ตอนที่ 327 ระบบอัปเกรดอีกครั้ง (2)
พวกเขาไปแล้ว พวกฟู่ชางติ่งก็พากันกลืนน้ำลาย
ตอนนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงเป็นบ้ากันไปแล้วจริงๆ!
ประธานสองคนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ถูกคนซ้อมจนเป็นคนโง่แล้วสินะ?
ฟางผิงหาเรื่องจะถูกซ้อมให้ได้ ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่ขั้นสี่ก็ไปหาเรื่องถังเหวินที่อยู่ขั้นหนึ่ง ผลปรากฏว่าถูกคนเขามาคิดบัญชีถึงหน้าประตู
นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน?
“ฟาง…ฟางผิงล่ะ?”
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะมองลอดรูขนาดใหญ่ออกไปข้างนอก ไม่เห็นฟางผิงเลย
“ไม่รู้สิ…คงไม่ตายไปแล้วหรอกนะ?”
หยางเสี่ยวม่านเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก พยายามข่มกลั้นรอยยิ้ม “เขาให้คนชกตัวเอง อาจารย์ชกเขาเหมือนจะไม่ต่างกันนะ”
นับว่าได้ระบายความแค้นแล้ว!
ตัวก่อเรื่องของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์สองคน ครั้งนี้ถูกจัดการ ช่างสาแก่ใจจริงๆ!
ฟางผิงถูกชกเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ส่วนฉินเฟิ่งชิงนั้น…เป็นการรนหาที่ตายจริงๆ
เหมือนที่ถังเฟิงพูดว่าไม่เคยเห็นฟางผิงรังแกถังเหวินแบบซึ่งๆ หน้า? รังแก นั่นก็ควรอยู่ในขอบเขต
นายเป็นแค่ขั้นสี่ นึกไม่ถึงว่าจะกล้ารีดไถกับขั้นหนึ่ง แทบไม่จำเป็นต้องคาดเดาก็รู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเห็นฉินเฟิ่งชิงหัวปูดอย่างแน่นอน
—
ในเวลาเดียวกัน
ด้านบนสุดของตึกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ฟางผิงลูบท้องตัวเอง เอ่ยด้วยใบหน้างงงวย “อะไรกันเนี่ย เจ้านี่มีประโยชน์แค่นี้?”
“สิ้นเปลืองค่าทรัพย์สินไปหลายแสนแทบไม่มีประโยชน์อะไร!”
“อีกอย่างหัวสิงโตจะคิดบัญชีกับฉินเฟิ่งชิง มาอัดฉันทำไมกัน!”
หัวสิงโตไม่นับว่าลงมือหนัก แต่ฟางผิงแทบไม่รู้ถึงการป้องกันใดๆ อัดตัวเองลอยลิ่วออกมาตรงๆ ม่านพลังงานเหมือนจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
“เจ้านี่ตกลงมีประโยชน์อะไรกัน?”
“อยากรู้ชะมัด!”
ฟางผิงเต็มไปด้วยความสงสัย ครั้งนี้ระบบอัปเกรดไม่มีการหลอมอวัยวะภายในอย่างที่เขาต้องการ ช่างเถอะ อย่างมากก็เสียเวลาเพิ่มหน่อยเท่านั้น
ช่องเก็บของนับว่าเป็นเรื่องน่าดีใจ แต่ม่านพลังงานเหมือนจะแทบไร้ประโยชน์
“หรือค่าทรัพย์สินหนึ่งพันล้านจะแลกกับช่องเก็บของหนึ่งลูกบาศก์เมตรนี้?”
แม้เรื่องนี้จะยอดเยี่ยมแล้ว ทั้งค่าทรัพย์สินยังคงอยู่ แต่ฟางผิงยังไม่พอใจเท่าไหร่
ค่าทรัพย์สินหนึ่งพันล้านนี้ไม่ได้หามาอย่างง่ายๆ
“เฮ้อ ตกลงมันเป็นยังไงกันแน่!”
ฟางผิงถอนหายใจ การอัปเกรดครั้งนี้ทำให้เขาไม่พอใจเท่าไหร่
ระบบก็ไร้ประโยชน์ นึกไม่ถึงว่าจะไม่ให้คำอธิบายอะไรเลย
—
ในเวลาเดียวกัน
ถังเฟิงเผยสีหน้าสงสัย ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามฉินเฟิ่งชิงออกไป “เมื่อกี้ฟางผิงมีอะไรแปลกไปหรือเปล่า?”
“สมองเขาละลายกับน้ำไปแล้ว!”
ฉินเฟิ่งชิงตอบกลับไป ก่อนจะเอ่ยใบหน้าขมขื่น “อาจารย์ ปล่อยผมไปเถอะครับ ผมไม่ได้คิดรีดไถรุ่นน้องถังจริงๆ คุณต้องเชื่อผม ผมเป็นคนประเภทนั้นหรือไง?”
“ใช่”
“อาจารย์ คุณอย่าใส่ร้ายผม นิสัยของผมคนนี้เป็นยังไงใครไม่รู้บ้าง ผมยอมรีดไถคุณดีกว่าต้องไปรีดไถกับขั้นหนึ่ง…”
ถังเฟิงชำเลืองตามองเขา สมองเธอก็ละลายกับน้ำไปแล้วเหมือนกัน?
รีดไถฉัน เธอลองดูสิ?
ฉินเฟิ่งชิงถอนหายใจ เอ่ยต่อว่า “อาจารย์ ผมไม่ได้ตัวคนเดียวนะครับ ถ้าคุณซ้อมผม อาจารย์ผมต้องล้างแค้นแทนผมแน่…”
“อาจารย์เฉินบอกแล้ว ซ้อมได้ตามสบาย” ถังเฟิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “กระทั่งศิษย์ร่วมอาจารย์ยังกล้ารีดไถ ยังมีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าอีก? อาจารย์เฉินไม่ได้จัดการให้ถึงที่สุดเพราะไม่อาจลงมือโหดเหี้ยมได้”
ฉินเฟิ่งชิงสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เกือบลืมไปแล้วคนที่เขาหลอกเมื่อวานเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ของตัวเอง
ฉินเฟิ่งชิงถอนหายใจ ยอมรับชะตากรรมละกัน
ครั้งหน้าต้องระวังแล้ว!
ถังเฟิงไม่สนใจเขา เจ้าตัวก่อเรื่องพวกนี้ต้องหาโอกาสจัดการสักหน่อย ครั้งนี้เป็นฉินเฟิ่งชิง ครั้งหน้าต้องหาจังหวะสั่งสอนฟางผิงอีกครั้ง
แต่เมื่อครู่…ฟางผิงเหมือนแปลกไปอยู่บ้าง
“แปลกตรงไหน?”
ถังเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่านไปสักพักเหมือนจะคิดอะไรได้ พึมพำว่า “ใช่สิ เขาทะลุกำแพงออกไป ฉันเหมือนสัมผัสถึงเขาไม่ได้!”
ถังเฟิงขมวดคิ้วแน่น
ตัวเองรู้สึกคลาดเคลื่อน?
หรือฟางผิงใช้พลังจิตใจกำบังตัวเองเอาไว้?
“เจ้าเด็กนี้กำลังทดลองใช้พลังจิตใจ?”
ถังเฟิงไม่ค่อยมั่นใจนัก ปิดกั้นเขาได้ นี่ก็ไม่ง่ายแล้ว
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุด ตอนนี้ทำถึงขั้นรวมสารจิงและเลือดเป็นหนึ่งแล้ว เข้าสู่ขั้นสูงสุดอย่างแท้จริง เรียกว่ากึ่งปรมาจารย์ยังไม่เกินไป
สารจิงและเลือดรวมเป็นหนึ่ง ขอแค่พลังจิตใจแข็งแกร่งจนเป็นรูปธรรม เขาก็เป็นปรมาจารย์แล้ว!
เทียบกับหลู่เฟิ่งโหรว อันที่จริงถังเฟิงเข้าใกล้ปรมาจารย์ยิ่งกว่า
สิ่งที่หลู่เฟิ่งโหรวต้องทำในตอนนี้คือทำให้พลังจิตใจจับต้องได้ก่อน ค่อยรวมสารจิงและเลือดเป็นหนึ่งอีกที
พลังจิตใจของเขาไม่ได้แข็งแกร่งจนเกินไป ตอนนี้มีประมาณห้าร้อยหกร้อยเฮิรตซ์ แต่สารจิงและเลือดรวมเป็นหนึ่ง เติมเต็มซึ่งกันและกันแล้ว เขาจึงสามารถเพิ่มพลังจิตใจได้เร็วขึ้น อาจจะช้ากว่าหลู่เฟิ่งโหรวไปนิดหน่อยเท่านั้น
ยอดฝีมือที่สารจิงและเลือดรวมเป็นหนึ่งสามารถข้ามขอบเขตขั้นหกสูงสุดได้แล้ว
ถ้าราบรื่น บางทีอีกสี่ห้าปี ถังเฟิงก็เป็นปรมาจารย์ได้แล้ว
“นึกไม่ถึงว่าพลังจิตใจยังแข็งแกร่งกว่าฉัน…”
ถังเฟิงลอบถอนหายใจ บางครั้งเจอกับอัจฉริยะแบบนี้ก็ไร้เรี่ยวแรงไม่น้อย
เขาฝึกมาจนถึงขั้นนี้ นึกไม่ถึงว่าพลังจิตใจจะสู้ฟางผิงไม่ได้ น่าอดสูจริงๆ
—
“ไม่เข้าใจ ช่างเถอะ ไม่สนแล้ว”
ฟางผิงปวดหัว ไม่เข้าใจก็ทิ้งไปก่อน ช่วงเวลาสั้นๆ เขาเสียค่าทรัพย์สินไปหลายแสน
เดิมคิดว่าต้องเป็นโล่ป้องกันแต่กลับไม่ใช่
หากเป็นโล่ป้องกัน นั่นคงสบายสุดๆ ไม่แน่ว่าจะสามารถสกัดกั้นการโจมตีของพลังจิตใจได้
“ใช่แล้ว!”
ฟางผิงตาเป็นประกาย “หรือจะไม่ป้องกันการโจมตีทางกายภาพ แต่ป้องกันการโจมตีของพลังจิตใจได้? ลองดูดีหรือเปล่า…แน่นอนว่าถ้าหาคนมาโจมตี นั่นเป็นการรนหาที่ตาย แต่ฉันสามารถยั่วโมโหอธิการทั้งสองคนได้ พวกเขาโมโห ปล่อยแรงกดดัน ฉันก็รู้ได้แล้วว่าใช่หรือไม่ใช่!”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่อยู่ ไม่งั้นเขาคงไปลองกับหลู่เฟิ่งโหรวแล้ว
ตอนนี้ทำได้แค่ไปหาอธิการทั้งสองคน
หากสามารถต้านพลังจิตใจของปรมาจารย์ได้ นั่นก็ยอดเยี่ยมแล้ว นี่ถือเป็นสกิลเทพ!
ตอนนี้ฟางผิงไม่รู้ว่าหัวสิงโตตระหนักเรื่องนี้ได้แล้ว ม่านพลังงานไม่ใช่สกิลเทพที่ใช้ป้องกัน
ส่วนเรื่องที่ฟางผิงวางแผนจะยั่วโทสะของอธิการทั้งสอง ถึงถังเฟิงจะทราบก็ไม่อาจบอกเขาอยู่ดี เจอกับความลำบากจะนับว่าดีที่สุด สมควรแล้ว!
“เรื่องม่านพลังงานเอาไว้ก่อน ตอนนี้ใช้ค่าทรัพย์สินได้แล้ว! ครั้งนี้ฉันสามารถฝึกวิชาโดยไม่ต้องกังวลแล้ว!”
ฟางผิงเปลี่ยนไปนึกถึงเรื่องฝึกวิชา ปราณสามารถบ่มเพาะเพิ่มได้อีก ครั้งนี้แม้จะเสียการควบคุมก็ไม่เป็นไร แค่ไม่ต้องไปถามคนอื่นเท่านั้น ครั้งก่อนไม่มีประสบการณ์ แต่ครั้งนี้เขารู้แล้ว
ส่วนกะโหลกไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องปราณเช่นกัน ยังไงพลังปราณก็ไร้ขีดจำกัดอยู่แล้ว
ยังมีเรื่องบ่มเพาะดาบอีก ไม่ใช่ว่าต้องสิ้นเปลืองปราณขนาดหนักหรือไง?
ค่าทรัพย์สินหนึ่งพันล้านของฟางผิง เปลี่ยนเป็นปราณ จะได้ปราณหนึ่งล้านแคล นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ปกติผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ปราณจะอยู่สูงสุดที่สองพันแคล เทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดห้าร้อยคน ใช้ปราณบ่มเพาะดาบจนเกลี้ยง แล้ว เขายังต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยแค่นี้อีกทำไม?
“ฉันไม่เชื่อว่าพวกนายอัดยาเยอะขนาดนั้นแล้วจะเทียบกับฉันได้?”
ยิ่งไปกว่านั้นอัดยาบำรุงยังต้องใช้เวลา
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง น้อยนักที่จะอัดยา
ทั้งก่อนหน้านี้ยังแลกเปลี่ยนยาสิบเอ็ดและยาป้องกันอวัยวะภายในไว้ไม่น้อย สามารถเอามาใช้งานได้ พยายามฝึกวิชาให้ถึงขั้นสี่สูงสุด จากนั้นก็ไปฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้อีกที
“ขั้นห้า…หากไม่ใช่เพราะว่าฉันกังวลอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นอาจจะทะลวงขั้นห้าได้เหมือนกัน!”
ฟางผิงพึมพำ ไม่ลังเลอีก ทั้งไม่ลงไปที่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ทะยานขึ้นอากาศไป
ลงไปข้างล่างต้องถูกคนตามมาคิดบัญชีแน่
รูกำแพงนั้น…ต้องคิดบัญชีกับหัวสิงโต เขาถูกอัดอย่างไม่มีเหตุผล ปรากฏว่ายังต้องชดใช้เงินอีก ไม่ยุติธรรมอะไรอย่างนี้
ส่วนจะทำได้หรือเปล่า เรื่องนี้ฟางผิงไม่รับประกัน
ยังไงนี่ก็เป็นความรับผิดชอบของเย่ฉิง ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงซึมเศร้าพอดี ให้เขาไปเจอกับหัวสิงโต ฟางผิงคิดว่าเย่ฉิงอาจจะได้อะไรกลับไปบ้าง
———————