดหัวหรอก โชดดีแค่ไหนแล้วที่ได้ทำงานในหวังหลวงแบบนี้”

“นั่นสิ แค่ไม่โดนสั่งให้ออกไปรบก็ดีแค่ไหนแล้ว”

ทัตสึยะตั้งใจฟังคำพูดของทหารลาดตระเวนทั้งสองอย่างตั้งใจ แม้ในใจอยากจะออกไปชกปากของเจ้าทหารสองนายนั้นให้รู้แล้วรู้รอด

“คำก็อ่อนแอสองคำก็อ่อนแอ ไอ้สองคนนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยออกไปนอกกำแพงเมืองทำมาเป็นพูดดี”

ทัตสึยะสะกดอารมณ์ที่เดือดพล่านเอาไว้ก่อนจะรีบตรงกลับไปที่ห้องของตัวเอง แม้จะไม่ได้ถูกปฏิบัติราวนักโทษ แต่ที่หน้าห้องของเขาก็มีทหารคอยเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

หลังจากกลับมาถึงทัตสึยะก็รอจนพระอาทิตย์ตกดิน ทำตัวให้เป็นปกติ ทานมื้อเย็นและเข้านอน และเมื่อถึงวลาที่เสียงบนปราสาทเงียบลงก็ได้เวลาทำตามแผน

ทัตสึยะอาศัยความมืดยามรัตติกาลสวมผ้าคลุมเวทมนตร์กระโจนออกนอกหน้าต่างและวิ่งไปตามเส้นทางที่ไม่มีเวรยาม แม้บรรยากาศในปราสาทยามค่ำคืนจะชวนให้ขนลุกแต่ก็ช่วยไม่ได้ เป้าหมายของทัตสึยะคือตามหาความจริงเบื้องหลังคำพูดของทหารลาดตระเวนที่ได้ยิน

เด็กหนุ่มใช้ความสามารถที่สะสมมาตลอดสามเดือนวิ่งผ่านเส้นทางลับโดยไม่ทิ้งแม้ร่องรอย เขาตรวจสอบพื้นที่บริเวณโซนการวิจัยก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ห้องห้องหนึ่ง

“ห้องนี้สินะ”

ยังไม่ทันสิ้นประโยค เสียงของฝีเท้าเบาๆ ก็ดังขึ้น มันค่อยๆ ตรงเข้ามาจากปลายทางเดิน

ทัตสึยะที่ไม่มีทางเลือกจึงกระโจนผ่านหลังประตูเข้าไปโดยไม่ทิ้งไว้แม้เสียงขยับบานพับ เด็กหนุ่มถอนหายใจหลังตรวจสอบด้วย [เนตรแห่งความจริง] ผ่านหลังประตู สิ่งที่เห็นเป็นเพียงทหารลาดตระเวนที่ดูหมดแรง ทัตสึยะได้แต่รอให้ทหารนายนั้นเดินผ่านอย่างช้าๆ จากนั้นจึงค่อยสำรวจสิ่งที่อยู่ในห้อง

เดิมทีดวงตาของเขานั้นเป็นสีดำอมน้ำตาลเหมือนคนปกติ แต่หลังจากได้รับพรของโลกใบนี้ มันก็เปลี่ยนสีจากลายเป็นสีแสงสดใส

สายตาของเด็กหนุ่มกวาดไปมาก่อนจะพบเข้ากับบางสิ่ง มันเป็นกองเอกสารที่ถูกวางกองไว้จนนูนสูง

เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็ต้องถึงกับผงะ สิ่งที่เขียนเอาไว้นั้นดูแย่ยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้มาก แม้ตัวอักษรบนแผ่นกระดาษจะเป็นภาษาที่ยากจะเข้าใจ แต่ด้วยพลังของ [เข้าใจทุกสรรพสิ่ง] มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่ทัตสึยะจะรับรู้ถึงความหมายภายใต้ตัวหนังสือเหล่านั้น

เข้าทุกสรรพสิ่ง เป็นพรที่มีพลังคลุมเครือมากกว่าที่คิดเอาไว้ มันไม่เพียงช่วยแปลภาษาทุกอย่างบนโลก แต่ยังมอบความเร็วในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ให้อีกด้วย

“อะไรเนี่ย ทฤษฎีแบบนี้ได้รับการยอมรับได้ยังไงกัน”

ทัตสึยะเปิดอ่านเอกสารต่างไปเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มแสดงสีหน้าสะอิดสะเอียนออกมา

สิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้นั้นเป็นไปตามคาด มันเป็นวงจรและสูตรคำนวณเวทมนตร์บิดเบือนมิติเวลา เป็นสิ่งที่จะการันตีความสำเร็จในการอัญเชิญชาวต่างโลก กลับกัน เวทมนตร์บนโลกใบนี้ไม่ว่าจะกรณีใดก็ตามมันจะต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน

และสิ่งแลกเปลี่ยนของเจ้าสิ่งที่อยู่บนแผ่นกระดาษนั้นก็คือเลือดและพลังชีวิตของชาวต่างโลกเอง

“นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ”

ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หากทฤษฎีพวกนี้เป็นจริงขึ้นมาอาณาจักรมิเนเรียแห่งนี้จะอัญเชิญชาวต่างโลกออกมาอีกเท่าไหร่ก็ได้

ทัตสึยะแทบจะเข้าใจในทันทีเลยว่าเหยื่อรายแรกที่ต้องสังเวยในพิธีกรรมบ้าๆ นี้ต้องเป็นตัวเขาอย่างแน่นอน

“เรื่องเปิดศึกกับทั้งทวีปคงไม่เกินจริงแล้วมั้ง”

ทันทีที่รับรู้ถึงจุดประสงค์อันบิดเบี้ยวของอาณาจักร ทัตสึยะไม่รีรอคิดหาทางเลือกที่จะช่วยให้แผนการหลบหนีของตนให้ออกมาดีที่สุด เขาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดก่อนจะพบว่าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อพิธีกรรมนั้นเป็นสิ่งเดียวกับที่ตนตามหา

“บังเอิญเหรอ? คงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”

พอคิดได้แบบนั้นความสงสัยก็งอกขึ้นมาราวดอกเห็ด

“เสียงที่ได้ยินตอนนั้นก็ไม่เคยโผล่มาอีกเลย พิธีกรรมที่มีส่วนประกอบแบบเดียวกับสิ่งที่ฉันตามหา ทุกอย่างมันดูลงตัวจนน่าประหลาดเกินไป”

ทัตสึยะวางเอกสารในมือ ก่อนจะหันไปตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้

“เอาล่ะ ต่อไปก็”

เด็กหนุ่มที่เพิ่งทำลายหลักฐานการมีอยู่ของเขาเสร็จหันมองไปยังอีกห้องหนึ่งที่มีประตูเชื่อมกันอยู่

ภาพที่เห็นหลังปลดล็อกประตูนั้นคือห้องที่กว้างขวาง ตรงด้านหลังสุดนั้นคือตู้ไม้ที่วางเรียงกันเป็นระเบียบ ทัตสึยะตรงไปที่ตู้เหล่านั้นก่อนจะเปิดมันและเริ่มใช้เนตรแห่งความจริงเพื่อพิจารณาสิ่งของด้านในอย่างถี่ถ้วน

ภายในตู้ไม้นั้นเต็มไปด้วยหินแร่หลายชนิดที่วางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ เมื่อใช้เนตรแห่งความจริงรวมกับเข้าใจทุกสรรพสิ่งก็ทำให้ทัตสึยะรับรู้ถึงคุณสมบัติที่ต่างกันของหินแต่ละก้อน เขาใช้เวลาไม่นานมากก่อนจะพบกับสิ่งที่ตามหา

“อยู่นี่เอง มีแค่ก้อนเดียวเองเหรอ แสดงว่าเจ้างานวิจัยนั้นยังไม่ได้รับการพิสูจน์สินะ แบบนี้น่าจะถ่วงเวลาได้”

สิ่งที่เด็กหนุ่มหยิบขึ้นมานั้นเป็นหินสีดำที่ไม่ได้มีอะไรต่างจากก้อนอื่น แต่เมื่อลองจับและส่งพลังเวทลงไปความแข็งของมันก็แปรผันไปตามนั้น

[ศิลาแห่งไกอา]

[คุณสมบัติ แปรผันตามพลังเวท เป็นสื่อนำพลังเวทชั้นยอด ขยายขอบเขตเวทมนตร์]

“หินที่เกิดจากการทับถมของแร่ธาตุและพลังเวทมหาศาล หรืออีกชื่อก็คือมรดกของผืนดิน”

ทัตสึยะรีบหยิบสิ่งที่ต้องการใส่กระเป๋าที่เตรียมมาก่อนจะรีบเดินออกมาจากห้องนั้น แต่ทว่าเขาดันประมาทเกินไป

“ใครน่ะ!”

“ผู้บุกรุก! ไปตามทหารมาเร็ว!”

เพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่ได้มา จนลืมตรวจสอบทางเข้าออก ทำให้ถูกเจอตัวเข้าขณะเดินออกมาที่ทางเดิน ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากห้องวิจัยทัตสึยะกับต้องเผชิญหน้ากับทหารยามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่

“ซวยล่ะ ดันใจลอยซะได้”

พวกทหารใช้เวลาไม่นานในการวิ่งเข้ามาล้อมทัตสึยะเอาไว้

“แกเป็นใคร ต้องการอะไร”

หนึ่งในทหารยามมองไปยังประตูห้องที่ทัตสึยะเพิ่งเดินออกมาก่อนจะพูดสิ่งที่เขาคิดออกไป

“ห้องวิจัยเหรอ รึว่าจะเป็นพวกสายลับที่ถูกส่งมา”

“พวกขโมยข้อมูลงั้นเรอะ!”

ทัตสึยะลนลานหลังได้สบตากับหน่วยลาดตระเวน เขายกภาพคลุมขึ้นมาบดบังใบหน้าพร้อมกันนั้นก็สอดสายตามองไปรอบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์

“คงไม่มีทางเลือก ถ้าสร้างเรื่องให้มันใหญ่โตก็จะโยนความผิดให้สปายของอาณาจักรอื่น แบบนั้นก็จะลดโอกาสถูกสงสัย”

เมื่อคิดได้ดังนั้นทัตสึยะไม่รอช้าวาดลวดลายบนอากาศด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะเกิดประกายไฟสีส้มสว่างเหนือมือข้างนั้น

หากเป็นในโลกเดิมเรื่องแบบนี้คงเกิดขึ้นได้แค่ในความฝัน แต่ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ พลังงานธรรมชาติไร้รูปที่ถูกควบคุมด้วยสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถกำหนดผลลัพธ์เหนือจินตนาการได้ตามแต่ผู้ให้ปรารถนา ขึ้นอยู่กับความสามารถและปริมาณพลังเวทในร่างกาย โดยในกรณีของทัตสึยะนั้นต่างออกไปนิดหน่อย เพราะพลังเวทที่มีในร่างของเขามีไม่มาก จึงต้องอาศัยเทคนิคบางอย่างในการร่ายเวทมนตร์ผ่านพลังงานภายนอก

เปลวไฟที่ลุกไหม้เหนือฝ่ามือถูกอัดแน่นก่อนจะถูกโยนใส่ห้องวิจัยเมื่อครู่ ทันทีที่เปลวเพลิงลุกไหม้มันก็ลุกลามอย่างรวดเร็วเนื่องจากของที่อยู่ด้านในล้วนเป็นวัตถุไวไฟ

“ถ้าเป็นฉันจะไม่ยืนตรงนั้น”

สิ้นเสียงเพลิงที่ลุกไหม้ก็ขยายตัวก่อนจะเกิดระเบิดรุนแรงชนิดที่ว่าทำให้ปราสาททั้งหลังสั่น เศษแก้วและอิฐกระจุยกระจายไปทั่วบริเวณ เปลวไฟที่ลุกท่วมพัดเอกสารที่วางอยู่ให้ปลิวว่อน แม้เสียงระเบิดนั้นจะดังเสียจนดึงดูดความสนใจได้แม้กระทั่งชาวเมืองที่อยู่ด้านนอก

ก็นะ เพราะยังไงก็คงไม่มีใครจำใบหน้าภายใต้ฮู้ดนั้นได้เพราะผ้าคลุมวิเศษที่สวม

“อะไรน่ะ”

“มันคิดจะทำลายหลักฐาน! รีบจับก่อนมันจะร่ายเวทอีกเร็ว!”

คมมีดสีเงินใบเล็กวิ่งตัดผ่านอากาศทะลุร่างและชุดเกราะของเหล่าทหารยาม แม้จะมีคนล้มลงไปหลังจากโดนฟันแต่บนพื้นกลับไร้ซึ่งกองเลือด

“กะ แก”

ไม่ทันพูดจบทหารยามต้นเสียงก็ล้มพับไปอีกคน

เมื่อลองเพ่งมองดูดีๆ ที่คมดาบสีเงินในมือทัตสึยะก็พบว่ามันไม่ใช่ของแข็ง แต่กลับเป็นสิ่งที่ดูคล้ายหลอดไฟอ่อนๆ ที่วิ่งออกจากด้ามจับ

“ไม่ถึงตายหรอก ก็ไม่ได้ฟันกายเนื้อนี่นะ…”

สิ้นเสียงกระซิบทัตสึยะก็พุ่งออกจากวงล้อมได้ไม่ยาก แต่ที่ผิดคาดคือกองหนุนนั้นมากกว่าที่คิด คงเพราะดันเล่นใหญ่เกินไปด้วยนั่นแหละ ไม่นานเขาก็ถูกล้อมอีกครั้ง

“อ่า~ไม่ทันคิดเลยว่าจะมากันเร็วขนาดนี้ ถ้าขืนยืดเยื้อมากกว่านี้แย่แน่”

ทัตสึยะเก็บดาบในมือลงฝักก่อนจะเริ่มตั้งท่าพร้อมกระโดด

“มันหนีไปแล้ว! ไปตามหาเร็ว!”

เขากระโจนออกจากวงล้อมได้ไม่ยากเพราะอุปกรณ์ที่เหมือนชุดเกราะตามร่างกายนั้นช่วยเสริมความเร็วและพลังกายได้นิดหน่อย

“ดีล่ะ งั้นก็วิ่งไปทั้งอย่างงี้เลย”

แต่แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นระหว่างวิ่งอยู่บนโถงทางเดิน

“เจอแล้วอยู่นั่นไง!”

ทั้งที่มั่นใจในความสามารถของเจ้าผ้าคลุมที่ทำให้คนอื่นไม่สนใจ เขาก็ต้องผงะเมื่อเจอกับเสียงตะโกนบอกตำแหน่งที่ดังขึ้น

“เอ๊ะ?”

เมื่อคิดว่ายังไงก็หนีรอดตรงหน้าก็ปรากฏบุคคลผู้มาพร้อมคทา เขามองจ้องมายังทัตสึยะโดยที่ผลของผ้าคลุมยังทำงานอยู่

“แย่ล่ะสิ ดันลืมคิดไปเลยแฮะ ผ้าคลุมนี้มันส่งผลกับพวกที่เป็นจอมเวทได้น้อยกว่าสินะ”

“ด้วยพลังต้นกำเนิดแห่งแสง ได้โปรดประทานกรงขังแก่ผู้ผิดบาป”

บุคคลที่คาดว่าจะเป็นนักเวทของวังหลวงพึมพำภาษาประหลาดพร้อมหันปลายคทาเข้าใส่ทัตสึยะแทบจะในทันทีที่เห็นตัว

ทัตสึยะที่เห็นไม่รอให้คำร่ายนั้นจบลง เขาใช้มือหนึ่งจับผ้าคลุมปิดบังใบหน้าก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปด้านหลังจากนั้นจึงใช้สันมือสับเข้าที่ท้ายทอยอย่างเต็มแรง

“อึก!”

นักเวทผู้โชคร้ายล้มลงนอนหน้าจุ่มพื้นแทบในทันทีที่โดนสับ

“โทษที ชั้นไม่ได้มีความแค้นกับนาย แต่ก็นอนไปก่อนแล้วกันนะ”

ทันทีที่พูดจบร่างของทัตสึยะก็อันตรธานหายไป

ภายในวังตอนนี้วุ่นวายไปหมด กองทหารรักษาพระองค์ต่างพากันวิ่งวุ่นไปทั่วปราสาทเพื่อหาตัวสปายที่ไม่มีอยู่จริง ถึงอย่างนั้นมันก็สร้างความลำบากให้ทัตสึยะอยู่ไม่น้อยเลย เพราะทางเข้าออกถูกปิดหมด การจะเอาแร่ที่เพิ่งขโมยมาไปส่งให้ลุงดวอร์ฟก็ยากขึ้น

ทัตสึยะที่กลับมาถึงห้องก็ได้แต่ถอนหายใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงส่วนใหญ่มันจะเป็นความผิดของเขาเองก็เถอะ

ไม่นานนักพวกทหารก็เริ่มรู้ตัวว่าคนที่ตามหานั้นไม่ได้อยู่ในปราสาท

ประตูปราสาทถูกเปิด กองทหารม้าเริ่มออกวิ่ง หน่วยลาดตระเวนเองก็เริ่มทำงาน

“อย่าปล่อยให้ผู้บุกรุกหนีไปได้ ปิดล้อมประตูหลักเมืองทั้งสี่ทิศ ตรวจสอบคนเข้าออกให้ละเอียด พลิกแผ่นดินหามันให้เจอ อย่าปล่อยให้มันได้ข้อมูลภายในไปเด็ดขาด!”

“อุหวา~”

ทัตสึยะมองภาพที่กำลังเกิดขึ้นผ่านหน้าต่างห้องของตัวเองพลางส่งเสียงอุทานออกมาราวกับจะสื่อว่า แย่ล่ะ

“คงต้องรอเรื่องสงบก่อน ตอนออกไปครั้งหน้าเองก็คงต้องปกปิดให้มิดชิดแล้วสิ”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค เสียงคุยกันก็ดังขึ้นที่หน้าประตูห้องของเขาเอง

“ดูเหมือนจะมาแล้วสินะ”

เสียงที่ดังออกมานั้นดึงความสนใจของทัตสึยะ ดูเหมือนจะมีใครบางคนที่เข้ามาคุยกับทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าห้องของเขา

“มะ มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับท่าน”

“เปลี่ยนเวรซะ แล้วมากับชั้น”

“ตะ แต่นี่ยังไม่ถึงเวลา…”

การพูดคุยนั้นหยุดลงพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป

ดูเหมือนทหารยามที่เฝ้าทัตสึยะจะถูกนำตัวออกไปสอบสวนอะไรเทือกนั้น

“คงพอลดโอกาสที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยได้บ้างแหละ”

เมื่อเริ่มสบายใจทัตสึยะก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง พร้อมกับค่อยๆ คิดหาวิธีออกจากที่นี่โดยไม่โดนจับได้เสียก่อน

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

ผมลาออกจากการเป็นผู้กล้าเพราะเงินเดือนมันน้อย

Score 10
Status: Completed

Options

not work with dark mode
Reset