บทที่ 960 ปกป้องกันและกัน
บทที่ 960 ปกป้องกันและกัน
“นี่… นี่ไม่ต้องกระมัง! ข้าไม่ได้เจรจาเก่งเพียงนั้น” คุณชายหัวกล่าวเสียงแข็ง
“จะเป็นไปได้อย่างไร? ข้าเห็นว่าท่านมีคารมคมคายทีเดียว”ลู่ฉาวอวี่เอ่ย “อย่างไรแต่ละเผ่าก็จำต้องย้ายถิ่นฐานไปเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงจะรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างแคว้นไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามนี้อาณาจักรฮุ่ยและอาณาจักรเฟิ่งหลินยึดครองอาณาจักรเหลียงมาได้แล้ว ต้องแบ่งดินแดนของอาณาจักรเหลียงออกเป็นสองส่วน จนกระทั่งบัดนี้ชาวอาณาจักรเหลียงผู้ที่ไม่ได้มีท่าทีใด ๆ ยังคงคิดถึงแผ่นดินเกิดของพวกเขา นี่ยิ่งสำคัญที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้ ในเมื่อคุณชายหัวกล่าวว่าแม่นางสิงเป็นกุลสตรีสกุลใหญ่ ไม่อาจคบค้าสมาคมกับคนป่าเถื่อนเหล่านั้นได้ เช่นนั้นหน้าที่สำคัญอย่างการรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างแคว้นย่อมต้องตกอยู่ในมือบุรุษเราแล้ว”
“อันที่จริง… อันที่จริงสตรีก็รักษาสายสัมพันธ์ระหว่างแคว้นได้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เป็นข้าที่พูดผิดไป” คุณชายหัวเฉลียวฉลาดเช่นนี้ จะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าลู่ฉาวอวี่ไม่พอใจกับถ้อยคำที่เขาเพิ่งกล่าว จึงรีบถอนคำพูดโดยเร็ว
“ทุกวันนี้ฝ่าบาทตรัสไว้ เรื่องที่บุรุษทำได้ สตรีก็ทำได้เช่นกัน ในเมืองถงหยาง เมืองฮู่เป่ย และเมืองหลูโจว สตรีไม่เพียงแต่ทำการค้าเท่านั้น ยังได้เล่าเรียนในสถานศึกษาสตรี คุณชายหัวรั้งอยู่แต่เมืองหลวงมาโดยตลอด กล่าวกันตามเหตุผล เมืองหลวงควรเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงแว่นแคว้น เป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดทั้งพัฒนาที่สุด คนที่นี่ยิ่งมีความคิดเห็นแตกต่างออกไป จะเลียนแบบซิ่วไฉเน่าเฟะเหล่านั้นที่รู้จักเพียงดูดเท้าสตรีได้อย่างไร?”
คุณชายหัวคับข้องใจแต่กลับไม่กล้าเอ่ยแม้เพียงคำเดียว ทำได้เพียงยอมรับว่าตนจิตใจคับแคบด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ
สิงเจียเวยกระวนกระวายเสียจนดึงสิงเจียซือเข้ามาอยู่ข้าง ๆ
“เจ้าพูดให้น้อยลงหน่อยเถอะ”
สิงเจียซือดึงแขนเสื้อของตนกลับ แล้วจิบชาด้วยสีหน้าถมึงทึง
หยางเซียงจวินหันไปมองสิงเจียซือ จากนั้นจึงหันไปมองลู่ฉาวอวี่ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีไม่มั่นใจ “ใต้เท้าลู่รู้จักน้องหญิงท่านนี้หรือ?”
“หยางเซียงจวินหมายความว่าข้ากำลังพูดแทนนางหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หรือที่ข้ากล่าวไม่ใช่ความจริง?”
“แน่นอน คำพูดของใต้เท้าลู่ย่อมเป็นความจริง” หยางเซียงจวินเอ่ย
“มารดาข้าก็เป็นสตรีเช่นกัน อีกทั้งนางไม่ใช่สตรีธรรมดา ข้าไม่ชอบได้ยินผู้อื่นกล่าวว่าสตรีในห้องหอควรเป็นอย่างไร? สตรีในห้องหอจะเป็นอย่างไร นั่นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกนางเอง บางคนชอบอยู่ในห้องหอเย็บปักถักร้อย บางคนชอบห้อม้าฆ่าฟันศัตรู แต่นั่นก็ควรเป็นอย่างที่นางพึงพอใจ ไม่ใช่ถูกผู้อื่นล่ามโซ่เอาไว้”
“ใต้เท้าลู่กล่าวถูกต้อง” คนอื่น ๆ ล้วนเห็นด้วย
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ฟ่านซู่เอ่ยขึ้นมา “ได้ยินมาว่าเซียงจวินมีนักดนตรีฝีมือไม่เลวหลายคน ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีโอกาสได้ดูพวกเขาบรรเลงหรือไม่?”
“แน่นอน ข้าจะจัดการประเดี๋ยวนี้” หยางเซียงจวินตอบกลับ แล้วสั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ไปเรียกนักดนตรีมาทันที
ฟ่านซู่กับหยางเซียงจวินนั่งอยู่ใกล้กันเป็นอย่างยิ่ง
ฟ่านซู่ลดเสียงลงแล้วกล่าว “หากท่านอยากอยู่กับเขาตามลำพัง ข้าจะมอบโอกาสนั้นให้ท่าน ท่านต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เล่า”
“เพียงแต่… ใต้เท้าลู่น่าเกรงขามยิ่ง ข้ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย” หยางเซียงจวินกล่าว
“คราวนี้เขาโดนข้าหลอกมา ไม่รู้ว่าตอนนี้โกรธข้าเพียงใดแล้ว หากไม่ฉวยโอกาสไว้ ที่ข้าทำมาไม่สูญเปล่าหรือ? ท่านคิดให้กระจ่าง หากพลาดโอกาสนี้ โอกาสหน้าย่อมไม่มีแล้ว ใต้เท้าลู่น้อยไม่ได้นัดหมายได้ง่าย ๆ”
นักดนตรีเตรียมตัวพร้อมแล้ว
เสียงบทเพลงไพเราะดังก้องกังวานไปทั่วทั้งห้องโดยสาร
ลู่ฉาวอวี่รู้สึกหงุดหงิดฟ่านซู่อยู่บ้าง อย่างไรเสียก็เพราะฟ่านซู่บอกว่ามีคดีสำคัญจึงต้องมาหาเขา ผลที่ได้คือ…
เพียงแต่ เหตุใดแม่นางน้อยสกุลสิงผู้นั้นมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?
ลู่ฉาวอวี่ดื่มสุรา เฝ้ามองแม่นางน้อยจิบชาไปถ้วยแล้วถ้วยเล่า ผ่านไปไม่นาน นางก็วิ่งไปเข้าห้องสุขาแล้ว
เขาหัวเราะเบา ๆ ส่ายหน้าเล็กน้อย
ถึงแม้หลายปีมานี้นางจะเปลี่ยนไปมาก นิสัยของนางนิ่งสุขุมยิ่งกว่าเดิม ทว่ามีอย่างหนึ่งยังคงเป็นเช่นเดิมเสมอ
คือหากนางได้ฟังเพลงจะเผลอหลับไป
เพื่อไม่ให้เผลอหลับไป นางจำต้องกินหรือไม่ก็ดื่ม หากเป็นอาหารก็แล้วไปเถิด อย่างเลวร้ายก็เพียงอดกลั้นไว้ แต่พอเป็นเครื่องดื่ม นางกลับต้องวิ่งไปห้องสุขาเสียหลายครั้งอยู่เรื่อย
“ข้าจะออกไปสูดอากาศ” ลู่ฉาวอวี่กล่าวพลางลุกขึ้นยืน
ฟ่านซู่ขยิบตาให้หยางเซียงจวิน ชี้ว่านี่เป็นโอกาสที่ดี
หยางเซียงจวินเห็นลู่ฉาวอวี่ออกไปก็รวบรวมความกล้าแล้วกล่าวกับทุกคน “พวกท่านเล่นกันไปก่อน ข้าขอตัวประเดี๋ยว”
“พี่หญิงเซียงจวิน ต้องให้ข้า…” ก่อนที่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นจะทันได้กล่าวจบ สตรีที่อยู่ข้าง ๆ ก็ดึงแขนของนางไว้
โง่หรือไร?
หยางเซียงจวินจ้องลู่ฉาวอวี่ไม่วางตาเช่นนั้น เห็นได้ว่าดี่มสุราไม่ได้มุ่งเสพสุรา
หลี่เยียนหรานเม้มริมฝีปาก แววตาเต็มไปด้วยความดูถูก
ขอเพียงลู่ฉาวอวี่ยังอยู่ตรงนี้ คุณหนูผู้สูงศักดิ์เหล่านั้นย่อมไม่ชายตาแลผู้ใด
แน่นอนว่านางก็เช่นกัน
อย่างไรเสีย นางก็สนใจสกุลลู่และยังมีพระชายาลู่อีก
นางอดคิดไม่ได้ว่า หากนางแต่งให้ลู่ฉาวอวี่ได้ นั่นเท่ากับว่านางจะเป็นสะใภ้ของพระชายาลู่ เช่นนี้ก็นับว่าเป็นบุตรสาวครึ่งหนึ่งแล้วกระมัง?
หลี่เยียนหรานแม้กระทั่งคิดไปถึงว่าหากตนแต่งให้ลู่ฉาวอวี่ พอลู่จื่อชิงกลับมาเห็นฉากนี้ก็ต้องเรียกนางว่าพี่สะใภ้
หากนางกลายเป็นพี่สะใภ้ของลู่จื่อชิง เช่นนั้นย่อมถือเป็นผู้อาวุโสแล้ว ลู่จื่อชิงก็ต้องเกรงอกเกรงใจนาง
สิงเจียซือดื่มชามากเกินไปจึงต้องไปยังห้องสุขาเพื่อจัดการธุระ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่นางออกมา สิงเจียเวยก็เดินตามหลังมาติด ๆ
“น้องห้า เมื่อครู่ไยเจ้าถึงได้กล่าวกับคุณชายหัวเช่นนั้น?” สิงเจียเวยเอ่ยถาม
สิงเจียซือมองดูอีกฝ่ายด้วยท่าทีไม่ยี่หระ “เขาไม่ได้เป็นฝ่ายทำให้ข้าอับอายก่อนหรือ? ข้าควรจะกล่าวเช่นไร?”
“คุณชายหัวเป็นญาติผู้พี่ของหยางเซียงจวิน เขามาจากสกุลเก่าแก่อันดับหนึ่งในด่านอวี้ไห่”
มารดาของหยางเซียงจวินเป็นบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลหัว เพียงสินเดิมที่สกุลหัวมอบให้ นางก็ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟู่ฟ่าได้แล้ว ในฐานะคุณชายคนโตของสกุลหัว ความมั่งคั่งของคุณชายหัวไม่ว่าผู้ใดล้วนจินตนาการได้
หากไม่ใช่เพราะลู่ฉาวอวี่เจิดจรัสเกินไป จนเมื่อเขาปรากฏตัวยามใด คุณหนูผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ชายตาแลบุรุษอื่น คุณชายหัวผู้นั้นย่อมเป็นตัวเลือกหมวดสามีที่ไม่เลว
ส่วนฟ่านซู่…
ถึงแม้จะฟังดูดีที่กล่าวว่าเป็นซื่อจื่ออี้อ๋อง ทว่าผู้ใดล้วนทราบว่าเลือดของเซวียนอ๋องไหลเวียนอยู่ในร่างกายเขา หากวันใดฝ่าบาทคิดจะสะสางบัญชีเก่าขึ้นมา นั่นไม่เท่ากับถูกลากไปพัวพันด้วยหรือ?
ดังนั้น จนกระทั่งถึงบัดนี้ ฟ่านซู่จึงยังไม่ได้หมั้นหมาย
“เขาเป็นคุณชายจากสกุลเก่าแก่อันดับหนึ่งแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า? ข้ารู้เพียงว่าเขาทำให้ข้าอับอาย ข้าย่อมไม่อาจเป็นท่อนไม้ปล่อยให้เขาเหยียดหยาม นอกจากนี้ ผู้ที่พูดมากกว่าเมื่อครู่เป็นใต้เท้าลู่ เหตุใดท่านไม่ไปกล่าวกับใต้เท้าลู่เล่า?”
“ข้าสนใจเพียงเจ้า ข้าพาเจ้ามาที่นี่ หากเจ้าทำให้หยางเซียงจวินและคุณชายหัวขุ่นเคืองเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นไม่ใช่ว่า…”
“ไม่ใช่อะไร?” สิงเจียซือเอ่ย “หรือท่านพาข้ามางานเลี้ยงวันนี้ เป็นเพราะคุณชายหัวผู้นั้น?”
“ไม่ใช่!”
“ท่านตอบเร็วถึงขนาดนี้ กินปูนร้อนท้องหรือ? ข้าพูดถูกใช่หรือไม่?”
“ข้าบอกว่าไม่” สิงเจียเวยเริ่มโกรธมากขึ้น “ข้าเห็นใจเจ้าที่ไม่ได้เข้าร่วมงานรวมตัวเช่นนี้มานานหลายปีแล้วจึงให้โอกาสเจ้าได้รู้จักผู้คนมากขึ้น ผู้ใดจะรู้ว่าเจ้ามาปรากฏตัวคราแรกยังทำให้คนขุ่นเคืองใจ อีกทั้งยังเป็นหยางเซียงจวินกับคุณชายหัว หากเจ้าสร้างปัญหาให้ข้ามากกว่านี้จนถูกพวกเขาเกลียดชัง ดูสิว่าข้าจะฟ้องเจ้าต่อหน้าท่านย่าอย่างไร”
“เช่นนั้นท่านก็กลับไปฟ้องเสียสิ อีกอย่าง ข้ามีความต้องการเร่งด่วนสามประการ รบกวนท่านหลีกทางด้วย”
“เหตุใดเจ้าถึงได้หยาบคายเช่นนี้” สิงเจียเวยเอ่ยไล่หลังนางมา
บนเรือ ลู่ฉาวอวี่กำลังหัวเราะเบา ๆ
ทว่าเมื่อเขาเห็นหยางเซียงจวินเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันหุบลง
————————————-