อยู่ๆ ชายชราหลังค่อมที่เพิ่งถือโคมไฟขึ้นไปด้านบนเมื่อครู่ก็ปรากฏตัวด้านหลังหลินเมิ้งหยา
ทว่าใบหน้าบิดเบี้ยวของเขามิได้น่ากลัวเมื่ออยู่ท่ามกลางแสงไฟ
“ผู้อาวุโสตงฟางเล่า? กำลังพักผ่อนอยู่กระนั้นหรือ?”
หลินเมิ้งหยาเมินเฉยต่อทุกสิ่ง นางหันหน้ากลับมาถามเขา
ชายชราหลังค่อมกลับวางโคมไฟลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบมันเทศผิวดำเกรียมมาปอกเปลือกแล้วยัดใส่มือนาง
“เขาออกไปแล้ว ค่ำกว่านี้จึงจะกลับมา กินเถิด ยังร้อนอยู่เลยขอรับ”
หลินเมิ้งหยาผงกศีรษะลง บางทีการเจรจาอาจไม่เป็นผล ฉะนั้นตงฟางสวีจึงคิดว่ามันไม่ช่วยอะไร เขาจึงออกไปตามหาเอง
มันเทศร้อนกำลังพอดีเหมาะแก่การกิน หลินเมิ้งหยายิ้มเกรงใจ ก่อนจะลองกัดเข้าไปคำโต
รสชาติหอมหวานอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกระพุ้งแก้ม แม้แต่ลิ้นเองก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน
มันเทศร้อนๆ หนึ่งหัวเลิศรสกว่าอาหารราคาแพงที่นางเคยกินมากเป็นไหนๆ เมื่อได้เห็นท่าทางมีความสุขของหลินเมิ้งหยา ชายหลังค่อมจึงฉีกยิ้มกว้าง
ใช้ที่คีบหยิบมันเทศออกจากกองไฟอีกครั้ง หลังจากใช้ผ้าเช็ดจนสะอาด เขาจึงวางมันลงตรงถาดผลไม้ด้านหน้าหลินเมิ้งหยา
“พอแล้ว พอแล้ว อย่าได้ลำบากเลย จริงสิท่านลุง ข้ากินของของท่านแท้ๆ แต่ยังมิได้เอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านเลย”
แม้รูปลักษณ์ของชายหลังค่อมจะดูน่ากลัว แต่เขากลับเป็นคนละเอียดอ่อน
หลินเมิ้งหยาเผลอมองแขนทั้งสองข้างของชายหลังค่อมโดยมิได้ตั้งใจ
กระดูกตรงยาวงดงามผิดกับหน้าตา
ความสงสัยผุดขึ้นในหัวใจของหลินเมิ้งหยา เหตุใดท่านลุงคนนี้จึงมีแขนเรียวยาวสวยงามเช่นนี้กันนะ?
“ชื่อของข้า….มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าอายุมากกว่าเจ้าไม่กี่ปีเท่านั้น คุณชาย ในเมื่อท่านตงฟางไม่อยู่ เช่นนั้นข้าขอเล่านิทานให้ท่านฟังสักหนึ่งเรื่องได้หรือไม่”
อายุมากกว่านางไม่กี่ปี? หลินเมิ้งหยาลอบพิจารณาชายหลังค่อมอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าผิวหนังของเขาหาได้เหี่ยวย่นเสมือนคนแก่ไม่
ฟังจากเสียงแหบแห้งเคร่งขรึม ดูเหมือนชายคนนี้จะต้องเป็นคนมีอดีตฝังใจ
ชายหลังค่อมใช้ที่คีบถ่านเขี่ยไฟในเตาผิง ดวงตาทอดยาวไม่รู้ว่ากำลังมองที่ไหน บางทีอาจเพราะน้องชายคนนี้หาได้ชักสายตากลับหรือแสดงท่าทางดูแคลนตนเอง ฉะนั้นหัวใจที่เต็มไปด้วยรูพรุนของเขาจึงเสมือนได้รับการปลอบโยน
“คุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์คนหนึ่งเคยมีใบหน้าหล่อเหลาและชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวง แต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นดาบสองคม มันมิต่างอันใดจากยาพิษสำหรับเขา”
หลินเมิ้งหยายกมันเทศขึ้นกัด บางทีเรื่องเล่าเหล่านี้อาจเป็นของชายหลังค่อมตรงหน้า
“ครั้นเมื่อถึงวัยแต่งงาน พ่อแม่ของเขาทำการหมั้นหมายหญิงสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ แต่คุณชายคนนั้นกลับหยิ่งผยองไม่รู้ฟ้ารู้ดิน เขาอยากออกตามหาหญิงสาวที่ดีที่สุดมาเป็นคู่ครอง เขาคัดค้านการแต่งงานของพ่อแม่แล้วหลบหนีการแต่งงาน ต่อมาเขาเจอหญิงสาวใบหน้างดงามปานนางฟ้าจริง รอยยิ้มของนางงดงามตราตรึงใจ คุณชายชอบนางมากจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้หัวใจของนางมาครอบครอง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคืนแรกของการแต่งงานเขาจะได้รับรู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเคยมีความสัมพันธ์ลับกับเพื่อนรักของตนเองมาก่อน คุณชายโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาอยากกำจัดหญิงร้ายชายเลวคู่นี้ให้สิ้นซาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงสาวจะมีความโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่รู้ว่านางใช้วิธีใดจึงทำให้คุณชายคนนั้นกลายเป็นคนพิกลพิการ นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณชายคนนั้นมิกล้ากลับไปสู้หน้าพ่อแม่ของตนเอง เขาอยากฆ่าตัวตายให้ชีวิตอันแสนทุกข์ทรมานของตนเองจบลง”
ชายหลังค่อมเหยียดยิ้มขมขื่นเล่าเรื่องของตนเองจนจบ ก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวที่เคยฝังลึกเอาไว้ในใจจะถูกเปิดเผยออกมาในค่ำคืนนี้
ด้านข้างไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ชายหลังค่อมคิดว่าคุณชายคนนั้นจะต้องเดาออกแล้วและคงกำลังดูแคลนเขาที่กล่าวว่าตนเองเคยมีใบหน้าหล่อเหลามาก่อนอย่างแน่นอน
หันหน้ากลับไปคิดอยากจะสั่งสอนเขาสักเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคุณชายคนนั้นจะลืมตาโตจ้องมองตัวเองนิ่ง
ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกาย ทั้งสงสัยและ….ดีใจ?
“ท่านคือพี่ชายสกุลเซียวใช่หรือไม่?”
กำมันเทศในมือแน่น หลินเมิ้งหยารู้สึกตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงเข้าไปจับมือของอีกฝ่ายแน่น
แสงในดวงตาเปล่งประกาย ชายหลังค่อมคิดอยากชักมือกลับ เขาไม่อยากทำให้ชื่อเสียงเรียงนามในอดีตของตนเองต้องแปดเปื้อน
“คุณชาย ท่านจำคนผิดแล้ว ข้าเพียงแค่ได้ยินเรื่องเล่าเหล่านี้มาจากแขกท่านอื่น ท่านอย่าได้เข้าใจผิดเลย”
หลินเมิ้งหยากลับเอ่ยขัดเขา คราวนี้นางเอ่ยเสียงมั่นใจมากกว่าเดิม
“ไม่ผิดแน่ ท่านคือพี่ชายสกุลเซียว ท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ? ข้าคือเด็กสติฟั่นเฟือนคนนั้นอย่างไรเล่า พี่ชายของข้าคือหลินหนานเซิง เขาเป็นเพื่อนรักของท่าน! เอ๋? พี่ชาย ข้าคือเด็กสาวสติฟั่นเฟือนสกุลหลินไงล่ะ จำข้าได้หรือไม่?”
ราวกับมีสายฟ้าแล่นปราดทั่วร่างทันทีที่ได้ยินชื่อหลินหนานเซิง
ร่างกายแข็งทื่ออยู่กับที่ ทว่ามือของเขากลับสั่นไม่หยุด
หันหน้ากลับมามองชายหนุ่มหน้าหวานในชุดผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาจ้องมองอยู่หลายครา
ใช่แล้ว โครงหน้า ดวงตา ขนคิ้วล้วนคล้ายกับเพื่อนรักของเขาทั้งสิ้น
แต่ว่า….
หลินเมิ้งหยาคิดว่าอีกฝ่ายยังไม่เชื่อ จึงเอื้อมมือไปดึงปิ่นเงินบนศีรษะออก ผมสีดำขลับทิ้งตัวลงบนแผ่นหลัง
เส้นผมสีดำดั่งขนอีกาขับให้ใบหน้าสีขาวราวหิมะงดงามดั่งหยก
ดวงตาเปล่งประกายแวววาวทำให้คนตรงหน้ากลับมามีท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนหญิงสาวทั่วไปอีกครั้ง
แม้จะสวมใส่ชุดของบุรุษ แต่นางเป็นสตรีอย่างแน่นอน
“ทำไมเจ้าถึง…”
เวลาเพียงชั่วพริบตา เด็กสาวที่เคยโง่เขลาสติฟั่นเฟือนกลับกลายเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามดั่งเทพธิดา
ใบหน้าของนางในความทรงจำเริ่มเด่นชัดมากขึ้น
“เพราะว่าข้า….”
หลินเมิ้งหยาคิดจะอธิบาย ทว่าประตูโรงเตี๊ยมกลับถูกเปิดออกกะทันหัน
ทั้งสองหันหน้าไปทางประตูพร้อมกัน เจ้าของร่างสูงในชุดดำที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใดกำลังขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นขณะมองทั้งคู่
“เพราะนางแต่งงานกับข้าและเป็นภรรยาของข้า”
ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง หลังจากเขาปรากฏตัวออกมา หลินเมิ้งหยาลืมตาอ้าปากค้าง ก่อนจะปล่อยมือของเซียวยี่แล้วสาวเท้าฉับๆ กึ่งวิ่งอย่างรวดเร็วมาหยุดยืนตรงหน้าเขา
หัวใจเสมือนถูกปลอบประโลมเล็กน้อย
“หลงเทียนอวี้ เหตุใดพระองค์มาอยู่ที่นี่? มิใช่ว่าท่านไปทำงานหรอกหรือ?”
ดวงตาสีดำขลับจ้องมองเขาเพียงคนเดียว
มือหนายื่นออกไปดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอดของตนเอง
ไม่ได้เจอกันเพียงสองสามวัน แต่นางดูผอมลงอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเลี้ยงเท่าไรก็ไม่เคยอ้วน ซ้ำออกจากบ้านมาเพียงไม่กี่วัน สิ่งที่เพียรพยายามกินเข้าไปตลอดทั้งปีพลันย่อยสลายหายไปหมด
หลินเมิ้งหยาไม่เร่งเร้าหรือขัดขืน นางกำลังรอให้เขาพูดความจริง
สายตาของเซียวยี่เลื่อนลอย
เหตุใดเขาจึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าเด็กสาวสติฟั่นเฟือนคนนั้นจะงดงามถึงเพียงนี้
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังได้แต่งงานกับบุรุษเก่งกาจมากความสามารถ
ความขมขื่นในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าเขากำลังยิ้มเยาะตัวเองที่ไม่รู้จักเสียดายสิ่งที่ตนเองเคยมี
ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาถามเช่นไร หลงเทียนอวี้ก็ไม่ตอบ
โชคดีที่นางรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่โอกาสเหมาะที่จะเค้นถาม หลังจากถลึงตาใส่เขาอยู่หครั้งหนึ่ง นางจึงจูงมือเขามายืนตรงหน้าเซียวยี่
“พี่ยี่ เขา…ท่านเองก็คงรู้จัก ฮึ ตอนที่พี่เซียวยังอยู่ในเมืองหลวง ชื่อเสียงของท่านเลื่องลือเสียยิ่งกว่าใครบางคนอีก”
หลินเมิ้งหยาขมวดคิ้วเบะปาก ก่อนจะหยิบเกาลัดมาปอกเปลือก
หลงเทียนอวี้เห็นท่าทางงุ่มง่ามของนาง เขาจึงแย่งเกาลัดลูกนั้นมาปอกด้วยตนเอง หลังจากปอกเปลือกเรียบร้อยแล้วจึงป้อนเข้าปากหลินเมิ้งหยา
ท่าทางการแสดงความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ของทั้งคู่ทำให้เซียวยี่ซึ่งกำลังมองดูอยู่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
หากวันนั้นเขามิดึงดันทำอะไรโง่ๆ แล้วล่ะก็ วันนี้เขาคงไม่เป็นเช่นนี้
เขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านอ๋องอวี้ ขณะคิดจะถวายคำนับ อีกฝ่ายกลับร้องห้ามเอาไว้
หลงเทียนอวี้ปรายตาไปทางหลินเมิ้งหยา ราวกับต้องการจะบอกเขาว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง
“นั่งเถิด ล้วนเป็นคนเคยรู้จักกันทั้งนั้น อย่าได้มีพิธีรีตองอันใดเลย”
หลงเทียนอวี้ทรุดตัวลงนั่งก่อน เซียวยี่จึงนั่งลงตาม
บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ค่อนข้างน่าอึดอัด ทว่าหลินเมิ้งหยากลับนั่งลิ้มรสชาติหวานหอมของมันฝรั่งโดยไม่สนใจพวกเขา
“พี่ยี่ ท่านบอกว่าผู้หญิงคนนั้นทำให้ท่านเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่ข้ามองไม่ออกว่าท่านได้รับบาดเจ็บที่ภายนอก หากท่านไม่ถือสา ท่านเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
หลงเทียนอวี้ชำเลืองมองหญิงสาวข้างกายที่กำลังกินอย่างออกรสออกชาติ
แค่มันฝรั่งหัวเดียว อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?
เขาไม่สนใจเหตุการณ์ภายนอกไปชั่วขณะ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าครู่ต่อมาหลินเมิ้งหยาจะดึงแขนเสื้อของเขาไปเช็ดปาก
หลงเทียนอวี้รู้สึกอึ้งทึ่ง เหตุใดจึงหยาบคายเช่นนี้นะ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ห้ามและปล่อยให้หลินเมิ้งหยาเช็ดมือลงบนชุดของเขาอย่างอิสระ
เซียวยี่หัวเราะเยาะตัวเอง ก่อนจะเอ่ย
“จะถือสาได้อย่างไร หลังจากที่ข้าได้เห็นพวกเขาในคราวนั้น ความโกรธกัดกินหัวใจของข้า ผลปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นสาปแช่งข้า อยู่ๆ ข้าก็รู้สึกปวดท้องอย่างมากจนสลบไปในที่สุด เมื่อตื่นมาอีกครั้งข้าก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว”
สาปแช่ง? ปวดท้อง? นี่เป็นครั้งแรกที่เคยได้ยิน
ต่อมความสงสัยของคนเป็นหมอเริ่มทำงาน
หลินเมิ้งหยาเช็ดมือจนสะอาด ริมฝีปากหยักยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
“คือว่า…ข้ามีความรู้ทางการแพทย์นิดหน่อย หากท่านเชื่อใจข้า ข้าขอตรวจชีพจรของท่านหน่อยได้หรือไม่?”
มองท่าทางจริงใจของฝ่ายตรงข้าม นานมากแล้วที่เซียวยี่มิได้รับความอบอุ่นจากผู้อื่น หัวใจของเขาจึงอบอุ่นตาม
ยื่นแขนของตนเองออกไปวางตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
“ขอบคุณเจ้าค่ะ”
หลินเมิ้งหยารีบจับชีพจรในทันทีโดยที่นางมิทันสังเกตเห็นสีหน้าบึ้งตึงของหลงเทียนอวี้ยามมือของนางสัมผัสกับเนื้อหนังของชายอื่น
แต่นางเป็นหมอ ฉะนั้นการตรวจชีพจรจึงเป็นเรื่องธรรมดา