ตอนพิเศษ 38-2 พ่อลูกพบหน้า กำจัดเศษสวะ
มังกรมารน้อยเป่าไข่อสรพิษที่เพิ่งเป่ามากลับไป หลังจากนั้นมังกรมารน้อยก็มานอนอยู่ข้างกายหลิงจือ หลิงจือบาดเจ็บภายนอกสาหัสนัก นางจะต้องเจ็บแย่แน่ ทุกครั้งที่นางเจ็บตัว หลิงจือจะเป่าฟู่ๆ ให้นาง มังกรมารน้อยจึงตัดสินใจเป่าฟู่ๆ ให้หลิงจือบ้าง
มังกรมารน้อยอ้าปากกว้าง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว “ฟู่ๆ!”
ปรากฏว่าหลิงจือกลับถูกเป่าจนปลิวร่วงตกไปจากหน้าผา…
มังกรมารน้อย “…”
เมื่อหลิงจือฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็กลับมาอยู่บนถ้ำแล้ว แต่ร่างของนางเจ็บปวดมากกว่าเดิม นางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด
…
อีกด้านหนึ่งเจ้าสำนักสวี่ยังไม่รู้ว่าชิงสุ่ยเจินเหรินมาเยือนถึงสำนักแล้ว เขากำลังพาจีเสี่ยวซิวเดินทางไปรวมตัวกับประมุขเหลยที่ทางเข้าเทือกเขาหานปิง
ประมุขเหลยกับผู้พิทักษ์ใหญ่ตามหาน้องชายของผู้ฝึกตนมารตนนั้นพบแล้ว น้องชายของเขาถูกขังอยู่ในค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ค่ายกลหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าผู้ใดตั้งเอาไว้ ประมุขเหลยช่วยเขาออกมาสำเร็จ เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่เป็นอะไรมาก
ผู้ฝึกตนมารจ่ายค่าตอบแทนเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นก้อน แล้วพาน้องชายจากไปอย่างดีอกดีใจ
ประเดี๋ยวเจ้าสำนักสวี่ไปรับพวกประมุขเหลยเสร็จก็เดินทางกลับสำนักเชียนหลันได้แล้ว
ระหว่างทางไปรับพวกเขา เจ้าสำนักสวี่พยายามพูดคุยกับจีเสี่ยวซิว “…เป็นใบ้ไปแล้วหรือ อาจารย์ลุงกำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ เหตุใดเจ้าจึงมาโผล่ที่เทือกเขาหานปิงได้ เจ้าไปหามังกรเขียวน้อยที่ภูเขาด้านหลังกับเวยเวยไม่ใช่หรือ ผู้ใดพาเจ้ามา”
“เหอะ!” จีเสี่ยวซิวอายุสามขวบกอดอก หันหน้าหนีไม่สนใจเขา!
เจ้าสำนักสวี่หน้าบึ้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “นี่มันท่าทีอะไรกัน หืม ข้าคืออาจารย์ลุงของเจ้านะ! กล้าสะบัดหน้าใส่อาจารย์ลุงหรือ เจ้าบังอาจมากนะ! หากไม่ใช่ว่าอาจารย์ลุงช่วยเจ้าไว้ เจ้าก็ถูกมังกรมารกินไปแล้ว!”
จีเสี่ยวซิวโกรธจัด “นางคือเวยเวย!”
เจ้าสำนักสวี่โกรธจนกัดฟันกรอด “เจ้าเด็กนี่ พูดไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่”
“ท่านเจ้าสำนัก”
จู่ๆ เสียงตะโกนโหวกเหวกของผู้ดูแลหลิวก็ดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินมาจากท้องฟ้าห่างออกไปไม่ไกล เจ้าสำนักสวี่สะดุ้งเบาๆ จากนั้นก็กระแอมทีหนึ่ง แล้วขยับตัวกลับไปจัดเสื้อผ้านั่งดีๆ ก่อนจะหันไปมองผู้ดูแลหลิวที่บินมา
ผู้ดูแลหลิวติดอยู่ในระดับประสานเม็ดตันขั้นกลางมาหนึ่งร้อยปีแล้ว เลื่อนขั้นไม่ได้เสียที แต่หนนี้เจ้าสำนักสวี่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายของเขาไปถึงระดับประสานเม็ดตันขั้นสมบูรณ์แล้ว ห่างจากขั้นอมตะอยู่อีกเพียงก้าวเดียว
เขาเพิ่งออกเดินทางมาวันเดียวเองไม่ใช่หรือ เหตุไฉนผู้ดูแลหลิวจึงเลื่อนขั้นแล้วเล่า
“เจ้าสำนัก!” ผู้ดูแลหลิวกระโดดขึ้นมาบนเรือเหาะอย่างตื่นเต้น เขาเห็นจีเสี่ยวซิวหน้าดำทะมึนอยู่ ก็งุนงงเล็กน้อย “เอ๋ อาจารย์อาน้อยก็อยู่ด้วยหรือ”
จีเสี่ยวซิว “เหอะ!”
เจ้าสำนักสวี่บอกว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขา เจ้าเด็กนี่พาลโมโหคนไปทั่ว ข้าให้เจ้าเฝ้าสำนักไว้ไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ ที่สำนักเกิดเรื่องอะไรใช่หรือไม่”
ผู้ดูแลหลิวตอบว่า “มีเรื่องดีเรื่องหนึ่ง เรื่องร้ายเรื่องหนึ่ง ท่านอยากฟังเรื่องใดก่อนเล่า”
“ได้ทั้งนั้น” เจ้าสำนักสวี่ตอบ
ผู้ดูแลหลิวตอบว่า “เรื่องดีก็คือชิงสุ่ยเจินเหรินมาเยือน”
เจ้าสำนักสวี่ดวงตาเป็นประกาย “คำพูดนี้จริงหรือ”
ผู้ดูแลหลิวตอบว่า “จริงแท้แน่นอน เหตุที่ข้าเลื่อนขั้นก็เป็นเพราะได้พึ่งใบบุญของชิงสุ่ยเจินเหริน เรื่องที่บอกไปแล้วนี่คือเรื่องดี ต่อมาอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก ลูกศิษย์ของผู้พิทักษ์รอง เด็กสาวรากปราณสวรรค์คนนั้นไม่ใช่บุตรสาวของชิงสุ่ยเจินเหริน”
“อะไรนะ” เจ้าสำนักสวี่โพล่งถามออกมา
ผู้ดูแลหลิวทำหน้ามึนงงบอกต่อว่า “ยามนั้นข้าก็ถามเหมือนกับท่าน สิ่งที่น่าตกใจมากกว่าก็คือชิงสุ่ยเจินเหรินเขาบอกว่า…บอกว่าอะไรนะ…บุตรสาวของเขานามว่าเวยเวย เป็นมังกรน้อยตัวหนึ่ง สำนักของพวกเรามีเด็กนามว่าเวยเวยอยู่คนหนึ่งก็จริง แต่เวยเวยไม่ใช่มังกรนี่นา…”
ตึง!
เจ้าสำนักสวี่เป็นลมไปแล้ว!
…
คนของเผ่ามารรู้ตัวแล้วว่ามังกรมารน้อยกับหลิงจือหายตัวไป
องครักษ์เกราะทองแดงกับองครักษ์เกราะเงินที่ต้องคอยเฝ้าพวกนางคุกเข่าตัวสั่นระริกอยู่ต่อหน้าโหราจารย์หญิง
โหราจารย์หญิงถามเสียงเย็นชา “ลูกมังกรตัวเดียวพวกเจ้ายังเฝ้าไว้ไม่ได้ ข้าเก็บพวกเจ้าไว้จะมีประโยชน์อันใด”
องครักษ์เกราะทองแดงวอนขออภัย “ท่านโหราจารย์ไว้ชีวิตด้วย! ข้าน้อยคิดไม่ถึงว่ามังกรน้อยตัวนั้นจะแสร้งล้มป่วย ล่อให้ข้าเข้าไปแล้วขโมยกุญแจ…”
โหราจารย์หญิงตวาดขัดเขา “หุบปาก! มังกรยังไม่หย่านมตัวหนึ่งก็หลอกเจ้าให้หัวหมุนได้ เจ้ายังจะมีหน้ามาขอให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าอีกหรือ ลากตัวออกไป!”
องครักษ์เกราะทองแดงถูกองครักษ์เผ่ามารอีกสองคนลากออกไป โทษหนักเช่นนี้ คงไม่มีโอกาสมีชีวิตรอดอีกแล้ว
โหราจารย์หญิงหันไปมององครักษ์เกราะเงินที่สีหน้าซีดเผือดอยู่ด้านข้าง “แล้วก็เจ้า เห็นแก่ที่เจ้าติดตามข้ามา ข้าจะให้โอกาสเจ้าทำความชอบชดใช้ความผิดสักหน หากเจ้าจับตัวมังกรน้อยกลับมาได้ ข้าจะละเว้นเจ้า หากทำไม่ได้ เจ้าก็จงสำเร็จโทษตัวเองเสีย!”
“ขอรับ!”
…
ในที่สุดหลิงจือก็ได้สติกลับมาอย่างสมบูรณ์ นางพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในกรงของเผ่ามารแล้ว แต่อยู่ในถ้ำบนหน้าผาแห่งหนึ่ง ความจริงแล้วถ้ำแห่งนี้ไม่นับว่าเล็ก แต่เมื่อมีมังกรตัวหนึ่งนอนขดอยู่ด้านใน มันก็แลดูคับแคบไปถนัดตา
หลิงจือมองมังกรน้อยตรงหน้าอย่างตกใจปนหวาดผวา นางเห็นโลกมาน้อยนัก นอกจากมังกรเขียวน้อยย่อมไม่เคยเห็นมังกรตัวที่สอง แต่นางเคยอ่านหนังสือ นางรู้ว่าเจ้าตัวนี้เป็นมังกรเผ่ามาร!
หลิงจือตกใจกลัวแทบแย่แล้ว มังกรน้อยคาบไข่ใบหนึ่งเดินเข้ามาหาหลิงจือ
หลิงจือยกมือขึ้นมาแล้วตวาดอย่างระแวง “เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
มังกรมารน้อยชะงัก มันเอียงศีรษะแล้วเดินมาหาหลิงจือต่อ หลิงจือจึงใช้คาถาวารีสวรรค์จู่โจมหัวของมังกรมารน้อย มังกรมารน้อยถูกโจมตีก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ไข่ในปากร่วงลงมาแหลกเละอยู่บนพื้น
มังกรมารน้อยมองหลิงจืออย่างตัดพ้อ จากนั้นจึงคาบไข่ที่เหลืออยู่มาด้านหน้าแล้วใช้ปากเป่าเบาๆ ให้มันกลิ้งเข้าไปหาอีกฝ่าย หลิงจือมองไข่ที่กลิ้งเข้ามาหาตนเอง แล้วหันไปมองมังกรน้อยที่ขดอยู่ตรงมุมพลางมองนางด้วยแววตาน่าสงสาร ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแววตาของมังกรน้อยดูเศร้าสลด
น้ำลายมังกรเป็นยาวิเศษอันยอดเยี่ยมสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ มังกรมารน้อยฉวยโอกาสที่หลิงจือสลบอยู่เลียรักษาแผลทั้งหมดให้นางแล้ว บนร่างหลิงจือจึงไม่มีรอยแผลภายนอกอีก หลงเหลือก็แต่ความเจ็บปวดเลือนราง
หลิงจือไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ความจริงนางก็หิวอยู่นิดๆ นางมองไข่บนพื้นอย่างลังเลครู่หนึ่งแล้วจึงหยิบขึ้นมาหนึ่งฟอง
มังกรมารน้อยส่ายหางอย่างเบิกบานใจ ไม่นานมังกรมารน้อยก็เห็นแผลจุดหนึ่งบนขาของหลิงจือที่ตนลืมเลีย มังกรมารน้อยจึงอ้าปากเดินเข้าไปหาน่องข้างขวาของหลิงจือ
หลิงจือใช้คาถาอัคคีย่างไข่จนสุก ขณะที่กำลังจะกินก็พบว่ามังกรมารน้อยมาอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ มันกำลัง ‘อ้าปากสีแดงสด’ พุ่งตรงมาหาขาขวาที่บาดเจ็บของตนเอง นางซัดพลังปราณไฟสายหนึ่งออกมาทันที!
มังกรมารน้อยถูกซัดหงายหลังไปกับพื้น พอหงายหลังล้มหนนี้ หลิงจือจึงเห็นบาดแผลบนร่างของมัน เกล็ดมังกรของมันหลุดหายไปหลายเกล็ด
เกล็ดมังกรแต่ละเกล็ดสำคัญกับมังกรอย่างยิ่ง พวกมันไม่เพียงเป็นเกราะชั้นนอกคอยปกป้องตัวเอง แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนของพวกมันได้มากที่สุดรองจากเขามังกร มังกรที่มีเกล็ดงามสมบูรณ์แบบก็เทียบได้กับมนุษย์ผู้มีรูปโฉมงามล่มเมือง
เกล็ดมังกรไม่อยู่ก็เหมือนกับมนุษย์ที่ถูกทำลายรูปโฉมแล้ว
หากจะให้บอกว่าการดึงเกล็ดมังกรออกไปเจ็บปวดมากเพียงใด เทียบกับมนุษย์ก็คงเหมือนความเจ็บปวดยามถูกถอดเล็บออกไปนั่นเอง จู่ๆ ในใจของหลิงจือก็เกิดความรู้สึกแปลกแปร่ง เจ้าตัวนี้เป็นมังกรมาร นางไม่ควรสงสารมัน แต่ในใจของนางกลับรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก
มังกรมารน้อยรีบพลิกตัวกลับมาแล้วขดตัวเป็นวง บังจุดที่ไม่มีเกล็ดมังกรเอาไว้ แต่เดิมหลิงจือก็รังเกียจนางมากอยู่แล้ว ตรงที่น่าเกลียดๆ จะให้หลิงจือเห็นไม่ได้
หลิงจืออ้าปาก “เจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบ ไอมารอันแข็งแกร่งสายหนึ่งก็โถมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน ภายในถ้ำเต็มไปด้วยไอมารเข้มข้นในพริบตา
ไอมารสายนี้ทำให้ทั่วร่างของหลิงจือรู้สึกไม่สบายตัว
“พวกเขามาแล้ว…” หลิงจือหมุนตัวกลับมาอยากจะบอกว่าพวกเรารีบหนีเร็วเข้าเถิด แต่กลับเอ่ยไม่ออก
องครักษ์เผ่ามารขี่วิหคปีกกระดูกบินมาบนท้องนภาอย่างมืดฟ้ามัวดิน พวกเขามีจำนวนมากถึงหนึ่งร้อยตน ในหมู่พวกเขาบางคนกำแส้ปราบมังกร บางคนลากกรงเหล็กที่ทำเป็นพิเศษ ส่วนบางคนก็กางตาข่ายขนาดยักษ์ ดักล้อมทั้งฟ้าทั้งดิน พวกนางไม่มีที่ให้หนี
มังกรน้อยกระโดดไปที่ปากถ้ำแล้วบังหลิงจือไว้ด้านหลัง นางมององครักษ์เผ่ามารที่เข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที แล้วส่งเสียงมังกรคำรามอันเกรี้ยวกราดออกมา!
วิหคปีกกระดูกทนอำนาจกดข่มของเสียงมังกรคำรามไม่ไหว พวกมันกรีดร้องโหยหวนอยู่บนฟากฟ้า
หลิงจือขี่กระบี่เหาะขึ้นไปกลางอากาศ “คาถาวารีสวรรค์!” พลังปราณวารีมหาศาลรวมตัวกลายเป็นคมดาบวารีนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่วิหคปีกกระดูกที่กำลังกรีดร้อง! หากเป็นเวลาปกติ นางคงโจมตีอย่างแม่นยำได้ยาก แต่ยามนี้วิหคปีกกระดูกถูกอำนาจมังกรข่มอยู่ แต่ละตัวจึงบินหนีไม่ทัน ถูกคมดาบวารีของหลิงจือเล่นงานเข้าอย่างจัง
วิหคปีกกระดูกจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งส่งเสียงกรีดร้อง องครักษ์เผ่ามารเห็นท่าไม่ดีจึงพากันทิ้งวิหคปีกกระดูกแล้วขี่กระบี่เข้ามาโจมตีหลิงจือ หลิงจือย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ฝึกตนมารจำนวนมากขนาดนี้ มังกรมารน้อยคำรามแล้วพุ่งออกไปกระแทกองครักษ์ที่ลอบจู่โจมหลิงจือ ในตอนนี้เององครักษ์ทั้งหลายจึงเหวี่ยงตาข่ายหุ้มนภาอันหนึ่งออกมาหมายจะจับมังกรมารน้อย ทว่าชั่วพริบบตาที่ตาข่ายกำลังจะจับมังกรมารน้อยได้นั่นเอง แสงสีขาวสายหนึ่งพลันร่วงลงมาจากฟากฟ้าด้านบน
สิ่งที่มีสีขาวโพลนนั่นสว่างเจิดจ้าเกินไปแล้วจริงๆ ดวงตาขององครักษ์ทั้งหลายถูกมันทำร้ายจนตาเกือบบอด องครักษ์ทั้งหลายตะโกนออกมาว่า “ช่างเป็นอาวุธที่ร้ายกาจนัก!”
ก้นของเจ้าสำนักสวี่ “…”
หลังจากชิงสุ่ยเจินเหรินทราบว่าเจ้าสำนักสวี่ปล่อยให้เผ่ามารพาบุตรสาวของตนเองไป เขาก็ส่งอสนีบาตเส้นหนึ่งลงมาทันที เจ้าสำนักสวี่ถูกผ่าจนอาภรณ์สลายหมดสิ้น ตัวเปล่าเปลือยร่วงดิ่งลงมา
เจ้าสำนักสวี่ตะโกนลั่น “รับบบบข้าที!”
หลิงจือรั้งมือกลับ
มังกรมารน้อยก็ดึงหางกลับไปด้วย
หนึ่งคนหนึ่งมังกรมองเจ้าสำนักสวี่ร่วงผ่านตรงกลางระหว่างพวกนางลงไปอย่างสวยงาม
ตาข่ายขนาดใหญ่ร่วงลงมาหามังกรมารน้อยอีกครั้ง ทว่ายังไม่ทันที่ตาข่ายจะร่วงลงมาคลุมตัวมัน ตาข่ายก็พลันสลายเป็นธุลีไปทีละนิดๆ ไม่นานแส้ปราบมังกรกับกรงเหล็กก็สลายเป็นเถ้าธุลีตามไปด้วย สิ่งของที่ใช้มาจับมังกรน้อยทั้งหมดสลายกลายเป็นธุลีหมดสิ้น องครักษ์เกราะทองแดงหน้าถอดสี “นี่มัน นี่มันเกิดอันใดขึ้น”
ตอนนั้นเองมังกรมารน้อยที่ลอยอยู่กลางท้องนภาก็รักษาการทรงตัวเอาไว้ไม่ไหวแล้ว มันเสียหลักร่วงลงไปด้านล่าง ทว่าร่วงลงไปได้ไม่ทันไร ร่างกายของนางก็หยุดนิ่ง แล้วลอยขึ้นมาด้านบนอย่างช้าๆ อีกครั้ง
“เอ๋”
มังกรน้อยพลิกตัวหนึ่งหน ไม่ร่วงแฮะ
มังกรน้อยกลิ้งหนึ่งรอบ ไม่ร่วงจริงๆ ด้วย
จากนั้นนางก็ตีลังกาหนึ่งรอบ ทำเช่นนี้ก็ยังไม่ร่วงอีก!
มังกรมารน้อยค้นพบว่าไม่ว่าตนเองจะขยับตัวอย่างไรก็ไม่ร่วงลงไปด้านล่าง การค้นพบนี้ทำให้มังกรมารน้อยตื่นเต้นยิ่งนัก นางเริ่มแหวกว่ายอยู่ในก้อนพลังปราณของชิงสุ่ยเจินเหรินอย่างเริงร่าประหนึ่งว่ากำลังแหวกว่ายอยู่กลางสายธารา