Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 198 : Deadly Alliance

ตอนที่ 198 : Deadly Alliance

“ยัยนัวร์—!?”
 

“เอ่อ… คุณเอริกะรู้จักคุณนัวร์เขาอยู่แล้วหรอครับ?”

 

ถึงแม้ว่าเรย์มอนด์จะเห็นว่าเอริกะเหมือนจะรู้จักกับแพทย์อาสาที่เขาบังเอิญไปเจอมาอยู่ก่อนแล้วก็ตามที แต่ทว่าด้วยท่าทีระมัดระวังเต็มเปี่ยมของหญิงสาวนักประดิษฐ์ที่ดูราวกับว่าเจอศัตรูคู่อาฆาตหรือตัวอันตรายที่ไม่ควรเฉียดเข้าไปใกล้นั้นมันก็ทำให้เรย์มอนด์ต้องพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

 

ซึ่งถึงแม้ว่าทางด้านเอริกะจะได้ยินคำถามของเรย์มอนด์ไปแล้วก็ตามแต่ว่าเธอก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไป เพราะถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้วนัวร์ที่ในคราวนี้ปรากฏตัวด้วยรูปลักษณ์ของหญิงสาววัยสะพรั่งได้อย่างน่าประหลาดใจนั้นก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตและตัวอันตรายที่ไม่ควรเฉียดเข้าใกล้จริงๆ

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะมีใครได้ทำอะไร ทางด้านนัวร์ที่สังเกตเห็นท่าทางสงสัยและเคลือบแคลงของเหล่าขุนนางเมืองแพนเทร่าทั้งสี่คนก็ได้หันไปยิ้มพูดตอบเรย์มอนด์กลับไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี

 

“อ๋อ พอดีว่าฉันกับเอริกะจังเขารู้จักกันมาตั้งนานนนนมากกกกแล้วน่ะ~ ไหนๆ ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว มากอดๆ หน่อยสิเอริกะจัง~~”

 

นัวร์ที่พูดตอบเรย์มอนด์กลับไปนั้นไม่ได้ทำเพียงแค่พูด แต่ว่าเธอยังชูแขนทั้งสองข้างขึ้นและเดินตรงเข้าไปหาเอริกะด้วยท่าทีร่าเริงราวกับว่าจะเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายจริงๆ อีกต่างหากและนั่นก็ทำให้เอริกะที่ถอยไปจนติดกับมุมห้องแทบจะตาเหลือกและรีบหลบจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายด้วยการมุดผ่านใต้แขนของนัวร์ไปอย่างรวดเร็ว

 

แต่ทว่าในจังหวะที่เอริกะรีบมุดหลบอ้อมกอดของนัวร์ไปนั้นเอง เด็กสาวผมสีดำในคราบของหญิงสาวก็ได้ใช้จังหวะนั้นในการเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ ให้เอริกะได้ยินเพียงแค่คนเดียว

 

“ถ้าเธอมัวแต่ทำตัวอย่างงี้ระวังจะพลาดโอกาสได้จัดการเรื่องนี้โดยตรงไปซะก่อนนะเอริกะจัง~”

 

“…..!?”

 

คำพูดของนัวร์ได้ทำให้เอริกะชะงักไปเล็กน้อยเป็นโอกาสให้นัวร์ได้ใช้จังหวะนี้ในการหมุนตัวและสอดมือเข้าไปควงแขนของเอริกะเอาไว้และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสนิทสนม

 

“แหม่~ เอริกะจังนี่ล่ะก็อย่าเอาแต่หลบไปมาแบบนี้สิ~”

 

“เฮ้อ… ขอโทษด้วยนะคะคุณเรย์มอนด์ พอดีว่ายัยคนนี้ชอบทำอะไรแปลกๆ อยู่เรื่อยฉันก็เลยต้องระวังตัวเอาไว้ก่อนน่ะค่ะ”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดของนัวร์ที่ดูเหมือนว่าจะมาปรากฏกายที่นี่เพราะเรื่องของเมืองใต้ดินของแพนเทร่าเช่นเดียวกับเธอนั้นได้ตัดสินใจที่จะเล่นตามน้ำกับอดีตคนรู้จักเก่าแก่ที่ถ้าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากจะรู้จักเลยคนนี้ไปก่อนก่อนที่เธอจะหันไปพูดตอบเรย์มอนด์กลับไป ในขณะที่ทางด้านนัวร์ที่ยังคงควงแขนของเอริกะเอาไว้ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับเอริกะจังน่ะเอาไว้ก่อนดีกว่านะ เพราะเรื่องที่สำคัญกว่าในตอนนี้ก็คือการที่พวกนายจะต้องเตรียมการอพยพตามที่เอริกะจังบอกต่างหากล่ะ~”

 

“เดี๋ยวก่อนสิ นี่เธอคิดจริงๆ หรอว่าพวกฉันจะยอมประกาศอพยพทั้งๆ ที่ไม่มีข้อมูลหลักฐานหรือว่าเหตุผลอะไรที่สามารถยืนยันได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เป็นชิ้นเป็นอันแบบนั้นน่ะ…”

 

คำพูดของนัวร์ที่ฟังดูราวกับคำสั่งได้ทำให้แอทลาสผู้เป็นเสนาธิการของกองทัพแพนเทร่าเอ่ยปากพูดขัดขึ้นมาในทันที ในขณะที่ทางด้านเวอร์มอนด์ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงภายในเองก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ก็ตามที่คุณแอทลาสพูดมานั่นล่ะครับ จะให้ประกาศเรื่องใหญ่อย่างการอพยพคนออกจากจุดหนึ่งของเมืองแบบนี้ในทันทีมันคงจะไม่ได้หรอกนะครับ”

 

“แล้วพวกคุณจะต้องใช้เวลาตรวจสอบเรื่องที่ว่าอะไรก็ตามที่หลับใหลอยู่ที่เมืองใต้ดินของเมืองแพนเทร่าถูกบุกรุกรบกวนไปแล้วนานขนาดไหนล่ะคะ?”

 

คำพูดของสองขุนนางใหญ่แห่งเมืองแพนเทร่าได้ทำให้เอริกะที่กำลังพยายามดึงแขนของตัวเองออกจากอ้อมกอดของนัวร์จำเป็นต้องหยุดการกระทำของเธอและพูดถามเหล่าขุนนางกลับไป และนั่นก็ทำให้เวอร์มอนด์ที่ไม่รอช้าที่จะพูดตอบกลับไปในทันที

 

“เรื่องเมืองใต้ดินมันนับเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะแบบนั้นการจะขออนุญาตจึงจำเป็นต้องผ่านหลายขั้นตอน แล้วยังไม่รวมว่าการตรวจสอบจะต้องดำเนินการเป็นความลับเพื่อไม่ให้ประชาชนแตกตื่นอีก ผมคิดว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักหนึ่งสัปดาห์น่ะครับ”

 

“ลดทางลงที่พวกคุณต้องตรวจสอบเหลือแค่สองแห่งที่อยู่ในเมืองก็พอแล้วค่ะ เพราะทางลงที่อยู่ใต้ปราสาทแพนเทร่าฉันตรวจสอบไปแล้ว ส่วนทางลงที่อยู่ที่บ้านพักตากอากาศของตระกูลเซมฟิร่านั่นฉันว่าพวกคุณคงจะไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยสักเท่าไหร่”

 

“ต่อให้ตัดออกไปสองที่อย่างมากก็เร็วขึ้นแค่สองสามวันเท่านั้นล่ะ เพราะที่กินเวลาน่ะมันงานในส่วนของเอกสารทั้งนั้น!”

 

แอทลาสที่ได้ยินคำพูดของเอริกะได้พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาเสียงดังราวกับว่าเขาเองก็ไม่ชอบใจที่งานที่เกี่ยวข้องกับเอกสารในเมืองแพนเทร่ามันดำเนินการได้ล่าช้าแบบนี้เหมือนกัน

 

ซึ่งคำพูดของแอทลาสก็ได้ทำให้อาริสะที่ปิดปากเงียบในการประชุมมาตลอดไม่รอช้าที่จะก้าวออกมาเบื้องหน้าและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูตะกุกตะกักเล็กน้อยราวกับว่าเธอไม่คุ้นชินในเรื่องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่นัก

 

“ถ–ถ้าเป็นเอกสารล่ะก็ดิฉันเตรียมเอาไว้ให้แล้วค่ะ! สองอันนี้เป็นเอกสารขอเคลื่อนกำลังพลของท่านแอทลาสกับท่านเวอร์มอนด์ ส่วนอันนี้เป็นเอกสารขออนุมัติงบชดเชยรายได้ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งอพยพฉุกเฉินแล้วก็เอกสารขอเบิกงบสำรองเผื่อในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับท่านอัลเปียกับท่านเรย์มอนด์ค่ะ!!”

 

“หืม? ไหนเอามาดูสิ”

 

ท่านเคานต์แอทลาสที่ได้ยินว่าอาริสะได้จัดเตรียมเอกสารเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วได้แสดงท่าทีแปลกใจออกมาอย่างปิดไม่มิดและยื่นมือออกมาขอเอกสารในส่วนของตัวเองจากอาริสะไป

 

และเมื่อแอทลาสตรวจสอบเอกสารอย่างถี่ถ้วนดีแล้วเขาก็ได้พยักหน้าเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเอ่ยปากชมเด็กสาวหูจิ้งจอกผมสีแดงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ติดไปทางเอ็นดู

 

“เป็นเอกสารที่ครบถ้วนดีแล้ว เหลือแค่ให้พวกฉันลงลายเซ็นยืนยันก็มีผลบังคับใช้ได้ทันที… ทำได้ดีมากอาริสะ”

 

“อ…เอกสารของฉันก็ไม่มีปัญหาอะไรนะคะ งบประมาณที่ระบุเอาไว้ก็พอดีกับที่น่าจะเป็นด้วย… ส..สุดยอดไปเลยค่ะท่านอาริสะ”

 

“ของผมก็ไม่มีปัญหาอะไรเหมือนกันครับ แต่หวังว่าคงจะไม่เรื่องอะไรเกิดขึ้นจนต้องใช้งบประมาณในส่วนของผมก็แล้วกัน”

 

ในขณะที่ทางด้านแอทลาสและอัลเปียต่างพากันพูดชมอาริสะออกมา ทางด้านเรย์มอนด์ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกลับมีท่าทีกังวลเล็กน้อย เพราะว่างานในส่วนของเขามันก็เกี่ยวข้องกับพวกแพทย์พยาบาลการรักษาต่างๆ ที่ถ้าต้องทำงานขึ้นมามันก็หมายความว่าต้องมีคนได้รับบาดเจ็บก่อนนั่นเอง

 

“………..”

 

แต่ถึงแม้ว่าเหล่าขุนนางทั้งสามท่านจะพึงพอใจกับเอกสารในส่วนของตัวเองแล้วก็ตาม ทางด้านเวอร์มอนด์ก็กลับวางแผ่นเอกสารที่เขาอ่านเสร็จแล้วลงบนโต๊ะก่อนที่เขาจะหันไปมองทางด้านอาริสะและเอ่ยปากพูดถามขึ้นมาตรงๆ

 

“ทำไมเคาน์เตสอาริสะถึงมีเอกสารพวกนี้เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ?”

 

“……..”

 

คำพูดของเวอร์มอนด์ได้ทำให้ทั้งห้องประชุมตกอยู่ภายใต้ความเงียบไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเวอร์มอนด์ก็กลับไม่ได้รอให้อาริสะพูดตอบคำถามของเขากลับมาและเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อในทันที

 

“ที่คุณเตรียมเอกสารทั้งหมดนี่เอาไว้มันเป็นเพราะคำเตือนของคุณเอริกะอย่างงั้นหรอครับ? ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ มันจะไม่เป็นการไว้ใจคนอื่นง่ายเกินไปหน่อยหรอครับ?”

 

“เรื่องนั้น…”

 

คำถามของเวอร์มอนด์ในครั้งนี้ได้ทำให้อาริสะหลุดพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะเงียบเสียงลงไปอีกครั้งด้วยสีหน้ารู้สึกผิดราวกับคำว่า ‘เชื่อคนง่ายเกินไป’ ของเวอร์มอนด์มันทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่เธอเคยทำผิดพลาดไปในอดีตอย่างไรอย่างนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นอาริสะก็นิ่งเงียบไปเป็นเพียงเวลาไม่นานก่อนที่เธอจะเงยหน้ากลับขึ้นมาจ้องมองตรงไปทางเวอร์มอนด์ที่ที่ผ่านมาเธอทำท่าเหมือนกับไม่อยากจะเฉียดเข้าใกล้เขามาตลอดตรงๆ พร้อมกับเอ่ยปากพูดตอบเขากลับไป

 

“ถึงคำเตือนของคุณเอริกะจะมีส่วนให้ดิฉันเร่งรีบทำเอกสารก็จริง แต่ว่าสาเหตุหลักๆ มันเป็นเพราะดิฉันเชื่อว่าท่านไมเคิลจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างในการห้ามไม่ให้พวกเราไปยุ่งกับสวนสาธารณะนั่นค่ะ!”

 

“จนถึงตอนนี้คุณก็ยังเชื่อในตัวของกบฏไมเคิลอยู่อีกงั้นหรอครับ… น่าเสียดายนะครับ ถ้าเกิดว่าท่านเฟอร์กัสมาได้ยินเข้าคงจะผิดหวังน่าดู… ที่ผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลเบวีน่าของเขามีความคิดแบบนั้นน่ะ

 

“เรื่องนั้นคงจะเป็นเรื่องของท่านพ่อเขาแล้วล่ะค่ะ… สำหรับตอนนี้ในเมื่อดิฉันเตรียมเอกสารเอาไว้ให้แล้วที่เหลือก็แล้วแต่การตัดสินใจของพวกท่านแล้วล่ะค่ะว่าจะทำยังไงกันต่อน่ะ แต่ถ้าตามที่คุณเอริกะบอกก็คงจะมีเวลาอีกไม่มากแล้วนะคะ”

 

อาริสะที่ได้ยินเวอร์มอนด์พูดพาดพิงถึงบิดาบุญธรรมของเธอที่จากไปแล้วได้เอ่ยปากพูดตอบเขากลับไปสั้นๆ และหันไปพูดถึงเรื่องที่เร่งด่วนกว่าอย่างการที่พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะเซ็นต์เอกสารเบื้องหน้าหรือไม่ และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นว่าบทสนทนาหลุดออกมาจากเรื่องวงในของเหล่าขุนนางเมืองกราวิทัสและกลับมาที่เรื่องเร่งด่วนของเธอแล้วไม่รอช้าที่จะพูดเสริมขึ้นมาในทันที

 

“ก็ถ้าเกิดว่าข้างล่างนั่นมันมีปัญหาอย่างที่ฉันคาดเอาไว้จริงๆ ก็คงจะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสัปดาห์นึงในการอพยพผู้คนออกมาจากจุดนั้นก่อนที่จะไม่เหลือใครที่ยังมีชีวิตอยู่ให้อพยพแล้วน่ะค่ะ”

 

“อ้อ แล้วถ้าเกิดว่าไม่ยอมประกาศอพยพล่ะก็ พอถึงเวลาแล้วต่อให้มีฉันสักร้อยคนก็คงจะช่วยรักษาให้ไม่ไหวหรอกนะคะ~ หรือเผลอๆ อาจจะไม่มีโอกาสได้รักษาเลยด้วยล่ะมั้ง~”

 

นัวร์ที่เห็นว่าเอริกะพูดเร่งรัดเหล่าขุนนางเมืองกราวิทัสขึ้นมานั้นได้ถือโอกาสนี้ในการพูดตามขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งคำพูดของสองสาวที่คนหนึ่งก็พยายามจะผละตัวให้หลุดออกจากอ้อมกอดในขณะที่อีกคนหนึ่งก็พยายามกอดจับไม่ยอมปล่อยสักทีนั้นก็ได้ทำให้เหล่าขุนนางทั้งสี่คนหันไปพูดคุยกันเองอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เวอร์มอนด์ที่ดูเหมือนว่าจะมีอำนาจสูงสุดในหมู่ทั้งสี่คนจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน

 

“ในเมื่อมีเอกสารเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วแบบนี้ที่เหลือก็แค่ขอเวลาให้พวกผมเตรียมกองทหารสำหรับส่งไปตรวจสอบที่น่าจะใช้เวลาสักหนึ่งวันครับ”

 

“ส่วนเรื่องแผนการอพยพคงจะต้องใช้เวลาปรึกษากันสักพักนึง ระหว่างนั้นคงจะต้องให้คุณเอริกะกับคุณนัวร์ออกไปก่อนจะได้หรือเปล่า?”

 

ในขณะที่ทางด้านเวอร์มอนด์ดูเหมือนจะตกลงที่จะยอมทำตามแผนการของเอริกะแล้ว ทางด้านแอทลาสกลับพูดเป็นเชิงบอกไล่เอริกะกับนัวร์ให้ออกไปจากห้องประชุมเสียอย่างนั้นจนทำให้เอริกะที่ได้ยินแบบนั้นต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้อัลเปียที่ดูเหมือนว่าจะมีความชื่นชมในตัวของเอริกะต้องพูดรีบอธิบายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเสียดายที่จะต้องจากลากันในวันนี้เสียแล้ว

 

“บ…แบบว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน ก็เลยอาจจะต้องนำเอาวิทยาการขั้นสูงต่างๆ ของเมืองมาใช้งานน่ะค่ะ… แล้วจะให้เอาของแบบนั้นมาให้ท่านเอริกะที่ทำงานให้เมืองรีมินัสมาเห็นมันก็… แหะๆ …”

 

คำพูดอธิบายของอัลเปียได้ทำให้สีหน้าแปลกใจของเอริกะเปลี่ยนไปเป็นรอยยิ้มด้วยความยินดีก่อนที่นักประดิษฐ์สาวจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไปแบบไม่ถือสาอะไรมาก

 

“ได้ยินว่าพวกคุณพร้อมจะทุ่มเต็มที่แบบนี้แล้วฉันก็สบายใจแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะให้พวกคุณเตรียมกำลังพลเผื่อเอาไว้สำหรับป้องกันเมืองด้วยก็ดีนะคะ เพราะว่ามันก็อย่างที่เห็นว่าสวนสาธารณะนั่นมันอยู่ใกล้กับใจกลางเมืองมากเลยน่ะค่ะ”

 

“เรื่องกองกำลังสำหรับตรวจสอบน่ะยังพอว่า แต่ถ้าจะให้เรียกระดมพลนี่มันก็อีกเรื่องนึง…”

 

คำเตือนของเอริกะในครั้งนี้ได้ทำให้เสนาธิการเหล่าทัพอย่างแอทลาสต้องขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจ เพราะว่าเอกสารที่อาริสะทำมาให้นั้นมันไม่ได้ครอบคลุมถึงเรื่องการเรียกระดมพลขนาดใหญ่พอที่จะควบคุมพื้นที่สวนสาธารณะและบริเวณรอบๆ ให้รัดกุมได้แบบนั้น

 

ซึ่งคำพูดพึมพำของแอทลาสก็ได้ทำให้เวอร์มอนด์ต้องขมวดคิ้วตามไปด้วยอีกคนหนึ่งก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงเพื่อใช้ความคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เรื่องคำสั่งระดมพลสำหรับเฝ้าระวังในเมืองคุณแอทลาสจัดการไปได้เลยครับเดี๋ยวผมรับผิดชอบให้เอง… ถึงเราจะยังไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ หรือเปล่าก็เถอะ แต่เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแล้วผมว่าพวกเราเตรียมการเผื่อเอาไว้ก่อนดีกว่า”

 

“เห…..”

 

บทสนทนาของสองขุนนางใหญ่ของเมืองแพนเทร่าได้ทำให้เอริกะต้องแสดงท่าทีประหลาดใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าถ้าเทียบกับเหล่าขุนนางเมืองรีมินัสที่เอาแน่เอานอนไม่ได้แล้วดูเหมือนว่าขุนนางที่ดำรงตำแหน่งสำคัญของเมืองแพนเทร่าจะมีความคิดตั้งมั่นที่จะปกป้องประชาชนของเมืองตัวเองมากกว่าเยอะ

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมาให้มากความและตัดสินใจที่จะเอ่ยปากบอกลาเหล่าขุนนางแห่งแพนเทร่าขึ้นมา

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวฉันขอตัวให้พวกคุณได้วางแผนกันก่อนก็แล้วกัน สำหรับเรื่องที่เหลือก็ฝากเธอด้วยก็แล้วกันนะอาริสะ”

 

“ไว้ใจได้เลยค่ะคุณเอริกะ!”

 

อาริสะพูดตอบเอริกะกลับไปด้วยน้ำเสียงดีใจและส่ายหางจิ้งจอกสีแดงฟูๆ ของเธอไปมาจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนี้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงหันหลังกลับเพื่อเดินออกจากห้องไป

 

แต่ถึงอย่างนั้นฝีเท้าของเธอก็กลับชะงักไปเมื่อนัวร์ที่ยังเกาะแขนของเธอเอาไว้ไม่ปล่อยไม่ได้เดินตามมาด้วยอีกทั้งยังยกมือขึ้นโบกไปมาตรงไปทางด้านเรย์มอนด์เพื่อเรียกความสนใจของเขาอีกด้วย

 

“อ่ะๆ ก่อนจะไปฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณเรย์มอนด์หน่อยนึงน่ะ~”

 

“เอ่อ… ผมหรอครับ?”

 

“คือฉันอยากขอใบอนุญาตในการตรวจสอบที่สุสานหลวงสักหน่อยจะได้หรือเปล่าน่ะ?”

 

“เอ… ถ้าเป็นที่สุสานหลวงคุณนัวร์สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าไปข้างในได้อยู่แล้วนะครับ จะมีก็แค่ในส่วนของสุสานใต้ดินที่ตอนนี้ปิดไม่ให้เข้าออกเพราะคดีขโมยศพนั่นน่ะครับ”

 

เรย์มอนด์ที่ได้ยินคำขอของนัวร์ได้พูดตอบเธอกลับไปด้วยความแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ก็กลับยิ้มแป้นก่อนที่เธอจะพูดขออนุญาตขึ้นมาตรงๆ

 

“มันก็ส่วนของสุสานใต้ดินนั่นแหล่ะที่ฉันอยากจะไปตรวจสอบดูน่ะ~ เห็นเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าในตอนนี้ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขก่อนหรือว่าอะไรเนี่ยแหล่ะ”

 

“…นี่เธอวางแผนอะไรเอาไว้อยู่หะ”

 

คำพูดของนัวร์ในครั้งนี้ได้ทำให้เอริกะต้องกระชากนัวร์เข้ามาใกล้เพื่อกระซิบถามแผนการร้ายของปิศาจตัวน้อยในร่างของหญิงสาวขึ้นมา ซึ่งนั่นก็ทำให้นัวร์ที่ได้ยินคำถามของเอริกะไม่รอช้าที่จะเบียดร่างเข้าไปคลอเคลียหญิงสาวนักประดิษฐ์ในทันที

 

“ก็ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นคือที่แรกๆ ที่มีรายงานเกี่ยวกับหมอกพวกนี้ก็เลยอยากจะลองไปตรวจสอบดูเฉยๆ เท่านั้นเอง~”

 

“ตกลงว่าเรื่องทั้งหมดนี่ไม่ได้เป็นฝีมือของพวกเธอจริงๆ งั้นหรอ?”

 

“จะบ้าหรอ พวกเราเคยสัญญากับเหล่าเพื่อนๆ ที่แสนดีพวกนั้นเอาไว้แล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าเธอลืมคำสัญญาที่มีกับพวกเขาไปแล้วน่ะ… อ่ะ— แต่ต่อให้พวกเธอลืมไปแล้วก็ไม่เป็นไรหรอกนะ เพราะว่าพวกฉันทุกคนยังจดจำแล้วก็จะยังรักษาคำสัญญานั่นเอาไว้ตลอดไปต่อให้มันจะเจ็บปวดสักแค่ไหนก็ตามน่ะ~”

 

คำตอบของนัวร์ที่ยิ้มพูดตอบกลับมาด้วยสีหน้าระรื่นแต่ว่าเนื้อความกลับเป็นการประชดประชันนั้นได้ทำให้เอริกะต้องปิดปากเงียบ

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นัวร์จะได้พูดอะไรขึ้นมาต่อ ทางด้านเรย์มอนด์ที่ใช้เวลาพูดคุยกับเหล่าขุนนางอีกสามคนที่เหลือเสร็จแล้วก็ได้ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินตรงเข้ามาพูดบอกกับนัวร์

 

“ถ้างั้นเชิญคุณนัวร์ตามมาได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะพาไปทำเอกสารอนุญาตเข้าถึงเขตใต้ดินของสุสานหลวงให้เอง”

 

“เข้าใจแล้วค่า~ ถ้างั้นฉันไปก่อนนะเอริกะจัง~”

 

“…เดี๋ยวก่อนค่ะคุณเรย์มอนด์ ถ้าเป็นไปได้ฉันขอเอกสารนั่นด้วยอีกคนนึงก็แล้วกันนะคะ พอดีว่าฉันไม่อยากจะให้ยัยนัวร์นี่คลาดสายตาสักเท่าไหร่น่ะค่ะ”

 

“เอ๋~ ถ้าจะไปด้วยกันทั้งทีทำไมถึงคิดจะไปที่สุสานใต้ดินกันล่ะเอริกะจัง~ ที่อื่นน่าไปเดทด้วยกันมีอีกตั้งเยอะแยะนะ~”

 

ในขณะที่เอริกะมีท่าทีเคร่งเครียดเล็กน้อยนั้น ทางด้านนัวร์ก็กลับยิ้มระรื่นพูดจากวนประสาทขึ้นมาเสียอย่างงั้น แต่ถึงอย่างงั้นทางด้านเรย์มอนด์ที่ได้ยินว่าเอริกะที่เป็นคนมีชื่อเสียงและเป็นคนที่เขาชื่นชมจะช่วยตามนัวร์ไปตรวจสอบเขตใต้ดินของสุสานหลวงด้วยอีกคนหนึ่งก็ได้พยักหน้ากลับมาให้เธอด้วยความยินดี

 

“ถ้ามีคุณเอริกะไปช่วยด้วยอีกคนนึงผมก็โล่งใจแล้วล่ะครับ ถ้างั้นก็เชิญทั้งสองคนตามมาได้เลยครับ”

 

หลังจากที่เรย์มอนด์พูดจนจบแล้วเขาก็ได้เดินนำเอริกะกับนัวร์ที่กลับไปคล้องแขนกับเอริกะด้วยท่าทีสนิทสนมอีกครั้งหนึ่งแล้วออกจากห้องประชุมไป

 

แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินนำไปที่ไหน เขาก็ได้ยินเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะพูดเจาะจงถึงกลุ่มของพวกเขาเข้าเสียก่อนจนต้องหยุดเท้าลงอีกครั้ง

 

“อ่ะ— คุณเอริกะประชุมเสร็จแล้วหรอคะ?”

 

เด็กสาวที่พูดทักเอริกะขึ้นมานั้นก็คือไดเอน่าที่ยืนพิงกำแพงเฝ้ารอให้การประชุมจบลงอยู่ที่ข้างๆ เคนซากิเพื่อรอเข้าพบ ‘ผู้ปกครอง’ ของเคนซากิที่น่าจะมาเข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินของเอริกะด้วยนั่นเอง

 

ซึ่งถึงแม้ว่าการปรากฏตัวของไดเอน่ากับเคนซากิที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ห่างออกไปไม่ไกลจะทำให้เอริกะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างก็ตามทีแต่ว่าเธอก็ไม่รอช้าที่จะฝากไหว้วานอีกฝ่ายขึ้นมาในทันที ในขณะที่ทางด้านนัวร์นั้นก็ได้ปล่อยมือออกจากแขนของเอริกะด้วยสีหน้ายิ้มๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

“ขอแป๊บนึงนะคะคุณเรย์มอนด์… ไดเอน่ามานี่หน่อย ฉันมีเรื่องจะให้เธอช่วยพอดีเลย”

 

“ให้ฉันช่วยงั้นหรอคะ? คงจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่มั้งคะ ตอนนี้ฉันกำลังรอพบผู้ปกครองของเคนซากิเขาในนามโรงเรียนรีมินัสอยู่น่ะค่ะ…”

 

“เอาน่า ไม่นานสักเท่าไหร่หรอก หลังจากที่ฉันไปแล้วฝากเธอเอาเจ้านี่ติดต่อไปหาพวกนากาคุงบอกให้เขาแบ่งคนมาเจอฉันที่สุสานหลวงสักคนนึงหน่อยสิ แล้วอย่าลืมบอกให้คนที่มาเตรียมอาวุธมาด้วยล่ะ”

 

“เอ… เครื่องดักฟังนี่มันใช้ติดต่อกันได้ด้วยหรอคะ? แต่ถ้าแบบนั้นคุณเอริกะติดต่อไปเองเลยจะไม่สะดวกกว่าหรอคะนั่น”

 

ไดเอน่าที่เห็นว่าสิ่งที่เอริกะยื่นมาให้เธอก็คือเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กที่ก่อนหน้านี้เธอเคยใช้มันเพื่อช่วยให้เอริกะได้ดักฟังการพูดคุยของเธอกับเดริกและทีออสในตอนที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนขับรถมาจากเมืองกราวิทัสเพื่อส่งพวกนากาที่โรงเรียนมาครั้งหนึ่งได้พูดถามกลับไปด้วยความสงสัย

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะที่โดนนัวร์เกาะแกะไม่ยอมปล่อยมาสักพักหนึ่งแล้วก็ได้เหลือบไปมองปิศาจร้ายผมยุ่งสีดำที่กำลังยืนยิ้มรอเธออยู่ที่ข้างๆ เรย์มอนด์เล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบไดเอน่ากลับไป

 

“ตอนนี้ฉันไม่สะดวกจะติดต่อเองสักเท่าไหร่น่ะ… อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนที่ฉันโดนยัยหัวดำนั่นเกาะอยู่ไม่ปล่อยแบบนี้แน่ๆ ล่ะ”

 

“ผู้หญิงผมดำคนนั้นนั่นหรอคะ… เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวฉันจะจัดการให้ตามที่คุณเอริกะว่ามาก็ละกันนะคะ”

 

ถึงแม้ว่าไดเอน่าจะไม่รู้จักหญิงสาวผมยุ่งสีดำในชุดเสื้อกาวน์ใหญ่เกินตัวคนที่กำลังยืนยิ้มโบกมือมาให้เธออยู่ก็ตามที แต่ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายสามารถทำให้เอริกะที่ปกติจะทำตัวสบายๆ แสดงท่าทีระมัดระวังออกมาได้แบบนั้นมันก็คงจะหมายความว่าเธอคนนั้นไม่ใช่คนทั่วๆ ไปอย่างแน่นอนเธอจึงได้ยอมตอบตกลงไปแต่โดยดี

 

ส่วนทางด้านเอริกะที่ตกลงกับไดเอน่าจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินกลับไปหาเรย์มอนด์ก่อนที่เธอและนัวร์จะเดินตามเขาไปที่ห้องทำงานเพื่อจัดการเอกสารขออนุญาตเข้าไปด้านในเขตใต้ดินสุสานหลวง

 

และหลังจากที่เอริกะได้รับเอกสารจากเวอร์มอนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอก็โดนนัวร์ลากตรงไปยังสุสานหลวงของเมืองแพนเทร่าและได้พบเข้ากับคอนแนลที่กำลังยืนรอเธออยู่พอดี

 

“คุณเอริกะ! ทางนี้ครับ!”

 

“อ้าว เป็นเธอหรอเนี่ยคอนแนล ฉันนึกว่าจะเป็นนากาซะอีกนะ”

 

“ผมได้ยินว่าคุณเอริกะต้องการความช่วยเหลือก็เลยอาสาจะมาเองน่ะครับ”

 

“เห… นั่นใครน่ะเอริกะ เพื่อนใหม่ของเธอหรอ? ฉันชื่อว่า นัวร์ เป็นเพื่อนสนิทสุดซี้ของเอริกะเขาน่ะ~”

 

ในขณะที่เอริกะกำลังพูดคุยอยู่กับคอนแนลอยู่นั้นเอง นัวร์ก็ได้ยื่นหน้าออกมาพูดแนะนำตัวด้วยท่าทีเป็นกันเองจนทำให้คอนแนลต้องรีบพูดแนะนำตัวกลับไปในทันที

 

“ผมคอนแนลครับ สมัยเด็กๆ เคยไปรบกวนคุณเอริกะเขาอยู่บ่อยๆ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณนัวร์”

 

“นายไม่ต้องไปแนะนำตัวให้ยัยนี่ฟังหรอกคอนแนล เอาเป็นว่าไปกันเถอะ”

 

เอริกะที่รู้พิษสงของนัวร์ดีนั้นได้รีบยื่นมือออกไปดันหัวของนัวร์ให้ถอยห่างออกไปและพูดห้ามปรามเด็กหนุ่มที่เธอรู้จักตั้งแต่เขายังเด็กอยู่ขึ้นมาก่อนที่เธอจะดึงแขนของคอนแนลให้เดินตามเธอไปยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ในทันทีโดยมีนัวร์รีบเดินตามไปไม่ห่าง

 

แต่ถึงอย่างนั้นเอกสารที่เอริกะและนัวร์มีก็มีเพียงแค่สองชุดสำหรับพวกเธอเองเท่านั้นจนทำให้คอนแนลที่เห็นว่าเขาจำเป็นที่จะต้องมีเอกสารเพื่อลงไปยังเขตใต้ดินของสุสานหลวงต้องแอบกระซิบพูดถามเอริกะขึ้นมา

 

“เอ่อ… ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ว่าการเฝ้าระวังของที่นี่เข้มงวดมากเลยนะครับคุณเอริกะ ถ้าจะลงไปข้างล่างนั่นจริงๆ จะให้ผมแอบลอบตามไปมั้ยครับ?”

 

“หว๋าย ไม่ไหวหรอกจ้ะ~ ดูอย่างนายสองคนนั้นสิถึงจะเห็นทำเป็นไม่สนใจก็เถอะแต่แอบจ้องพวกเราตาไม่กะพริบเลยนะ แถมข้างบนตรงชั้นสองนั่นก็ยังมีอีกสองคนคอยจับตาดูอยู่อีก แค่ก้าวเท้าผิดไปก้าวเดียวเธอก็โดนเขาส่งคนมารวบไปแล้วล่ะ~”

 

คำถามของคอนแนลที่ฟังดูสุ่มเสี่ยงกับการโดนจับได้นั้นได้นัวร์ยื่นหน้าเข้ามาพูดตอบให้แทนในระยะประชิดจนทำให้คอนแนลสะดุ้งไปเล็กน้อย

 

ส่วนทางด้านเอริกะที่ไม่ได้คิดจะให้คอนแนลตามพวกเธอลงไปในเขตสุสานใต้ดินอยู่แล้วก็ได้ดันศีรษะของนัวร์ไปให้พ้นทางแล้วจึงค่อยพูดอธิบายขึ้นมาให้คอนแนลฟัง

 

“ฉันไม่ได้กะจะให้เธอลงไปข้างล่างนั่นด้วยอยู่แล้วล่ะ”

 

“เอ๋?”

 

คำพูดของเอริกะได้ทำให้คอนแนลต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่ทางด้านนัวร์ที่โดนดันไปให้พ้นทางนั้นก็ได้เดินแยกออกไปเพื่อมองดูหีบศพจำนวนมากที่ถูกตั้งเอาไว้ตามกำแพงของสุสานหลวงแห่งนี้เป็นโอกาสให้เอริกะได้ใช้จังหวะนี้ในการพูดสั่งงานคอนแนลขึ้นมา

 

“ฟังฉันนะคอนแนล หลังจากที่พวกฉันลงไปข้างล่างนั่นแล้วถ้าเกิดว่ายัยนั่นกลับมาโดยไม่มีฉันมาด้วยล่ะก็ให้เธอรีบติดต่อไปขอความช่วยเหลือจากพวกนากาคุงกับไดเอน่าจังแล้วพยายามถ่วงเวลาเอาไว้จนกว่าคนอื่นๆ จะมาถึงแล้วก็ช่วยกันจัดการยัยนั่นให้ได้นะเข้าใจมั้ย”

 

“เอ๋ะ? เอ๋…? ที่ว่าจัดการนี่หมายถึง….”

 

“หมายถึงว่าถ้าฉันไม่ได้กลับขึ้นมาพร้อมกับยัยนั่น ยัยนั่นก็ต้องไม่มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ด้วยนั่นแหล่ะ ทำยังไงก็ได้ให้ยัยนั่นตายคาที่เสร็จแล้วก็เอาศพหรืออะไรก็ตามที่เหลืออยู่ไปเผาทิ้งอย่าให้เหลือซากส่วนกระดูกก็เอาไปป่นให้เป็นผงอย่าให้เหลือ… เธอจัดการเรื่องนี้ให้ฉันได้หรือเปล่าคอนแนล?”

 

“ต–แต่ไม่ใช่เขาบอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณเอริกะ…”

 

คำพูดที่ฟังดูโหดร้ายของเอริกะได้ทำให้คอนแนลผงะไปด้วยความตกใจ แต่ว่าเมื่อเขาได้เห็นท่าทีจริงจังของเอริกะแล้วเขาก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงจะอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เขาจึงได้รีบที่จะพูดเสนอตัวขึ้นมาในทันที

 

“ถ้าอย่างงั้นให้ผมแอบลงไปด้วยตั้งแต่แรก—”

 

“ไม่ได้ มันเสี่ยงเกินไป ถ้าเกิดว่าเธอขัดคำสั่งของทางเมืองแพนเทร่าแล้วโดนจับได้ขึ้นมาพวกเขาจะสืบได้ว่าเธอกับไดเอน่าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มดอว์นมีความเกี่ยวข้องกันได้แน่ๆ แล้วเรื่องมันอาจจะลุกลามไปใหญ่โตก็ได้ วิธีการที่ฉันบอกเธอมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ถือว่าฉันขอเถอะนะคอนแนล”

 

“………”

 

คอนแนลที่ได้ยินเอริกะยกกลุ่มดอว์นและไดเอน่ารวมไปถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเมืองขึ้นมาเป็นข้ออ้างได้นิ่งเงียบไปโดยไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไป ในขณะที่ทางด้านเอริกะที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เฝ้ารอคำตอบของคอนแนลตั้งแต่แรกจนดูราวกับว่าสิ่งที่เธอพูดกับเขาเมื่อสักครู่นี้มันเป็นคำสั่งเสียมากกว่าคำสั่งก็ได้ผละตัวออกจากคอนแนลและเดินตรงไปยังทางลงไปสู่เขตใต้ดินของสุสานหลวงของเมืองแพนเทร่า จนทำให้นัวร์ที่เห็นแบบนั้นต้องรีบเดินตามไปในทันที

 

“อ่ะ— อย่าทิ้งกันแบบนี้สิเอริกะจัง~”

 

“……….”

 

เอริกะที่ได้ยินเสียงร้องเรียกของนัวร์ไม่ได้พูดตอบอะไรหญิงสาวผมยุ่งสีดำกลับไปและเร่งฝีเท้ามากขึ้นราวกับว่าเธอต้องการที่จะพานัวร์ให้ออกห่างจากคอนแนลไปให้เร็วที่สุด

 

และเมื่อหญิงสาวทั้งสองคนเดินลงบันไดไปจนสุดแล้วพวกเธอก็ได้พบเข้ากับห้องโถงขนาดใหญ่ของสุสานใต้ดินที่เต็มไปด้วยหีบศพที่ดูหรูหราถูกตั้งเรียงรายเอาไว้มากมาย

 

แต่ถึงอย่างนั้นก็กลับมีหลายๆ จุดของสุสานใต้ดินแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นตามพื้น ช่องว่างในผนัง หรือริมกำแพงที่กลับว่างเปล่าทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นจุดที่มีหีบศพถูกตั้งเอาไว้ตามประเพณีของชาวเมืองแพนเทร่าจนทำให้นัวร์ที่เห็นแบบนั้นต้องเดินเข้าไปสำรวจดูใกล้ๆ ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เห… มีจุดที่โดนเว้นว่างเอาไว้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย นี่ๆ เอริกะจัง~ คิดว่าตรงที่มันว่างๆ พวกนี้มันคือที่ของศพที่เขาว่ามันหายไปหรือว่าเขาจงใจเว้นว่างเอาไว้ตั้งแต่แรกกันน่ะ~”

 

แกร๊ก—!!

 

“เลิกทำเป็นเล่นแล้วก็คายความจริงออกมาได้แล้ว! ตกลงพวกแกมาทำอะไรที่นี่กันแน่!!”

 

คำถามของนัวร์นั้นได้รับคำตอบกลับเป็นเสียงตวาดถามของเอริกะที่ชักปืนพกกระบอกหนึ่งออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์ของเธอจ่อไปที่กลางศีรษะของนัวร์ในระยะประชิดแทน

 

ฟวับ—!!

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านนัวร์ที่ดูเหมือนว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเอริกะคิดจะทำอะไรก็ได้หมุนตัวสะบัดแขนเสื้อของเธอไปทางเอริกะเผยให้เห็นใบมีดปลายแหลมสีขาวหม่นที่ดูเหมือนว่าจะถูกสร้างมาจากท่อนกระดูกของมนุษย์ที่โผล่ออกมาจากภายใต้แขนเสื้อกาวน์ที่ถูกนำไปจ่อเอาไว้ที่คอหอยของเอริกะ

 

อีกทั้งนัวร์เองก็ยังใช้หน้าผากของเธอดันเข้าใส่ปลายกระบอกปืนของเอริกะเล่นอีกสองสามทีโดยไม่มีท่าทีว่าจะเกรงกลัวอาวุธอันตรายในมือของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

 

“หู้ย… ใจร้ายจังเลยนะเธอเนี่ย แค่ถามดีๆ ก็ได้ไม่เห็นจะต้องจ่อปืนใส่กันเลยนี่นา~”

 

“……….”

 

“ก็ได้ๆ ฉันก็แค่เห็นว่าสถานการณ์ที่เมืองแพนเทร่านี่มันไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ก็เลยกะจะลองมาช่วยดูแล้วก็ดันบังเอิญมาเจอกับเธอพอดีเนี่ยแหล่ะ~”

 

“อย่างพวกเธอที่เกลียดมนุษย์พวกนี้ขนาดนั้นเนี่ยนะจะคิดมาช่วยพวกเขาน่ะ! พวกเราเป็นศัตรูกันมานานเกินกว่าที่จะใช้ลูกไม้โง่ๆ แบบนี้แล้วนะนัวร์!! รีบๆ พูดความจริงออกมาได้แล้ว!!”

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่

Score 10
Status: Completed
เมื่อคำสัญญาจากอดีตได้หวนคืนกลับมาเพื่อทวงคืนสิ่งที่ถูกหยิบยืมไป การเดินทางของคนถูกทิ้งกลุ่มหนึ่งเพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น

Options

not work with dark mode
Reset