“โห นี่รถใหม่เหรอเนี่ย?”
คุณโคซากุระพูดขึ้นมาตอนที่พวกเราเดินออกมาข้างนอก
“ใช่ครับ เมอร์เซเดส AMG”
“S-Class เลยนี่นา? ทำเงินเป็นล่ำเป็นสันน่าดูเลยนะ”
“เป็นรถบริษัทน่ะครับ”
“แต่มันก็ตรงรสนิยมของนายเลยนี่ แถมมาที่นี่โดยไม่มีคนขับรถด้วย”
การแลกเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างคุณโคซากุระกับคุณมิงิวะดูแปลกมากๆ เลย รู้ได้เลยล่ะว่าทั้ง 2 คนรู้จักกันมานานซักพักนึงแล้วแน่ๆ แล้วจู่ๆ ก็มีข้อสงสัยอย่างนึงแวบเข้ามาในหัวพอดี
ถ้าเกิด กลุ่มวิจัย DS ที่ว่านั่นมันคือลัทธิล่ะก็ แสดงว่าบางที คุณโคซากุระที่สนิทกับคุณมิงิวะก็อาจจะเป็นหนึ่งในสาวกก็ได้…?
ไม่หรอก ไม่มีทาง ฉันส่ายหัวไปมา พยายามปัดความกลัวที่ไร้เหตุผลออกไป
มันผ่านมายังไม่ถึง 3 เดือนเลยนับตั้งแต่ที่ได้เจอกับคุณโคซากุระครั้งแรก แต่ฉันก็ไม่เคยสัมผัสถึงบรรยากาศความกระสับกระสายที่น่าสับสนอันเป็นเอกลักษณ์ของพวกลัทธิจากคนที่อารมณ์เสียตลอดเวลาอย่างเธอได้เลยซักครั้ง
พอฉันรู้สึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยากจะเชื่อในตัวของคุณโคซากุระ ฉันก็งงๆ อยู่เหมือนกัน ในช่วงมัธยมของฉันเนี่ย แค่ความเป็นไปได้นิดๆ หน่อยๆ มันก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันทิ้งระยะห่างออกมาแล้วนะ
คุณมิงิวะก้มลงไปหาคุณโคซากุระแล้วก็ยิ้มออกมา
“ผมไม่คิดว่าโอกาสแบบนี้จะมีบ่อยๆ อยากจะลองขับมันดูหน่อยมั้ยครับ?”
“แน่ใจเหรอ?”
“เรากำลังพูดถึงการขับรถของคุณนะครับ แน่นอนอยู่แล้วว่าผมเชื่อฝีมือคุณ”
คุณมิงิวะยื่นสมาร์ทคีย์ไปที่รถเพื่อปลดล็อกประตู ก่อนจะยื่นกุญแจไปให้คุณโคซากุระ เธอเดินวนไปตรงที่นั่งคนขับ แล้วก็เข้ารถไปอย่างดี๊ด๊าเลย
“เชิญพวกท่าน 2 คนขึ้นรถด้วยนะครับ”
คุณมิงิวะเร่งให้พวกเราขึ้นรถ และนั่งกันที่เบาะหลัง เบาะที่นั่งยังเป็นสีขาวจั๊วะ รู้สึกได้ถึงความแพงจนกลัวเลยแฮะแบบนี้ ขนาดที่วางแก้วระหว่างเบาะซ้ายกับเบาะขวายังเห็นได้ถึงประกายของความร่ำรวยแผ่ออกมาเลย
“ว้าว นี่มันสุดยอดไปเลยนี่นา นี่ โคซากุระ คิดว่ารถคันนี้ราคาประมาณเท่าไหร่เหรอ?”
โทริโกะถามขึ้นมาในขณะที่มือก็จับไปทั่วๆ
“อืม น่าจะซัก 20 ล้านเยน (TN: ~500,000 บาท ไม่รวมภาษี) ได้อยู่นะ?”
“ย- ยี่สิบ…”
ฉันเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อก ส่วนโทริโกะก็เริ่มหัวเราะออกมา
“ถ้าเราเอาของแปลกปลอมจากโลกเบื้องหลังกลับมา ให้ได้ซัก 20 ชิ้นเนี่ย พวกเราก็ซื้อได้คันนึงแล้วนะ!”
“…โทริโกะเนี่ย มองโลกในแง่ดีจังเลยนะ”
คุณมิงิวะเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารเข้ามานั่ง แล้วก็ปิดประตู พอเขาหันหลังมาดูที่พวกเราผ่านเบาะที่นั่งมา เขาก็มองดูที่เป้ใบใหญ่ 2 ใบที่พวกเราแบกเอาไว้อยู่
“จะเอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่กระโปรงท้ายรถก็ได้นะครับ?”
“พวกเราไม่มีปัญหาค่ะ”
ฉันบอก โทริโกะเองก็พยักหน้าตอบไปเหมือนกัน เป้ 2 ใบนี้มีอุปกรณ์ทุกอย่างที่เราไม่ได้ทิ้งเอาไว้ที่ AP-1 ก่อนหน้านี้ แล้วก็เสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนด้วย เป็นอุปกรณ์สำหรับการออกเดินทางเต็มชุดเลย―รวมทั้งมาคารอฟกับไรเฟิลจู่โจมที่แยกส่วนเอาไว้ด้วย
“คาดเข็มขัดกันแล้วนะ? งั้นก็ไปกันเลย”
คุณโคซากุระพูด เบาะของเธอเลื่อนขึ้นไปข้างหน้าสุดๆ เลย การขับรถต้องลำบากสำหรับร่างเล็กๆ ของเธอมากแน่ๆ แต่เธอก็ดูเหมือนกำลังสนุกอยู่ไม่เหมือนกับทุกทีเลยนะ
พอเครื่องยนต์ถูกสตาร์ท ฉันก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นที่น่าประทับใจผ่านมาทางเบาะรองก้นได้เลย
“อื้ม”
คุณโคซากุระร้องเสียงแปลกๆ ออกมาในตอนที่เธอเหยียบเข้าไปที่คันเร่ง รถก็หมุนเหยียบหินกรวดออกไปจากสวน และเข้าสู่พื้นถนน ก่อนจะเริ่มขับต่อไปอย่างนิ่มนวล
“ถูกใจมั้ยครับ?”
“ไม่เลวเลยนะ”
จะบอกว่าความสัมพันธ์แบบนี้ว่ายังไงดีนะ? มันไม่ได้ดูเหมือนพวกเขาเคยคบกันมาก่อนหรืออะไรแบบนั้นเลยนะ มันรู้สึกเหมือนผู้ปกครองกับลูกหลาน ไม่ก็พี่ชายน้องสาวอะไรแบบนั้นมากกว่า
แต่ ลองมองในทางกลับกันแล้วนี่ บางทีความขี้โมโหของเธอที่มีอยู่ตลอดเวลานั้นอาจจะเพราะพวกเรา 2 คนไม่ได้สนิทกับเธอก็ได้นะ ระดับความเป็นเพื่อนที่ฉันเห็นอยู่นี่ก็คือระดับตามปกติของเธออะไรแบบนั้น…
คุณโคซากุระเป็นคนขับรถเก่งเลยนะ ก็สมควรแล้วที่เธอจะได้รับอนุญาตให้รับผิดชอบขับรถซีดานหรูราคา 20 ล้านน่ะ เสียงเครื่องยนต์ร้องฮัมไปในขณะที่คุณโคซากุระขับนำไปในถนนที่วุ่นวายของโตเกียว ฉันตกใจกับการเร่งความเร็วที่เธอทำได้ในตอนที่ถนนข้างหน้าเธอมันโล่ง แล้วไหนจะโอกาสที่เธอเร่งความเร็วได้อีก
เธอคึกสุดๆ ไปเลย การที่เธอไม่ได้ทำตัวง่วงซึมอย่างทุกทีแล้ว มันทำให้ฉันรู้สึกเป็นห่วงในอีกแง่นึงยังไงไม่รู้
“ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะว่าเธอจะรักรถขนาดนี้น่ะ”
ดูเหมือนว่าโทริโกะเองก็จะไม่เคยเห็นด้านนี้ของคุณโคซากุระเหมือนกันแฮะ
“ฉันไม่ได้ขับมาซักพักแล้วล่ะนะ… รถคันที่เคยมี ฉันก็ต้องปล่อยขายไปแล้วเหมือนกัน”
“ไหงงั้นล่ะ?”
“หือ? ขับรถให้ตัวเองคนเดียวมันน่าเบื่อจะตาย”
“ก่อนหน้านี้ เธอเคยขับรถอยู่กับใครด้วยงั้นเหรอ?”
ตอนที่โทริโกะถามคำถามนั้น ไฟก็เขียวพอดี จู่ๆ คุณโคซากุระก็เหยียบคันเร่งไปโดยไม่ตอบ ฉันกับโทริโกะก็หงายหลังมากระแทกกับเบาะพร้อมกับกรี๊ดออกมานิดๆ กันเลย
หลังจากนั่งรถกันมา 40 นาที พวกเราก็มาถึงตึกที่ติดกระจกเต็มตึกหลังนึงในย่านธุรกิจใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินทาเมอิเกะ-ซันโนะ สำหรับฉันแล้ว ที่นี่มันมีแต่ของแปลกตาทั้งนั้นเลย ภาพเดียวที่ฉันมีกับชื่อ ‘ซันโนะ’ (TN: 山王 : 山 [Yama] = ภูเขา, 王 [Oo] = ราชา) ที่แปลว่าราชันขุนเขาเนี่ยมันฟังดูแข็งแกร่งดีนะ แล้วก็ เพราะในชื่อมันมีคำว่า ‘ทาเมอิเกะ’ (TN: 溜池 = หนอง/บึง) อยู่ด้วย อาจจะสื่อถึงหนองน้ำซักที่ก็ได้มั้ง
อีกฟากของถนนจากตึกนี้ มีเสาโทริอิหินอันใหญ่กับชุดบันไดหินกว้างอยู่ ดูเหมือนจะเป็นศาลเจ้าใหญ่เลยนะ ฉันเห็นซากต้นไม้ตายที่ยอดสุดของบันไดหินด้วย
รถของเราเข้าไปจอดในลานจอดรถชั้นใต้ดินของตึก คุณโคซากุระเอารถเข้าไปจอดที่มุมตรงที่มีรถหรูจอดเรียงกันเป็นตับเลย
พอพวกเราทุกคนออกมาจากรถแล้วเรียบร้อย คุณโคซากุระก็ล็อกรถแล้วก็คืนกุญแจให้คุณมิงิวะ
“นี่ เป็นรถที่ดีเลยนะ ขอบใจ”
“ถ้าคุณทำงานกับพวกเราที่นี่ ทางเรายินดีให้คุณขับได้ตามที่ต้องการเลยนะครับ”
“ขอบใจสำหรับข้อเสนอนะ แต่ฉันอยากจะออกจากบ้านตัวเองให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มากกว่า”
คุณมิงิวะพาเรามาขึ้นลิฟท์ตู้นึง จากแผงที่กำแพงนี่ ทุกชั้นของตึกถูกซื้อเอาไว้จากหน่วยงานอะไรซักอย่างที่ชื่อ [คันโต เนกซ์ IT ประกันอุบัติเหตุจากการทำงาน ศูนย์ตรวจสุขภาพทั่วไป] นี่แหละ
คุณมิงิวะเอากุญแจดอกนึงที่ติดอยู่กับโซ่ขึ้นมา เสียบมันที่รูตรงแผงควบคุมลิฟท์ และบิดมันออก แผงเหล็กที่ใต้แผงกดก็เปิดออกมา เป็นปุ่มตัวเลขเล็กๆ ที่แยกมาจากปุ่มกดลิฟท์ปกติ นิ้วของคุณมิงิวะไล่กดไปตามปุ่มพวกนั้นเร็วมากอย่างคุ้นเคย แล้วลิฟท์ก็เริ่มเลื่อนขึ้นไป หน้าจอ LCD ที่ปกติจะบอกเลขชั้นก็หายไปแล้ว ตอนที่ลิฟท์หยุดแล้วประตูเปิดออก ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าพวกเราขึ้นมาสูงกี่ชั้นกันแน่
พอพวกเราเดินออกจากตู้ลิฟท์ ก็มีพรมแดงปูรองอยู่ใต้เท้าของพวกเราด้วย ผนังด้านข้างของโถงทางเดินปูด้วยไม้ขัดเงา กับการทำไฟสไตล์โบราณก็ฉายแสงนวลๆ ไปทั่วโถง การตกแต่งภายในนี่มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นโรงแรมหรูๆ ที่มีประวัติศาสตร์เก่าแก่มากกว่าสถาบันวิจัยเยอะเลยนะ
พวกเราเดินไปตามพรม และอีกฝั่งนึงของประตูกระจกคู่ก็มีโต๊ะแผนกต้อนรับที่ไม่มีคนอยู่ตัวนึงตั้งอยู่ ในห้องรับรองนี่ก็ไม่มีใครเลยด้วยเหมือนกัน โต๊ะไม้หนักๆ ชุดเก้าอี้นวมหนัง มีกระทั่งที่เขี่ยบุหรี่โลหะเลย―รู้สึกถึงความไฮคลาสมาจากเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นได้เลยแฮะ
พวกเราเดินตามหลังคุณมิงิวะ เดินผ่านห้องรับรองต่อไป รู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยซักคน ถึงทุกอย่างจะถูกรักษาเอาไว้ในสภาพสมบูรณ์ดีก็เถอะ แต่ฉันเริ่มจะรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในซากตึกร้างยังไงไม่รู้
“เงียบฉี่เลยนะคะ เป็นช่วงหยุดหน้าร้อนหรืออะไรแบบนั้นเหรอ?”
“พวกเราไม่มีหยุดหน้าร้อนจริงๆ จังๆ หรอกนะครับ”
ฉันถามขึ้นแบบนั้น ก็ได้คำตอบจากคุณมิงิวะกลับมา
“พวกเราพยายามจะไม่ให้มีคนมาอยู่ทั่วๆ มากเกินไปน่ะครับ ถ้าผมทราบก่อนว่าพวกท่านทุกคนจะมาด้วยล่ะก็ ผมจะเตรียมคนเอาไว้รอต้อนรับที่ห้องรับรองกับพนักงานคนอื่นๆ คอยช่วยเหลือด้วย ต้องขออภัยในความบกพร่องของผมด้วยนะครับ”
“ม- ไม่เลยค่ะ…”
ตอนที่เขาพูดสุภาพมากๆ แบบนี้ มันทำให้ฉันอึ้งทุกทีเลย ยังกับว่าเป็นงานของเขาเลยนะ คนระดับสูงแบบนี้ก็มีอยู่จริงงั้นสินะเนี่ย
“ผมขอแจ้งให้ทราบก่อนเลยนะครับ ชั้นนี้แทบจะมีแต่ห้องประชุม ห้องสำนักงาน แล้วก็ห้องอื่นๆ ที่ใช้ทำงานธุรกิจ นักวิจัยและหน่วยแพทย์จำนวนเล็กน้อยของเราจะอยู่ที่ชั้นอื่นครับ”
“พยายามจะให้มีคนอยู่บริเวณนี้ไม่ให้มากเกินไปงั้นเหรอ ทำไมล่ะ?”
“มีหลายกรณีที่วัตถุจากอีกโลกหนึ่งสามารถส่งผลลัพธ์ในแง่ลบกับร่างกายและจิตใจของมนุษย์ได้… หรือว่า พวกคุณจะไม่เคยทราบกันมาก่อนเลยน่ะครับ?”
พอเขาตอบคำถามของโทริโกะมาแบบนั้น ฉันกับโทริโกะหันไปมองที่คุณโคซากุระกันเป็นตาเดียว
“มองอะไรกันแบบนั้นฮะ? ในฐานะคนที่รับฝากวัตถุแปลกปลอมพวกนั้นเอาไว้ ฉันเองก็ลงเรือลำเดียวกับพวกเธอเหมือนกันนั่นแหละน่า”
“คุณก็น่าจะบอกอะไรซักหน่อยก็ได้นี่คะ?”
“เอาล่ะ ฟังนะ ก่อนที่พวกเธอจะมาเริ่มเป็นห่วงว่าพวกของขวัญทั้งหลายทั้งแหล่ที่พวกเธอขนกลับมามันจะอันตรายยังไงเนี่ย บางทีแบ่งสมองไปคิดทบทวนซักนิดก่อนดีมั้ยว่าพวกเธอไปทำอะไรมาก่อนหน้านั้นตั้งแต่แรกน่ะ การไปที่โลกเบื้องหลังตรงๆ เนี่ยมันส่งผลเสียกับทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเธอมากกว่ากันหลายขุมอยู่แล้ว”
“ม- มันก็จริงค่ะ แต่ว่า… คุณเองไม่ใช่เหรอคะที่บอกว่าจะซื้อของพวกนั้นจากเราน่ะ!”
“เพราะฉันคิดว่าทิ้งไว้กับพวกเธอมันจะอันตรายไงเล่า! แล้วดูสิ! ฉันอุตส่าห์ทำไปเพราะเป็นห่วงพวกเธอ แล้วพวกเธอก็เอาใหญ่แบบนี้น่ะ! ฉันไม่ใช่โรงรับจำนำหรือร้านขายของโบราณนะ โอเคมั้ย!?”
ตอนที่ฉันกับคุณโคซากุระเริ่มจะเถียงกัน คุณมิงิวะก็เข้ามาขัดเอาไว้
“เอาล่ะครับๆ… การที่พวกเราต้องการเก็บ UBL อาร์ติแฟกต์―วัตถุแปลกปลอมจาก ‘โลกเบื้องหลัง’ นั้นก็เป็นความจริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมได้ยินเรื่องการค้นพบของพวกท่าน ผมก็ถูกขอให้รับการติดต่อเมื่อพวกคุณได้พบสิ่งของชิ้นอื่นได้เสมอเลยครับ”
“แล้วพวกคุณเอาวัตถุพวกนั้นไปทำอะไรเหรอคะ? พวกมันสามารถใช้เป็นเบาะแสในการวิจัยศึกษาเกี่ยวกับโลกเบื้องหลังด้วยงั้นเหรอคะ?”
ฉันถามออกไปแบบนั้น แล้วสีหน้าของคุณมิงิวะก็ดูลำบากใจขึ้นมาเลย
“ก็จริงอยู่นะครับที่ว่านั่นคือสิ่งที่พวกเราคิดในตอนแรก ในแง่แนวคิดแล้ว เรื่องนั้นก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทว่า ในความเป็นจริงแล้วนั้น…”
คำพูดของคุณมิงิวะขาดไปกลางคัน เหมือนว่าเขาจะคิดใหม่อีกที แล้วก็เงียบไป คุณโคซากุระก็โมโหขึ้นมาเลย
“นั่นคือเหตุผลที่เรามานี่ไง ให้ยัยพวกนี้ได้มาเห็นความเป็นจริงที่ว่านั่นน่ะ”
“คุณแน่ใจกับเรื่องนี้แล้วใช่มั้ยครับว่าพวกเธอจะไม่เป็นไร?”
คุณมิงิวะถามซ้ำอีกครั้ง คุณโคซากุระได้ยินแบบนั้นก็พยักหน้าตอบ
พวกเขาทั้งคู่มองหน้ากันอยู่พักนึง ไม่นาน คุณมิงิวะก็เหลือบตามองลงและพูดต่อ
“เข้าใจแล้วครับ ท่านคามิโคชิ ท่านนิชินะ―ผมจะให้พวกท่านได้ดูชั้นล่างนะครับ”
TN: ตอนหน้า ขอต้อนรับสู่กลุ่มวิจัย DS ที่แท้จริงครับ