ในสถานที่อันอบอวลไปด้วยกลิ่นของโลหะและถ่านไฟ บนผนังมีแต่ของมีคมประดับประดาอยู่เต็มไปหมด แม้สภาพของพวกมันจะดูธรรมดา แต่หากมองไปที่อุปกรณ์ต่างๆ ที่แขวนไว้บนผนังให้ดีๆ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าผลงานเหล่านั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน
เมื่อมองไปรอบๆ จนคิดว่าคงไม่มีคน อยู่ๆ ก็มีเสียงพูดคุยของใครบางคนดังขึ้นมา
“ลุง ผมว่าผมจะลาออก”
“พูดอะไรของเจ้า ข้าไม่ได้จ้างเจ้าไว้สักหน่อย”
“อย่ามาทำแกล้งโง่หน่อยเลย ลุงก็รู้น่าว่าผมพูดถึงอะไร”
เสียงสนทนาของคนหนุ่มกับชายแก่ดังขึ้นที่ร้านอาวุธอันเงียบสงบ
ต้นเสียงของคนหนุ่มนั้นมาจากอาซากิริ ทัตสึยะ ท่านผู้กล้าจากต่างโลก กับคุณลุงที่บนใบหน้านั้นเต็มไปด้วยหนวดเครายาวสีขาว
หากว่ามองแบบผิวเผินอาจจะดูไม่ออก แต่เมื่อมองจากลักษณะทางร่างกายแล้วจะรู้ได้ในทันทีว่าไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็น “ดวอร์ฟ” เผ่าพันธุ์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเครื่องไม้เครื่องมือ
“เฮ้อ~ ไม่อยากเชื่อ ในที่สุดก็มาถึงสินะ…แล้วเจ้ามีแผนแล้วรึไง”
ขณะที่พูดกันไปเรื่อยมือของทั้งสองก็กำลังควบคุมหมากบนกระดาษสี่เหลี่ยมที่ถูกตีเป็นตาราง
“ตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดไว้หรอก แค่เดาจากนิสัยของเจ้าราชานั่นแล้วคงไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่ อย่างน้อยๆ ก็คงเรียกเงินชดเชยแล้วอ้างว่าเป็นค่าเลี้ยงดูอะไรเทือกนั้น”
บนโต๊ะกลมเล็กภายในร้านขายอุปกรณ์ที่มีโรงหลอมเหล็กในตัวนั้น ขณะนี้ทัตสึยะกำลังขยับหมากบนกระดานเพื่อตอบโต้การบุกของชายชราเผ่าดวอร์ฟ
“เจ้านี้ปากเสียซะจริง ถ้ามีใครมาได้ยินเข้าจะไม่ใช่แค่เจ้านะที่ซวย”
“จะกังวลไปทำไมเล่า เดิมที่ร้านเก่าๆ นี่ก็แทบไม่มีใครเข้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ทั้งสองไม่เพียงแต่ห้ำหั่นกันด้วยวาจา แต่ยังต่อสู้กันผ่านตัวหมากที่สร้างจากไม้แกะสลักสีขาวดำ สิ่งนั้นต่างถูกเรียกกันในหลากหลายนาม แต่ชื่อที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายนั้นคือหมากรุก
“ถ้าแบบนั้นแสดงว่าอนุญาตให้ข้าซัดหน้าเจ้าได้ใช่ไหม หึ แล้วเหตุผลของเจ้าล่ะ ถึงจะพอเดาได้จากปากที่บ่นอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เถอะ ไหงเพิ่งคิดจะลาออกแบบเป็นจริงเป็นจังเอาวันนี้ล่ะ”
ถึงอย่างนั้นคำพูดของทัตสึยะมันก็เป็นความจริงที่ว่าไม่มีคนเข้าร้าน
ทั้งที่ของด้านในร้านต่างก็มีแต่อุปกรณ์ชั้นยอด แต่ด้วยคู่แข่งทางการค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ร้านเล็กๆ แห่งนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่น้อยลง นอกจากทัตสึยะแล้วก็มีเพียงลูกค้าขาประจำอีกแค่คนสองคนเท่านั้น
“…”
เด็กหนุ่มไม่ได้เปิดปากตอบคำถามที่ดวอร์ฟถาม
“ข้าอยากได้ยินจากปากเจ้าเอง มากกว่าข่าวลือที่แพร่ไปทั่วเมือง”
ดวอร์ฟกล่าวเสริมอีกครั้งก่อนจะขยับหมากบนกระดาน
“ไม่มีใครอยากทำงานที่ได้ค่าตอบแทนน้อยไม่คุ้มกับแรงที่เสียไปหรอกน่า”
ดวอร์ฟหยุดเดินหมาก เขากอดอกก้มพร้อมขมวดคิ้วแน่นแทนคำถามที่ไม่จำเป็นต้องพูด
ทัตสึยะที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าตนไม่สามารถเบี่ยงประเด็ดได้อีกแล้ว
“เฮ้อ~รู้แล้วนา”
เขาถอนหายใจหลังได้สบตากับชายชราตรงหน้า จากนั้นจึงเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเจอ
ตั้งแต่มาที่โลกแห่งนี้มันก็ผ่านมาประมาณสามเดือนเห็นจะได้
เงื่อนไขของการทำงานให้กับอาณาจักรมิเนเรียนั้นมีเพียงข้อเดียว คือต้องส่งเขากลับไปยังโลกเดิมหลังทำงานชดเชยทรัพยากรที่ถูกใช้เพื่ออัญเชิญเขามา ส่วนที่พักและค่าแรงทางอาณาจักรจะจัดหาให้
แม้จะฟังดูเป็นเงื่อนไขที่สวยหรู แต่ลึกๆ แล้วทัตสึยะก็รู้ดีว่าคงมีโอกาสเพียงน้อยนิดที่จะได้กลับโลกเดิม แถมโอกาสที่จะโดนสั่งเก็บเมื่อหมดประโยชน์ยังมีสูงอีกต่างหาก พอเป็นเช่นนั้นเขาจึงใช้เวลาขลุกตัวอยู่ในห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลทั้งเก่าและใหม่ และด้วยพรที่ได้รับมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่เขาจะเรียนรู้สิ่งที่ถูกเขียนไว้ได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องงานที่ได้มอบหมายโดยตรงจากราชาก็มีอยู่บ้าง ถึงจะไม่มากแต่ก็ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย เพราะคำโกหกเรื่องพรปลอมๆ ของทัตสึยะ งานส่วนมากจึงเป็นงานจำพวกสอดแนมข้าศึกหรือไม่ก็สำรวจพื้นที่เฝ้าระวัง
และเหตุผลที่เขาถูกอัญเชิญมานั้นก็สุดจะเห็นแก่ตัว
ดูเหมือนอาณาจักรแห่งนี้จะมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับอาณาจักรอีเดนที่อยู่ติดกัน และตั้งแต่ที่องค์ราชาคนปัจจุบันขึ้นมาปกครองไฟสงครามก็ปะทุขึ้นทันที
แม้จะอยู่ในช่วงสงบศึก แต่ก็เป็นแค่ชั่วคราว เพราะยังไม่มีการเซ็นสนธิสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรจากทั้งสองฝ่าย
“ฟังดูแล้วก็ไม่ใช่เงื่อนไขที่แย่เลยนี่นา”
“ก็นะ ถ้าคนที่ทำเป็นคนจากโลกใบนี้เงื่อนไขกับค่าแรงก็ดูดีใช้ได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่จะไม่ได้กลับบ้านมากกว่า อีกอย่างเพื่อนร่วมงานที่ทางนั้นหามาให้ก็ใช้การไม่ได้สักคน”
“เห้อ~ มาอีกแล้ว คำบ่นจากปากท่านผู้กล้า”
“ตั้งแต่เริ่มเป็นผู้กล้าแล้วรับงานมา ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่จบงานได้อย่างราบรื่น ยิ่งล่าสุดนี่มันก็เกินจะทนแล้ว เจ้าพวกนั้นมันก็เป็นได้แค่ขยะเท่านั้นแหละ”
“แล้วทำไมถึงเพิ่งมาเอาจริงเอาจังช่วงนี้ล่ะ ถ้าเจ้าไม่ชอบใจจริงๆ ก็น่าจะออกไปตั้งแต่วันแรกๆ เลยก็ได้นี่”
“จะทำงั้นได้ไงเล่า ผมไม่ใช่คนของโลกนี้นะ ข้อมูลก็ไม่มี เงินก็ไม่มี แถมยังไม่มีที่ซุกหัวนอนอีก”
“แล้วตั้งใจจะทำยังไงต่อหลังออกไปล่ะ”
พอถามออกไปเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็แสดงสีหน้าราวกับครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ
“ลุงจำตำนานผู้กล้าคนก่อนได้รึเปล่า ที่บอกว่าเป็นผู้หยุดสงครามและปราบมังกรเมื่อสองสามร้อยปีก่อนน่ะ”
“ก็ต้องรู้อยู่แล้วสิ เด็กทุกคนถ้าเกิดในยุคหลังมหาสงครามก็เคยฟังนิทานเกี่ยวกับผู้กล้าอยู่แล้ว”
พอถูกถามกลับแบบนั้นดวอร์ฟก็ขมวดคิ้วสงสัย แต่ก็ได้รับคำตอบหลังจากนั้น
“ก็นั่นแหละ ตามบันทึกของห้องสมุดหลวงเห็นว่าเป็นชาวต่างโลก แล้วประเทศที่อัญเชิญก็เป็นมิเนเรียแห่งนี้ด้วย แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีบันทึกเล่มไหนเลยที่เขียนถึงจุดจบของเขาคนนั้นเอาไว้ พอลองถามพวกนักวิชาการที่ทำงานอยู่ในวังก็พูดประมาณว่า หนังสือบางส่วนท่านองค์ราชาขายไปแล้ว ไม่ก็บริจาคให้สถาบันเวทมนตร์”
“เจ้ากำลังจะบอกว่า…”
“ตามหาเบาะแสบันทึกที่หายไป แล้วก็ลองสืบดูว่ามีวิธีกลับโลกเดิมไหม”
หลังพูดออกไปเช่นนั้นอย่างมั่นใจ แต่มันก็มีบางอย่างที่ทำทัตสึยะฉุกคิดไปชั่วขณะ เขาแสดงท่าทีราวกับลังเล แต่พอมองใบหน้าคนที่ตัวเองกำลังคุยด้วยแล้วเขาก็ตัดสินใจพูดข้อมูลที่ได้มาให้ดวอร์ฟได้ฟัง
“ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือก็เถอะ แต่จากแหล่งข่าวบอกมาว่าหนังสือหลายเล่มที่อาณาจักรแห่งนี้ขายไป เหมือนจะถูกอาณาจักรอีเดนที่เป็นศัตรูกว้านซื้อไปหมด ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงทางอาณาจักรก็โง่มากที่ขายข้อมูลภายในให้ศัตรูแบบนั้น หรือว่าที่นี่เองก็มีหนอนบ่อนไส้?”
“หยุดเลย ข้อมูลแบบนั้นยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี ถ้าขืนเจ้าคายข้อมูลสำคัญแบบนั้นให้ข้าฟังแล้วมันจะแย่เอา”
คุณลุงเผ่าดวอร์ฟถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะวกกลับมาที่คำถามเดิม
“แล้วเจ้าคิดจะหนีไปด้วยวิธีไหนล่ะ ต่อให้ออกจากเมืองหลวงได้ยังไงก็ถูกประกาศจับอยู่ดี จะลักลอบข้ามประเทศเหรอ?”
“ก็คงเหลือแต่วิธีแบบนั้นแหละ ของที่เอาไปได้ก็คงมีไม่มาก โดยเฉพาะดาบศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่ต้องไปหวังเลย”
“ก็นะ นั่นมันสมบัติระดับประเทศ แค่อนุญาตให้เจ้าใช้ได้ในบางครั้งก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว ข้าล่ะอิจฉาเจ้าจริงๆ ในฐานะช่างฝีมือก็อยากจะได้สัมผัสกับหนึ่งในเจ็ดดาบที่ทรงพลังที่สุดเหมือนกัน”
“ก็แค่ดาบที่ถูกตีขึ้นจากกระดูกมังกร แถมวิธีใช้ก็ยุ่งยาก นอกจากความทนทานก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี”
“หัดพูดให้เกียรติอาวุธในตำนานหน่อยสิเจ้าน่ะ ถึงข้าจะยอมรับในสายตาอันเฉียบคมของเจ้า แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าอนุญาตให้เจ้าใช้คำพูดพล่อยๆ ในร้านข้าหรอกนะ”
“โทษที พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วมันลืมตัวน่ะ”
“เห้อ~ ระวังเรื่องอารมณ์ไว้ด้วยละกัน สักวันมันอาจจะพาปัญหามาถล่มใส่เจ้าเอาได้”
“…”
“เป็นไรไป? ไปเจอเรื่องอะไรมารึไง”
“นั่นสินะ ถ้าให้พูดตามตรง เหตุผลส่วนใหญ่มันก็มาจากภารกิจล่าสุดที่เพิ่งไปทำมาล่ะนะ เอาเถอะยังไงหลังหนีออกไปก็คิดจะทำงานคนเดียวอยู่แล้ว เรื่องค่าแรงก็คงหมดปัญหา”
“ทะเลาะกับเพื่อนร่วมปาร์ตี้มาอีกแล้วสิท่า ทำไงได้ก็ไอ้พวกนั้นมันใช้เส้นรับงานนี่นา จะขาดความชำนาญก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่เจ้าเองก็เหมารวมเกินไป เพราะการที่เจ้าเจอแต่คนแย่ๆ มันไม่ได้หมายความว่าทุกคนบนโลกจะแย่เหมือนกันหมดนี่นา”
“ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาผมเองก็แอบสำรวจเส้นทางลับในปราสาทมาพอสมควรเลย ถ้าจะหนีออกไปมันก็ไม่ยากหรอก แต่หลังจากนั้นนี่แหละปัญหา”
“เห้ย นี่เจ้าได้ฟังที่ข้าพูดไหมเนี่ย”
“จะว่าไปลุงยังจำหินเวทประหลาดที่ผมเจอเมื่อสัปดาห์ก่อนได้ปะ”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะเห้ย!”
“ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าจะเอาพวกมันมาทำอะไร”
“…ว่ามาสิ”
สีหน้าของคุณลุงดวอร์ฟนั้นแลดูจะรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้พูดต่อยังไงทัตสึยะก็จะไม่ฟัง สิ่งที่เขาทำจึงเป็นการยอมแพ้และไหลตามน้ำอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนแรกก็กะว่าจะเอาไปขายอยู่หรอก แต่ผมคิดว่าถ้าจะหนีจริงๆ ก็คงต้องเอามาใช้เองแล้วล่ะ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าขายให้พวกนักวิชาการในวังไปแล้วหรอกเหรอ?”
“เปล่าหรอก จริงๆ ผมเก็บไว้กับตัวเองแหละ ทีแรกก็คิดว่าจะขายจริงๆนั่นแหละ แต่มันสังหรณ์ใจไม่ดีก็เลยเก็บไว้ก่อน”
พูดจบทัตสึยะเอื้อมมือหยิบหินสีแดงใสที่อยู่ในกระเป๋าสะพายใบเล็กด้านหลังเอวขึ้นมา
สีสันของมันส่องทอประกายงดงามสดใสเมื่ออยู่ในมือของทัตสึยะ ขนาดของมันไม่ใหญ่มาก หากให้เทียบแล้วเจ้าหินนั้นจะมีขนาดใหญ่กว่ากระสุนปืนพกอยู่นิดหน่อย
“หินประหลาดที่สามารถจดจำเวทมนตร์ได้ แถมเท่าที่ตรวจสอบจากพรของผม ดูเหมือนเจ้านี่จะเป็นสื่อนำพลังเวทได้ดีกว่าพวกหินที่เอาไปทำคทาอีกนะ”
ทัตสึยะมองผ่านหินสีแดงใสพลางพูดสิ่งที่คิดออกมา
“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า ถ้าเป็นข้าเองยังไม่แน่ใจเลยว่าจะตัดใจขายวัตถุดิบชั้นยอดแบบนั้นยังไง”
“ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้น…”
“หยุดเลย ข้าจะไม่ขอมีส่วนร่วมกับผู้ร้ายข้ามชาติหรอกนะ”
“อะไรน่ะไอ้วิธีเรียกแบบนั้น ถึงจะเป็นผู้ร้ายข้ามชาติจริงๆ ก็เถอะ แต่มันไม่ใช่ตอนนี้สักหน่อย”
เมื่อรู้แล้วว่าพูดเกลี้ยกล่อมไปก็ไร้ความหมายทัตสึยะจึงหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าใบเดิม
มันเป็นกระดาษเก่าๆ สีน้ำตาลเหลือง ด้านในถูกเขียนด้วยรูปวาดและตัวอักษรจนอัดแน่นทว่ามีแบบแผนอย่างประหลาด
“นี่มัน!?”
คุณลุงส่งเสียงอุทานออกมาเมื่อได้เห็นเนื้อหาด้านใน
“เจ้านี่มัน…เจ้าเล่ห์นักนะ วางแผนมาตั้งแต่ต้นแล้วสินะ”
ภาพเขียนและคำอธิบายบนกระดาษนั้นมันได้ไปจุดไฟของสุดยอดช่างฝีมือเผ่าดวอร์ฟเข้าอย่างจัง
“ก็ไม่รู้สินะ”
บนแผ่นกระดาษนั้นคือพิมพ์เขียวของบางสิ่งที่ดูซับซ้อน ทั้งหมดนั้นถูกเขียนขึ้นโดยลายมือของทัตสึยะเอง
“รู้ใช่ไหมว่าการที่จะสร้างสิ่งนี้แค่ลำพังข้าคนเดียวคงหาวัตถุดิบมาไม่ได้ทั้งหมด”
“อ่า เรื่องวิ่งวุ่นไปทั่ววังหลวงเดี๋ยวจะจัดการให้ ในห้องวิจัยน่าจะพอมีเหลืออยู่แหละ”
“ได้ ข้ารับคำขอ เดี๋ยวจะสร้างอาวุธสุดแกร่งที่เทียบเคียง…ไม่สิ เหนือกว่าดาบศักดิ์สิทธิ์ให้ดู”
“งั้นก็ฝากเรื่องทางนี้ด้วยละกัน”
ทัตสึยะวางหินเวทสีแดงใสทั้งหมดที่ตนมีทั้งหมดลงบนโต๊ะกลม หากนับรวมกับที่หยิบขึ้นมาก่อนหน้าละก็จะได้ห้าก้อนพอดี โดยขนาดของพวกมันนั้นแทบไม่ต่างอะไรจากก้อนแรก
“เอาไว้ได้เรื่องแล้วผมจะมาใหม่ละกัน น่าจะใช้เวลาไม่นาน ไว้ถึงตอนนั้นจะกลับมาจ่ายส่วนที่ติดเอาไว้ด้วย”
เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะลุกขึ้นและเตรียมตัวออกจากร้าน
“เดี๋ยวสิ เอานี่ไปด้วย”
คุณลุงเจ้าของร้านหยิบผ้าผืนสีดำที่วางอยู่ไม่ไกลจากมือ
“อะไรเนี่ย ผ้าคลุมเหรอ?”
“ผ้าคลุมวิเศษของพ่อมดไง”
“ไม่เห็นเหมือนผ้าคลุมล่องหนเลยสักนิด”
“จะไปมีได้ไงเล่าไอ้ของพรรค์นั้น ผ้านั่นจะทำให้ผู้สวมไม่ถูกจดจำ อย่างง่ายก็ทำให้ใครต่อใครจำหน้าเจ้าไม่ได้ในแวบแรก”
“เอ๋~ ยกให้ผมฟรีมันจะดีเหรอ?”
“ใครบอกให้ฟรี เดี๋ยวข้าจะคิดรวมกับเจ้าของในพิมพ์เขียวนั้น ตอนนี้แค่ให้ยืม เพราะยังไงมันก็จำเป็นใช่ไหมล่ะ”
ทัตสึยะไม่ได้ตอบอะไร เขาได้แต่ยิ้มรับด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจก่อนจะกระโจนออกจากร้านไป
“เห้อ~ คนเดียว…งั้นเรอะ เจ้านั้นคงจะมีเหตุผลที่ชอบพูดแบบนั้นสินะ…