“หากข้านำเข็มเงินมาด้วยก็คงดี บางทีพวกเขาอาจถูกวางยา”
ชิวอวี้เอ่ยขึ้นมาอย่างเสียดาย ทว่าหลินเมิ้งหยากลับส่ายหน้า เหตุเพราะระบบเซินหนงแม่นยำกว่าเข็มเงินหลายเท่า
นอกจากยาพิษบนร่างของคนเมืองเลี่ยหยุนแล้ว หลินเมิ้งหยาไม่พบความผิดปกติใดๆ อีก
แต่สิ่งนี้มิได้หมายความว่าคนเหล่านี้มิได้ถูกวางยา แม้ระบบเซินหนงจะแม่นยำ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีข้อจำกัด
“เท่าที่ข้าดู หากพวกเขานอนหลับ เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องรับรู้ถึงการมาของพวกเรา ตอนนี้พวกเราคงช่วยออกไปได้เพียงคนสองคน เจ้าลองดูโลงศพเหล่านั้นเถิด ข้าว่าข้างในจะต้องมีคนอยู่อีกแน่”
“จะต้องมีคนนอนหลับเช่นนี้อยู่อย่างแน่นอน เช่นนั้นพวกเราออกไปก่อนแล้วตามคนมาช่วยจะดีกว่า”
แม้ชิวอวี้จะรู้สึกไม่วางใจ แต่ก็อดที่จะเห็นด้วยกับความคิดของหลินเมิ้งหยาไม่ได้
ทว่าขณะที่ทั้งสองวางร่างของชายทั้งสองลงที่เดิม เสียงจากด้านนอกพลันดังขึ้น
ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่จะรีบเข้าไปซ่อนตัวในจุดที่ลึกที่สุดของห้องใต้ดิน
โชคดีที่ในนี้ค่อนข้างมืด ซ้ำยังมีโลงศพขวางเอาไว้ ดังนั้นหลินเมิ้งหยาและชิวอวี้จึงสามารถซ่อนตัวได้
“ใครอยู่ที่นี่?”
ทันทีที่ซ่อนตัวจนมิดชิด เสียงตะคอกเปี่ยมโทสะพลันดังขึ้นจากทางด้านนอก
หลินเมิ้งหยาลอบสบถในใจ กองฟางที่ถูกย้ายและประตูเหล็กที่ยังไม่ได้ปิดจะต้องทำให้พวกเขาสงสัยอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้มิอาจทำอะไรได้แล้ว พวกเขาทำได้เพียงตั้งสมาธิไม่ทำอะไรมีพิรุธมากกว่าเดิม
“เจ้าระแวงเกินไปแล้ว บางทีอาจมีคนออกไปแล้วลืมปิดประตูก็ได้ ใช่ว่าเมื่อก่อนไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ ดูสิ โลงศพก็ยังอยู่ที่เดิมมิใช่หรือ? วางใจเถิด ไม่มีทางมีใครพบเจอที่นี่ พอพวกเรากลับไปแล้วค่อยถามก็ได้”
เสียงเมามายเล็กน้อยดังขัดขึ้น แต่เจ้าของเสียงเคร่งขรึมยังคงไม่วางใจ เขาเดินเข้ามาเปิดฝาโลงศพเพื่อตรวจสอบ ก่อนจะขยับเท้าเดินเข้าใกล้นางมากขึ้น
หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้เริ่มตื่นตระหนก
แต่โชคดีที่ชายคนนั้นสนใจเพียงโลงศพ ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นพวกเขาทั้งคู่
“ดูสิ ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่าว่าจะมีใครสงสัยสถานที่แห่งนี้ ปกติคนที่หลงเข้ามาที่นี่ไม่ทันได้ซ่อนตัวด้วยซ้ำ เช่นนั้นจะมีใครเข้ามาได้อย่างไร ต่อให้เข้ามาได้ พวกเรากำจัดเสียก็สิ้นเรื่อง นี่มิใช่ครั้งแรก เจ้าไม่รู้หรอกว่าบริเวณรอบๆ นี้เต็มไปด้วยซากศพของพวกคนเหล่านั้น”
เสียงบ้าคลั่งดังขึ้น หลินเมิ้งหยารู้สึกรังเกียจเต็มประดา
เพื่อเงินแล้ว พวกเขายอมทำทุกอย่าง แม้กระทั่งฆ่าคนเพื่อปกปิดความลับ
ชั่วช้าสามานย์ยิ่งนัก!
เจ้าของเสียงเคร่งขรึมมิได้ตอบคำถามเขา แต่เขาตรวจสอบโลงศพทั้งห้าให้ละเอียด เมื่อตรวจสอบโลงศพสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย เขาจึงปิดฝาโลง
เสียงฝีเท้าดังไกลออกไป หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้พลันถอนหายใจ
โชคดีที่พวกนางปิดฝาโลงเรียบร้อยและไม่ได้แตะต้องสิ่งอื่นใด มิเช่นนั้นคงเผยพิรุธให้พวกเขาจับได้แล้ว
“พวกเราต้องระมัดระวังให้ดี เจ้าอย่าลืมคำพูดของพี่ใหญ่ป๋าย หากมีคนได้เบาะแสที่นี่ เช่นนั้นที่นี่ก็จะใช้การไม่ได้อีก หลายปีที่ผ่านมาพวกพี่น้องเราล้วนระมัดระวังเป็นอย่างดี หากมีใครทำเรื่องนี้รั่วไหล เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ผ่านมาเลย”
พี่ใหญ่ป๋ายในประโยคของเขาน่าจะหมายถึงป๋ายหลง
ดูเหมือนที่นี่จะเป็นสถานที่กบดานของพวกเขา เพราะเหตุนี้แม้ท่านกัวจะรู้ว่าป๋ายหลงและเฮยฮู่ค้ามนุษย์ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำการขนย้ายได้อย่างไร
หากเป็นสถานที่ที่มีคนไม่มาก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง แต่ที่นี่มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกัน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องหาที่ซ่อน
วิธีการเหี้ยมโหดยิ่งนัก
ดูเหมือนพวกป๋ายหลงจะมิใช่คนที่รับมือด้วยได้ง่ายๆ
“ถุย เจ้าพูดให้ใครฟังกัน! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ข้าหลิวไฮ่หลงหาได้ติดตามพวกพี่ใหญ่มาเพียงวันสองวันไม่ อย่าคิดว่าเจ้ามีคนคอยถือหางแล้วข้าจะเชื่อฟังคำพูดของเจ้า พวกพี่ใหญ่ต่างหากที่เป็นคนกุมอำนาจ ในสายตาของข้า เจ้าก็เป็นเพียงสวะเท่านั้น”
หลินเมิ้งหยาฟังออกว่าหลิวไฮ่หลงหาได้มีความสัมพันธ์อันดีกับชายเสียงเคร่งขรึมไม่
เพราะเหตุนี้เขาจึงพยายามเอ่ยดักคอชายคนนั้นตลอดเวลา
หากมิใช่เพราะได้เขาคอยเอ่ยขัดเอาไว้แล้วล่ะก็ คาดว่าร่องรอยของนางและชิวอวี้คงถูกพบแล้ว
ทว่าชายเสียงเคร่งขรึมกลับไม่โกรธ พอคิดดูแล้วเขาคงไม่อยากมีปัญหากับคนขี้เมา
“ถึงเวลาแล้ว รีบมาช่วยกันเร็วเข้า”
หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้สบตากัน ไม่รู้ว่าชายเสียงเคร่งขรึมหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามมองลอดโลงศพออกไป
ในมือของพวกเขาถือโคมไฟอันหนึ่งสูง อันหนึ่งต่ำ อันต่ำเป็นของชายที่กำลังบ่นพึมพำ
ส่วนคนร่างสูงหันหลังให้พวกนาง มิได้เอ่ยอันใด
“มารดามันเถอะ ของสิ่งนี้ดีจริงเชียว เพียงให้พวกเขาดมเล็กน้อยก็นอนหลับยาวไปสามวัน แต่น่าเสียดายแม่หนูน้อยคนนั้น อยากลิ้มลองดูสักคราจริงๆ ….”
หลิวไฮ่หลงกระตุกยิ้มหื่นกระหาย แต่ชายร่างสูงกลับเอ่ยขัดเขาเอาไว้
“อย่ายุ่งกับนาง แค่เจ้าลักพาตัวนางมาในคราวนี้ก็ทำให้พวกพี่ใหญ่โกรธมากพอแล้ว หากสินค้าในคราวนี้ส่งออกไปไม่ได้ก็จะขาดทุนยับเยิน เจ้าจงเชื่อฟังสักหน่อยเถิด หวังว่าเด็กคนนั้นจะคืนทุนให้เราบ้าง”
สินค้าที่พวกเขากำลังพูดถึงคือหลานสาวของตงฟางสวี
หลินเมิ้งหยาจดจำรูปร่างหน้าตาของหลิวไฮ่หลงให้ชัดเจน อีกเดี๋ยวหากออกไปได้คงต้องสั่งสอนกันสักครา
คิดไม่ถึงเลยว่าหลานสาวของตงฟางสวีจะถูกเขาจับมา
ทว่าสิ่งที่นางสงสัยที่สุดคือพวกเขาใช้วิธีใดทำให้คนเหล่านี้สลบไสลนานถึงสามวัน ยิ่งไปกว่านั้นยังตรวจจับสารพิษไม่ได้
อยู่ๆ จมูกพลันได้กลิ่นอะไรบางอย่าง
หลินเมิ้งหยาหันหน้าไปมองชิวอวี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่รู้สึกอะไร
ชายสองคนนั้นเองก็มิได้มีอุปกรณ์ป้องกันแต่อย่างใด คาดว่าของชิ้นนั้นจะต้องนำไปผสมกับของอย่างอื่นอย่างแน่นอน
เมื่อทั้งสองยิ่งขยับเข้ามาใกล้ อยู่ๆ ระบบเซินหนงก็ร้องเตือน หลินเมิ้งหยาจึงได้รู้ว่านั่นคือยาพิษที่ชื่อว่าต้นเจียงซือ
สรรพคุณของยาชนิดนี้ทำให้นอนหลับไม่ฟื้นเหมือนคนหมดสติ อยู่ๆ เนื้อหาในตำราชิงเจิงผู่พลันปรากฏขึ้นในสมอง หลินเมิ้งหยาจึงเข้าใจในตอนนี้เองว่าเหตุใดมันจึงถูกเรียกว่าต้นเจียงซือ
ทั้งสองตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ในที่สุดก็ปิดฝาโลง
จากนั้นพวกเขาก็เดินขึ้นบันไดกลับไปด้านบน
หลินเมิ้งหยารออยู่นาน ปรากฏว่าชายเสียงเคร่งขรึมเป็นคนระมัดระวังละเอียดรอบคอบ
เขาหันกลับมาตรวจสอบถึงสองครั้ง หากมิใช่เพราะหลิวไฮ่หลงส่งเสียงก่นด่า บางทีเขาอาจจะลงมาข้างล่างอีกรอบก็เป็นได้
ช่างเป็นศัตรูที่รับมือยากยิ่งนัก น่าเสียดายที่นางมองไม่เห็นใบหน้าของเขา
“รีบออกไปเถิด ขาของข้าชาหมดแล้ว”
ชิวอวี้และหลินเมิ้งหยาถอนหายใจ ก่อนจะลุกออกมา
เมื่อมั่นใจแล้วว่าพวกเขาจากไปไกลแล้ว ทั้งสองจึงเปิดโลงศพทั้งห้าใหม่อีกครั้ง
ผลปรากฏว่านอกจากเด็กสาวสวมชุดอย่างชาวเมืองเลี่ยหยุนในโลงศพสุดท้ายแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นชาย
“เมื่อครู่พวกเขาคงวางยาอีกรอบ โหดเหี้ยมยิ่งนัก ข้าตรวจสอบไม่พบพิษเลยแม้แต่น้อย”
ชิวอวี้รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลินเมิ้งหยากลับสงบนิ่ง ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปลูบตัวของเด็กสาวแห่งเมืองเลี่ยหยุนคนนั้น
ชิวอวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุเพราะเขาพบว่าในมือของนางมีเข็มเงินยาวเท่าขนไก่ราวห้าอัน
“นี่คือ…”
หลินเมิ้งหยาไม่มีเวลาอธิบาย นางรีบฉีกชุดตัวเองออกมาเป็นชิ้นผ้าเล็กๆ ก่อนจะห่อเข็มเหล่านั้นเอาไว้
จากนั้นใช้วิธีที่ตนเองถนัดโดยการกดจุดบนร่างของเด็กสาว
“เฮือก…”
เสียงสูดลมหายใจของนางพลันดังลอดออกมา จากนั้นดวงตาที่เคยปิดสนิทพลันเบิกกว้าง
“ข้า…อยู่ที่ไหน..”
น้ำเสียงสับสนว้าวุ่นดังขึ้น ท่าทางของนางอ่อนแรง
หลินเมิ้งหยากดจุดบนร่างให้นางอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยอ่อนล้าของนางจึงค่อยๆ หายไป
“อย่ากลัว เจ้าถูกคนชั่วลักพาตัวมา ข้ากับพี่ชายช่วยเจ้าเอาไว้ ตอนนี้ข้าจะประคองเจ้าขึ้นมา เจ้าอย่าได้ส่งเสียงเอะอะไป เดี๋ยวพวกมันจะกลับมา”
ดวงตากลมโตเบิกกว้าง สายตาจับจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาใจดีตรงหน้า แม้จะมิได้มีอาการหน้าแดง แต่ก็พยักหน้าลงแต่โดยดี จากนั้นหลินเมิ้งหยาจึงประคองร่างของนางออกจากโลง
แม้ขาของนางจะอ่อนแรง แต่เพราะหลินเมิ้งหยาคอยประคอง ดังนั้นนางจึงพยายามกัดฟันออกแรง
สุดท้ายหลินเมิ้งหยาหยิบยาออกจากวงแขนแล้วป้อนนาง
ไม่นานเด็กสาวพลันกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เดินไปเดินมาเพื่อสำรวจบริเวณรอบๆ
“ข้าน้อยนามว่าตงฟางซิ่ว พวกท่านเรียกข้าว่าอาซิ่วก็ได้ ขอบใจพวกท่านทั้งสองมากที่ช่วยชีวิตข้า พวกเราคนเมืองเลี่ยหยุนจะตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
อาซิ่วมีรูปร่างหน้าตางดงาม ดวงตากลมโตสีดำขลับ คำพูดคำจาไร้เดียงสาน่าฟัง
เหตุเพราะอายุของนางยังไม่มาก แต่ความตรงไปตรงมาของนางแตกต่างจากหญิงสาวในเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง
เพียงได้เห็นนาง หลินเมิ้งหยาก็นึกถึงป๋ายจื่อขึ้นมา เหตุเพราะมีความเกี่ยวข้องกับเสี่ยวอวี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกดีเป็นพิเศษ
“เจ้าถูกลูกน้องของป๋ายหลงจับมาได้อย่างไร? จำได้หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยารู้สึกว่าไม่ควรเอ่ยเรื่องนี้ เหตุเพราะทันทีที่พูดถึง สีหน้าของอาซิ่วพลันงอง้ำ
เบะปาก ดวงตาฉายแววอึดอัด ก่อนจะเล่าเรื่องให้หลินเมิ้งหยาฟัง