กริ๊ง!ๆ กริ๊ง!ๆ
เสียงของบางสิ่ง ร้องดังอย่างแปลกประหลาด
มันร้องตะโกนราวกับจะทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ พอตั้งใจฟังก็จะพบว่ามันเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในยามเช้า สัตว์ร้ายที่จ้องจะทำลายช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ของเด็กมัธยมปลาย
นาฬิกาปลุก
แกร๊ก——
เสียงนั้นหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อมือของใครบางคนตบลงไปบนเครื่องจักรสังหารเวลานอนนั้นหลายต่อหลายครั้ง หลังจากเสียงหยุดลงได้จังหวะหนึ่งเจ้าของของมือข้างนั้นจึงลุกขึ้นจากเตียงด้วยสภาพที่ไม่ต่างอะไรจากศพเดินได้
เสียงย่ำเท้าเบาๆ ของเด็กหนุ่มผู้หมดแรงดึงดูดความสนใจของคุณแม่ที่กำลังจัดเตรียมอาหารเช้า
“นี่ทัตสึยะ อีกสองสามเดือนลูกก็จะขึ้นมหาลัยแล้วนะ เลิกพึ่งของแบบนั้นแล้วลองตื่นด้วยกำลังของตัวเองดูบ้างสิ”
“คร้าบๆ ผมจะพยายามแล้วกัน วันนี้ผมต้องออกไปทำเวรห้องน่ะ คงต้องออกไปเช้าหน่อย ส่วนข้าวเช้าขอแค่ขนมปังก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มอ้าปากหาวอย่างหมดแรงก่อนจะโดนคุณแม่ตอบกลับด้วยใบหน้าบึ้งตึง
แก้มของคุณแม่พองขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกลูกชายปฏิเสธอาหารเช้าที่ทำอย่างสุดฝีมือ
“แค่นั้นน่ะไม่พอให้มีชีวิตอยู่ถึงตอนเที่ยงหรอกนะ”
แม้จะเตือนไปเช่นนั้นแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ทัตสึยะเปลี่ยนใจ
“อาทิตย์หน้าจะมีงานโรงเรียน ถ้าไม่ติดอะไรจะแวะมาก็ได้นะ แล้วที่ห้องดูเหมือนจะตกลงกันว่าจะเปิดร้านอาหารแฟนซี ไว้เดี๋ยวถ้ามาได้จะทำเมนูประจำร้านไปไถ่โทษ”
“เอ๊ะ!? ห้องลูกได้เปิดร้านอาหารเหรอ”
“ก็นะ แล้วพอถามหาพ่อครัวดันมีใครก็ไม่รู้บอกว่า ‘ทำไมไม่ให้ทัตสึยะคุงทำล่ะ ตอนไปทำงานอาสาสมัครที่ค่ายฤดูร้อนก็เห็นว่าฝีมือเข้าขั้นอยู่นะ’ พอทุกคนได้ฟังก็เออออไม่ถามความสมัครใจสักคำ”
“เอ๊ะ!? ทัตคุงได้เข้าครัวด้วยเหรอ?!”
คุณแม่แสดงสีหน้าตกใจเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากปากของลูกชาย
“ไม่เป็นไรใช่ไหม? มีเพื่อนคอยช่วยรึเปล่า”
“ของแค่นั้นทำเองคนเดียวก็ได้”
“ต้องไปสิ ต่อให้น้ำท่วมหรืออุกกาบาตตกก็จะไป”
คุณแม่ตอบกลับคำกล่าวนั้นอย่างดีใจ เธอหมุนตัวกระดี๊กระด๊าราวกับเด็กน้อย ผิดไปจากเลขอายุที่แตะหลักสี่ไปแล้ว
“ถ้าน้ำท่วมยังพอว่า แต่ถ้าอุกกาบาตตกนี่ไม่ต้องมาก็ได้”
หลังจากเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นของคนเป็นแม่แล้วมันก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าเอือมระอา
“งั้นผมไปก่อนนะ”
“ไปดีมาดีนะ”
เด็กหนุ่มหันหลังก่อนจะเดินผ่านประตูพร้อมขนมปังในมือ
หลังจากเริ่มเดินมาได้ระยะหนึ่งเสียงพึมพำเบาๆ ก็ดังออกมาโดยไม่รู้ตัว
“จะจบปีสามแล้วเหรอ… เอาเถอะ ยังไงเป้าหมายหลักก็คือออกมาอยู่คนเดียวนี่นะ จะสอบติดที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ทัตสึยะพึมพำเช่นนั้นด้วยใบหน้าเหนื่อยหน่าย ความรู้สึกบนใบหน้านั้นมันราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวมันช่างว่างเปล่า
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่รู้สึกแบบนั้น…”
ฝีเท้าของเด็กหนุ่มหยุดลงพร้อมเสียงพึมพำ เมื่อลองมองไล่ตามไปสิ่งที่อยู่ปลายสายตานั้นคือแผ่นหลังของเด็กสาวมัธยมปลายกลุ่มหนึ่ง
ถึงจะดูเป็นภาพที่หาได้ทั่วไป แต่หนึ่งคนในนั้นกลับดึงดูดสายตาของทัตสึยะเป็นพิเศษ
เธอคือเด็กผู้หญิงที่ไว้ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน สวมชุดเครื่องแบบนักเรียนสีดำดูเรียบร้อย ใบหน้ากลมมนน่ารัก แววตาแฝงได้ด้วยความซุกซนน่าค้นหา หากว่าเป็นหนุ่มมัธยมปลายทั่วไปก็คงตกหลุมพรางมนต์เสน่ห์นั้นจนต้องมองตามตาไม่กะพริบเป็นแน่
สายตาที่เขามองเธอเองก็สั่นไหวไปชั่วขณะ
“คงเป็นตอนที่ถูกหักหลังความรู้สึก…”
ทัตสึยะถอนหายใจและกลบฝังความทรงจำของเธอไว้
เมินเฉยต่อการถูกจับจ้อง เขารีบสับขาเดินออกจากถนนเส้นนั้นโดยเร็ว
แม้จะทำเช่นนั้น…มันก็ไม่ได้ช่วยให้ความขุ่นมัวในใจเจือจางลง
“ทัตคุง…”
เด็กสาวผมสั้นกล่าวอย่างแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ก่อนละลายหมดสิ้นเมื่อเห็นว่าเขาคนนั้นเดินผ่านโดยไม่คิดจะสนใจ
พอพยายามเลิกคิดถึงเรื่องในอดีต รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนในเวลาอันสั้น
ทัตสึยะส่ายหน้าลบภาพในหัวก่อนจะเดินไปที่ล็อกเกอร์
“นี่ฉันใช้โชคหมดแล้วรึไง ถึงได้มาเจออะไรแบบนั้นแต่เช้า”
ขณะที่หยิบรองเท้าเข้าไปวางนั้นเสียงของใครบางคนก็ดึงดูดความสนใจจนเขาเผลอหันมองโดยไม่รู้ตัว
“มาเร็วดีนี่…”
ที่มาของเสียงเรียกดูไร้อารมณ์นั้นดังมาจากผู้หญิงผมดำที่ยืนอยู่ข้างๆ
“อรุณสวัสดิ์ มินามิ”
ทัตสึยะกล่าวทักทายพอเป็นพิธี แต่ไม่ได้ยินคำพูดตอบกลับ
มินามิ ยุย หนึ่งในเพื่อนร่วมชั้น เธอเป็นคนที่มักจะแสดงสีหน้าเรียบนิ่งชวนให้แอบรู้สึกหนาวๆ ทุกครั้งที่คุยด้วย
“บ่นอะไรแต่เช้ามิทราบ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอนี่”
“ไม่ได้มากับเธอคนนั้นแล้วเหรอ”
ตึง!
เสียงปิดล็อกเกอร์ดังขึ้นอย่างแรงหลังสิ้นคำพูดของมินามิ
เสียงที่ดังอย่างกะทันหันดึงดูดความสนใจของนักเรียนโดยรอบให้หันมอง
ทัตสึยะจับจ้องไปที่ใบหน้าของยุยด้วยความไม่พอใจก่อนจะพูดตอบด้วยน้ำเสียงที่ต่างจากเดิม
“มันไม่เกี่ยวกับเธอ”
เขาตอบกลับเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงฟังดูเย็นชา ดวงตาคู่นั้นเองก็เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ราวกับจะระเบิดออกมาหากยังพูดเรื่องนี้อยู่
ยุยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแม้จะเห็นว่าทัตสึยะเริ่มขึ้นเสียง เธอยังคงตอบกลับอย่างเรียบเฉยเช่นเดียวกับใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“ฟังจากคำพูดคงยังไม่ได้คืนดีกันสินะ ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นนิยายแนวเลิฟคอมฯ นายน่าจะเป็นตัวละครที่สุขสมแล้วแท้ๆ”
“ตรงไหนมิทราบ”
“ก็อุตส่าห์ได้พบกับเพื่อนสมัยเด็กสุดน่ารักที่ไม่ได้เจอกันนาน… แถมฝ่ายนั้นดันมาสารภาพก่อนรักด้วย”
“ช่วยหยุดพูดแบบนั้นทีเถอะ ชั้นไม่ใช่ตัวละครอะไรนั่นสักหน่อย”
ทัตสึยะเริ่มขมวดคิ้วหลังได้ยินคำพูดนั้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่แม้จนสนใจคำพูดของตน บนใบหน้าของเขาตอนนี้มันแสดงถึงความเหนื่อยหน่ายอย่างชัดเจนเมื่อพูดถึงเรื่องที่อยากให้มันผ่านไป
“พูดอย่างกับว่าชั้นเป็นฝ่ายผิดงั้นแหละ”
เด็กหนุ่มกระซิบกล่าวกับตัวเองก่อนจะเร่งรุดเดินออกไปจากตรงนั้นโดยเร็ว
“ถ้าผู้ชายทั้งโลกเป็นแบบหมอนั้นมีหวังมนุษยชาติได้สูญสิ้นเผ่าพันธุ์แน่”
เด็กสาวกล่าวออกมาเช่นนั้นหลังเห็นว่าเด็กหนุ่มเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์
◇◇◇
“ยัยมินามิจะสื่ออะไรมิทราบ ไม่เห็นจะเข้าใจเลยสักนิด”
เสียงบ่นพึมพำดังขึ้นตลอดทางจนมาถึงห้องเรียน ทันทีที่เดินเข้าไปเขาก็ต้องพบกับเรื่องชวนให้หนักใจ
“อ๊ะ! ทัตสึยะคุง! มาได้จังหวะพอดีเลย ช่วยเอาขยะไปทิ้งให้หน่อยสิ”
ทันทีที่ประตูถูกเปิด เพื่อนร่วมชั้นหญิงที่จำชื่อไม่ได้ก็ตรงดิ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เอ๊ะ? ก็ได้อยู่หรอก ยังไงชั้นเองก็เป็นเวรของวันนี้เหมือนกัน แต่ทำไมถึงเป็นฉันล่ะ คนอื่นยังไม่มาเหรอ”
“พอดีว่ามันมีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อย ชั้นเองก็โดนเรียกตัวด้วย เพราะงั้นขอร้องล่ะ”
เด็กสาวตรงหน้ากล่าวขอร้องพร้อมมือทั้งสองที่ประสานกันอยู่เหนือหัว หากฟังจากน้ำเสียงที่ดูรีบร้อนนั้นก็คงพอเดาออกว่าไม่ได้โกหก
ถึงจะรู้สึกไม่ชอบใจที่ถูกเอาเปรียบ แต่มันก็ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างเพื่อโยนงานให้คนอื่นก่อนเลิกเรียนได้ด้วย พอคิดถึงข้อได้เปรียบในจุดนั้นทัตสึยะจึงยอมรับคำขอของเธอคนนั้น
“ขอบคุณนะ ไว้คราวหน้าจะตอบแทนให้แน่นอน”
“ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่นี้ทำคนเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ”
สิ้นสุดคำพูดนั้น เด็กสาวจึงวิ่งจากไปอย่างรีบร้อน
กระเป๋าเป้ของทัตสึยะถูกวางลงบนโต๊ะ ถึงจะแอบถอนหายใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะยังไงตัวเองก็ตอบรับคำขอนั้นไปแล้ว
“ยังไงก็…ไม่ถนัดรับมือกับผู้หญิง”
เสียงถอนหายใจถูกพ้นออกมาพร้อมคำพูดพึมพำอย่างแผ่วเบาขณะที่เดินไปหยิบถุงขยะและเตรียมจะออกจากห้อง ทันใดนั้น—— ชั่ววินาทีสั้นๆ เพียงปลายเท้าสัมผัสพื้นของขอบประตู
แสงประหลาดได้ตรงขึ้นเหนือพื้นในจุดที่ทัตสึยะยืนอยู่
มันวาดลวดลายประหลาดบนพื้นในชั่วพริบตา
[ไม่ชอบตัวเองที่เป็นอยู่เหรอ?]
ชั่วขณะที่สูดลมหายใจ ลวดลายบนพื้นก็หยุดนิ่งพร้อมข้อความประหลาดที่ดังในหัว
“ห้ะ? เอ๊ะ?”
[ถ้าหากไม่ว่าอะไรล่ะก็ ทางนี้จะขอยืมเสียหน่อย]
“สะ เสียงเหรอ?”
สิ้นสุดประโยคแสนเอาแต่ใจนั้นร่างของเด็กหนุ่มก็ถูกแสงสีเงินจากพื้นกลืนเข้าไป
เพียงแค่พริบตาหลังแสงนั้นจางลง ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็ต่างออกไป จากที่ควรจะก้าวออกมาที่พื้นระเบียง แต่มันกลับไม่ใช่ มันได้กลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีวงแหวนประหลาดเขียนอยู่กลางห้อง
ทั้งห้องประดับด้วยรูปปั้นและอักษรประหลาดๆ
พอมองดูดีแล้วมันราวกับหลุดมาคนละยุคเลยก็ว่าได้
ความสับสนในหัวเริ่มตีกัน เด็กหนุ่มกะพริบตาซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับภาพที่เห็นตรงหน้า
แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ชายในชุดสีขาวตรงหน้าก็เปิดปากพูดก่อน
“โอ้ว~ ในที่สุดก็ทำสำเร็จ ท่านผู้กล้า! พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากท่าน กรุณาชี้นำพวกเราด้วย”
ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงพอได้ยินคำพูดนั้น คำถามมากมายก่อตัวขึ้นในหัว ถึงจะอยากถามออกไปทั้งหมดแต่ด้วยบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยมันก็ทำให้เขาเรียบเรียงคำพูดในหัวไม่ถูก
จุดที่เขายืนอยู่มันไม่ใช่สถานที่ที่คุ้นเคย เมื่อมองดูโดยรอบเขาก็ต้องประหลาดใจกับจำนวนคนในชุดคลุมที่ขาวที่ยืนเต็มห้องโถง เท่าที่ดูคงสักห้าสิบคนเห็นจะได้
“ดะ เดี๋ยวนะ ชี้นำอะไร”
เคร้ง~~
เสียงการตกกระทบกันระหว่างถุงขยะในมือกับพื้นห้องโถงดังสะท้อนไปทั่ว ชายในชุดคลุมที่ยืนอยู่บริเวณโดยรอบต่างจับจ้องไปที่ถุงขยะเหล่านั้นโดยพร้อมเพรียง
“อะไรกัน นั่นคืออาวุธของท่านงั้นรึ”
“เดี๋ยวสิเมื่อกี้พวกคุณพูดว่าอะไรนะ เปล่ามันก็แค่ขยะ ผมกำลังจะไปทิ้งขยะแล้วก็…ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย”
คำถามมากมายที่ตีกันในหัวมันทำให้เด็กหนุ่มมีท่าทีกระวนกระวาย
ถึงอย่างนั้นก็พอจะเดาออกถึงเป้าหมายและจุดประสงค์ของคนเหล่านี้
ทัตสึยะพยายามจะยืนยันคำตอบนั้นแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร หนึ่งในนักบวชก็ตรงเข้ามาพร้อมหินใสสีประหลาดในมือ
“ได้โปรดวางมือลงบนแท่นด้วยครับ”
แม้จะไม่เข้าใจ และดูน่าสงสัยแบบสุดๆ แต่พอมองไปรอบๆ มันก็เป็นสถานการณ์ที่ยากจะปฏิเสธ แม้จะลังเลแต่บางสิ่งในหัวมันบอกว่าไม่เป็นไร ถึงจะวางมือลงไปก็คงจะไม่เกิดเรื่องร้ายอะไร
วินาทีที่ได้สัมผัสกับวัตถุตรงหน้าความประหลาดใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
แสงสีขาวใสพวยพุ่งออกมาจนเด็กหนุ่มเผลอยกมือขึ้นบดบังสายตาโดยไม่รู้ตัว
[พรที่ได้รับ ‘เนตรแห่งความจริง’ ‘เข้าใจทุกสรรพสิ่ง’]
สิ่งนั้นดังขึ้นในหัวคล้ายเสียงแต่ไม่ใช่ มันราวกับเป็นข้อมูลที่ส่งผ่านเข้ามาโดยตรงสู่สมองของทัตสึยะ เมื่อรับรู้ถึงสิ่งนั้นเขาจึงหลับตาลงก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้ข้อมูลเหล่านั้นไหลผ่านเข้ามา
[‘เนตรแห่งความจริง’ มองผ่านสิ่งต่างๆ และมอบความจริงทั้งมวลให้แก่ผู้ใช้ เงื่อนไข การมองเห็น]
[‘เข้าใจทุกสรรพสิ่ง’ มอบความเข้าใจต่อสิ่งทั้งมวลให้แก่ผู้ใช้ เงื่อนไข การมองเห็น]
“คงไม่ได้ล้อเล่นสินะ”
แม้หินก้อนนั้นจะส่องแสง แต่เหล่านักบวชที่ได้เห็นต่างพากันสับสนและมึนงง พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่แสดงสีหน้าราวกับจะบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดปกติ
ณ ตอนนั้นทัตสึยะไม่ได้รู้ความหมายของสีที่เปล่งออกมา แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็เข้าใจ
“อ่อนแอเกินไป”
นั่นเป็นคำพูดจากปากชายวัยกลางคนที่อยู่เบื้องหน้า
หลังจากที่ถูกวาร์ปมายังห้องโถงประหลาด เขาก็ถูกพาออกไปยังอีกห้องที่อยู่ไม่ไกล
ที่นั่นเรียบหรูของตกแต่งภายในไม่ว่าจะชิ้นไหนก็เปล่งประกายราวกระจกแก้ว และภาพตรงหน้าที่เห็นหลังเดินผ่านพรมยาวคือชายร่างท้วมสวมผ้าคลุมสีแดงเลือด เหนือหัวนั้นมีมงกุฎสีทองประดับอยู่
เหนือสิ่งอื่นใด ชายคนนั้นคือต้นตอของเสียงที่ทัตสึยะได้ยินก่อนหน้า เขาพูดออกมาเช่นนั้นหลังได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากปากของหนึ่งในนักบวช
สีหน้าของเด็กหนุ่มหลังได้ยินคำพูดนั้นพลันซีดเผือด คำถามในหัวถูกพัดปลิวไปในชั่วพริบตา
“ถ้ามีพลังเวทแค่นี้จะเอาไปสู้จริงได้ยังไงกัน รีบไปอัญเชิญคนใหม่มาซะ”
องค์ราชาร่างท้วมกล่าวอย่างเย็นชาแม้จะเห็นทัตสึยะยืนอยู่หน้า
“อะไรนะ”
ชั่ววินาทีที่ได้ยินคำพูดนั้นเด็กหนุ่มถึงได้เข้าใจ ดูเหมือนเจ้าแผ่นหินและแสงสีขาวที่ได้สัมผัสจะเปรียบเสมือนเครื่องมือวัดค่าคุณสมบัติบางอย่าง
แม้จะไม่รู้กฎเกณฑ์ของเจ้าหินนั้นมากนัก แต่ฟังจากคำพูดขององค์ราชาแล้วคงจะพอเดาได้ไม่ยากว่าแสงสีขาวของทัตสึยะนั้นไม่ต่างจากไอเทมเกลือที่เปิดออกมาจากตู้กาชา
“ทรงสงบพระทัยลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยังไงเขาก็เป็นคนจากต่างโลก ถึงพลังเวทจะอ่อนแอ แต่เขาอาจจะมีพรที่เป็นประโยชน์อยู่ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
พอได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าข้อมูลที่แล่นผ่านหัวในตอนนั้นมีแค่เขาที่ได้รับ
นักบวชคนดังกล่าวหันมาสบตาทัตสึยะหลังพูดจบ สีหน้าของเขามันราวกับกำลังถามว่า “แล้วพรของเจ้าล่ะ มันคืออะไร”
ถึงจะไม่ค่อยรู้ก็ตามว่าสิ่งที่เรียกว่าพรมันคืออะไร หากว่ามันเป็นทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ก็คงมีแต่ต้องพูดออกเท่านั้น——
วินาทีที่เปิดปากกำลังจะเปล่งเสียง ความคิดในหัวมันหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
แต่แล้วเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นในหัวอย่างกะทันหัน
[อย่าพูดออกไปเด็ดขาด]
“เสียงนั้น…อีกแล้ว”
[อย่าได้เอ่ยปากเผยไพ่ในมือ]
“แล้วทำไมชั้นต้องเชื่อด้วยล่ะ?”
[มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเลือกของเจ้า]
สิ้นประโยคเสียงนั้นก็หายไปอีกครั้ง
แม้จะเป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำแต่มันกลับสะกดความคิดของทัตสึยะไปชั่วขณะ
(ก็จริงอย่างที่เจ้าเสียงนั้นบอก แต่ถ้าโกหกแล้วถูกจับได้ล่ะ?)
“เป็นอะไรไป แผ่นหินน่าจะบอกเจ้าแล้วนี่ว่าได้รับพรอะไรมา”
นักบวชกล่าวแทรกขึ้นมาเช่นนั้น ขณะที่ทัตสึยะกำลังพึมพำคำพูดประหลาด
“คงไม่มีทางเลือก”
เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปมาพร้อมรวบรวมความคิดในหัวก่อนจะตัดสินใจพูดออกไปแม้จะยังคงมีความลังเลหลงเหลืออยู่ก็ตาม
“เออ…ขะ เข้าใจภาษาทั้งปวงกับดวงตาที่มองเห็นได้ราวราชาวิหค…นั่นแหละพรของฉัน”
“โอ้ว ดวงตาแห่งราชาวิหค”
“อาจจะเป็นประโยชน์กว่าที่คิดก็ได้นะ”
เหล่าบุคคลในห้องโถงต่างส่งเสียงซุบซิบถึงพลังปลอมๆ ที่ทัตสึยะเพิ่งคิดขึ้น พอมองดูคนเหล่านั้นมันก็ทำให้เขาเผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
(ดูเหมือนจะได้ผลแฮะ คนพวกนี้เชื่อคนง่ายชะมัด ว่าแต่มันมีจริงเหรอไอ้ราชาวิหคอะไรนั่น)
ขณะที่ยิ้มแห้ง พลางมองดูคนที่อาจจะไม่เชื่ออย่างระวังนั้น ทัตสึยะก็นึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดไปก่อนหน้านี้
“แบบนี้คงเรียกได้ว่าใช้โชคหมดไปแล้วจริงๆ สินะ”