“พี่ไปได้ยินมานะเคย์!!”
ในคืนวันที่ยื่นข้าวกล่องให้ฮอนโด จู่ๆไอก็พรวดพราดเข้ามาในห้องในขณะที่เรากำลังนึกถึงคำพูดของฮอนโดอยู่
“ไปได้ยินอะไรมาอีกล่ะ? อีกอย่างจะให้บอกอีกกี่ครั้งกี่หนว่าอย่าเข้าห้องมาโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ก็เพราะว่าเคย์กับพี่เรามีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันยังไงล่า”
“นี่เธอไม่รู้จักประโยคที่ว่า ‘ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทก็อย่าลืมพกมารยาทมาด้วย’ รึไง?”
“เห เคย์คิดว่าพี่เป็นเพื่อนสนิทสิน้า! ดีใจจาง!”
“หนวกหู! แล้วสรุปไปได้ยินอะไรมากันแน่?”
เพราะว่าไม่เห็นท่าทีว่าไอจะเงียบลงได้เลยถ้าขืนยังต่อปากต่อคำกันอย่างนี้ต่อไป ชั้นก็เลยตัดสินใจลองฟังเรื่องที่เธอจะพูดตอนนี้
“อ๋า จริงสิ! เคย์พี่ได้ยินมาว่าเธอให้ข้าวกล่องไปแล้วสินะ!!”
“………..ไปได้ยินมาจากใคร?”
ต้องเป็นฝีมือของเพื่อนร่วมชั้นของเราแน่ๆล่ะ
“ความลับจ้ะ แต่พี่เองก็มีสายสืบที่อยู่ในห้องเดียวกับเคย์ด้วย พอบอกได้แค่นี้แหละ”
ไอตอบกลับมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจด้วยการเชิดหน้าอกมหึมาให้ยื่นออกมาโดยไม่จำเป็น อันที่จริงก็รู้มาสักพักนึงแล้วว่าไอมีเพื่อนเยอะแยะแต่เราเองก็ไม่รู้ว่าเธอรู้จักใครบ้างในห้องเรียนของเราเหมือนกัน
“เอาเถอะ นั่นมันไม่สำคัญหรอกเรื่องเดียวที่พี่สนใจก็คือนุ้งเคย์ของพี่เจอคนที่ปิ๊งปั๊งเข้าให้แล้วสินะ!”
“พูดอะไรของเธอ?”
“อย่าทำเป็นไก๋ไปหน่อยเลย ตอนนี้พี่รู้ไต๋เธอหมดแล้วนะ”
ไอยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกอดอก นี่ถ้าไม่ติดเรื่องความมีเหตุมีผลแล้วล่ะก็
ก็คงจะสับกบาลแยกสักทีไปแล้ว
“แล้วมันยังไงล่ะ? การให้ข้าวกล่องเป็นเพียงแค่การแสดงความขอบคุณก็แค่นั้น”
“หืมม ไม่คิดว่าจะพูดแบบนั้นเลยนะเนี่ย”
ไอกอดอกและส่ายตัวท่อนบนไปมาซ้ายทีขวาที
“นี่กำลังจะบอกว่าชั้นโกหกงั้นเหรอ?”
“เปล่า ไม่ได้อะไรขนาดนั้น แค่อยากรู้น่ะว่ามันเป็นการตอบแทนบุญคุณแบบไหนกันแน่น้า?”
“หมายความว่าไงก็เรื่องคาบเรียนทำอาหารไงเล่า……..”
“ใช่แล้ว! นั่นไงล่ะ!”
ไอปล่อยมือออกจากอกแล้วชี้มาทางนี้
“คุณชิมิสึ เคย์คะ ชั้นได้ยินเรื่องของคุณมาค่ะ ได้ยินมาว่าคุณเข้าคาบเรียนทำอาหารคาบล่าสุดโดยที่ไม่ได้โดดเรียน”
“ละ-แล้วมันยังไงล่ะ! ใช่ว่าจะเขาห้ามให้เข้าเรียนสักหน่อยนี่!”
ปกติแล้วการเข้าคาบเรียนก็ต้องอนุญาตอยู่แล้ว
“ก็ใช่ค่ะ แต่ว่าทำไมอยู่ๆคุณถึงได้มีไฟอยากเข้าคาบเรียนทำอาหารกันเอ่ย? อยากรู้จังเลยน้า ดิชั้นก็เลยไปลองสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและก็ได้รู้อะไรบางอย่างที่น่าตกใจเป็นอย่างมากมาด้วยแหละค่ะ”
“ปะ-ไปรู้อะไรมา?”
หงุดหงิดชะมัดที่ตัวเองพูดติดอ่างเนี่ย
“คุณเคย์คะ ดิชั้นได้ยินมาว่าคุณกำลังทำอาหารร่วมกับผู้ชายคนนึงค่ะ!”
“นั่นก็เพราะเราได้รับมอบหมายให้ทำด้วยกันยังไงล่ะ…..”
“แต่ยังไม่หมดค่ะ จากคำให้การของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ยังบอกอีกด้วยว่าผู้ชายคนนั้นยังจับมือคุณและสอนคุณใช้มีดด้วยแหละค้า!!”
“ฮึกกกกกกก…..”
ตอนนั้นมีคนกำลังสอดแนมเราอยู่อย่างนั้นรึ? เอาจริงๆคือกำลังตั้งใจกับงานตรงหน้าก็เลยไม่ได้สนใจสายตาคนอื่นที่มองมาเลย
“เธอที่ปกติจะไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆแต่กลับยอมให้เขาคนนั้นแบบนั้นก็หมายความว่าเขาคือคนพิเศษสำหรับเธอใช่ไหมล่ะ? พี่พูดถูกต้องมั้ยเคย์?”
“เรื่องนั้น……”
จะปฏิเสธมันก็ทำได้ง่ายๆแต่ว่าพี่สาวของเราก็ไม่น่าจะพอใจกับคำตอบนั้นแน่ๆ
“ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เธอเอาข้าวกล่องให้ก็ดูเหมือนจะเป็นคนๆเดียวกันนะ ดีไม่ดีเขาเองก็คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงได้ปุบปับย้อมผมสีดำด้วยสินะ?”
“……………”
ไหงพี่สาวของเรายัยคนที่ชอบบ่นว่าการเรียนมันยุ่งยากจะตายไปถึงได้ฉลาดในเวลาแบบนี้กันนะ?
“งั้นพี่ถือว่าการที่เธอไม่ปฏิเสธคือการยอมรับนะ?”
“…….อื้อ”
“หืม? พูดว่าอะไรนะขออีกทีสิจ้ะ”
“ก็บอกว่าใช่ไงเล่า! แล้วมีปัญหารึไง!”
เมื่อรู้ตัวว่าจนมุมแล้วก็เลยเลิกคิดที่จะหาข้อแก้ตัวและก้มหน้ายอมรับมัน
“ในที่สุดก็ยอมรับจนได้นะ พี่ดีใจมากจริงๆนะที่เคย์เจอคนที่ชอบแล้วน่ะ โอ้ย น้ำตาจะไหลขอแชร์นะคะ”
“อย่ามาแหล”
“ฮิฮิ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อนเลยนะ!”
พี่สาวของเรานั้นนิสัยเสียเรื่องการที่ชอบหัวเราะในตอนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลย
“ขอโทษทีจ้า แล้วเขาคนนั้นเป็นคนยังไงล่ะ?”
“เธอก็น่าจะรู้เรื่องเขามาอยู่นิดหน่อยแล้วไม่ใช่รึไง?”
หากว่ามีสายสืบอยู่ในห้องเรียนเดียวกันกับเราจริง ไอเองก็น่าจะรู้เรื่องของฮอนโดมาแล้วไม่มากก็น้อยล่ะนะ
“ข้อมูลจากคนอื่นที่เล่ากันมาปากต่อปากมันอาจจะคลาดเคลื่อนได้นี่นา ยังไงพี่ก็อยากได้ยินจากเคย์มากกว่านะ”
“ไม่ขอตอบคำถามนั้นละกัน”
“เอ๋~ ทำไมล่ะ? ต่อให้เป็นพี่สาวก็ไม่ได้เหยอ? พี่เองก็มีประสบการณ์ชีวิตเยอะนะจะบอกให้? พี่สามารถช่วยเรื่องชีวิตรักของเคย์ได้น้า?”
“อายุมากกว่าแค่ปีเดียวทำเป็นคุยเรื่องประสบการณ์ชีวิตอีกนะและยิ่งเป็นประสบการณ์เรื่องความรักเธอเองก็ยังไม่มีเลยเถอะ”
ไอเป็นที่นิยมจากทั้งผู้ชายและผู้หญิงเนื่องจากนิสัยร่าเริงของเธอเองและต่อให้เราจะไม่อยากยอมรับก็เถอะแต่ก็เพราะรูปลักษณ์ที่ดีของเธอนั่นแหละ
แต่ยังไงซะไอก็ปฏิเสธทุกคำสารภาพรักที่เธอได้รับมาจนถึงตอนนี้และไม่เคยมีความสัมพันธ์ได้คบหากับใครเลยสักคน
“นั่นก็เพราะ………..จะว่าไงดีล่ะ……….สัมผัสไม่ได้ถึงโชคชะตาล่ะมั้งนะ”
ทันใดนั้นเสียงของไอก็แผ่วลง ซึ่งเหตุผลมันก็แน่อยู่แล้ว
“นั่นเป็นเพราะว่าเธอชอบโยสุเกะไม่ใช่รึไง?”
“พะ-พูดเรื่องอะไรน่ะเคย์!? จู่ๆก็พูดอะไรไร้สาระออกมา เธอนี่เป็นยัยน้องจอมจุ้นจริงๆเลย!”
เสียงของไอกระวนกระวายอย่างชัดเจน
โยสุเกะคือเพื่อนสมัยเด็กของไอและเป็นคนที่เธอมีความรู้สึกดีๆให้
ตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงปัจจุบัน เราสังเกตได้ถึงสีหน้าของไอที่เปลี่ยนไปทีละน้อยตอนที่ได้อยู่กับโยสุเกะ
นั่นคือเหตุที่ทำให้คนเราตกหลุมรักกันรึเปล่านะ?
“ตอนนี้มันไม่เกี่ยวกับโยสุเกะกับพี่สักหน่อย! เล่าเรื่องดาร์ลิ้งของเคย์มาให้มากกว่านี้ซะดีๆ!”
“อย่ามาเรียกหมอนั่นว่าดาร์ลิ้งของชั้นนะ! ไม่เอาแล้วจะไม่เล่าอะไรอีกแล้ว”
“ฟุๆ พูดแบบนั้นจะดีเหรอ?”
“อะไรกันล่ะนั่น?”
นี่มันสีหน้าเวลาที่เธอกุมจุดอ่อนของเราไว้อยู่นี่นา
แต่ยังไงเราก็ยังไม่รู้ว่าจุดอ่อนที่ว่านั้นมันคืออะไร
“อย่าบอกนะว่าเคย์ลืมไปแล้วว่าพี่ใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์ช่วยเคย์ทำข้าวกล่องตอนเช้าและยังช่วยกินไอ้สิ่งที่พยายามทำมาแต่มันล้มเหลวไม่เป็นท่ากับเคย์น่ะ?”
“อ๊ะ”
นั่นสินะ ตลอดทั้งสัปดาห์ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ได้ไอที่ลุกขึ้นมาช่วยทำข้าวกล่องอย่างขมักเขม่นทุกเช้าและต่ให้ทำเสร็จแล้วเธอก็ยังช่วยกินข้าวกล่องที่ทำพลาดให้ด้วยนั่นก็เลยส่งผลให้นานวันเข้าแววตาของไอเริ่มสูญเสียแรงใจไปในแต่ละวัน
“ใบหน้านั้นคงจะลืมไปแล้วสินะเนี่ย? แต่ถึงเคย์จะลืมแต่ชั่วชีวิตนี้พี่ไม่มีวันลืมแน่นอน”
“แล้วถ้างั้นอยากจะให้เล่าอะไรให้ฟังล่ะ?”
“ลองคิดดูสิว่าพี่ช่วยเคย์กระเดือกไอ้เจ้าสสารมืดที่แทบจะเรียกว่าเป็นอาหารไม่ได้เลยด้วยซ้ำนั่นเข้าไปตลอดทั้งสัปดาห์เลยนะ เป็นคนดีเหลือเชื่อเลยใช่ม้า? แล้วไม่คิดว่าพี่ควรจะได้รับอะไรดีๆจากการทำดีบ้างเหรอจ้ะ?”
มันก็เป็นอะไรที่กระอั่กกระอ่วนที่จะพูดกับพี่สาวของตัวเองล่ะนะ
แต่ก็มีบางประเด็นที่ต้องมานั่งถกกันว่าไอ้ตัวเมนูที่เราทำสำหรับข้าวกล่องนั้นมันไม่ควรค่าแก่การเอามากินแต่แรกเลยรึเปล่าน่ะ
“แต่ว่าหมอนั่นเองก็กินมันด้วยหน้าตาชื่นบานเลยนะ……..”
“ว่าไงนะ………..”
ไอชักสีหน้าราวกับว่าเธอเหลือจะเชื่อ
“นี่เขาคนนั้นเต็มใจที่จะกินเจ้านั่นงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเคย์หลอนไปเองเพราะยอมรับความจริงไม่ได้แน่นะ? หรือว่าพ่อหนุ่มคนนั้นเขาไม่ใช่มนุษย์?”
“ชักจะยัวะของจริงล่ะนะ”
นี่หล่อนเป็นพี่สาวพรรค์ไหนกันที่ปฏิบัติกับเขาเหมือนไม่ใช่คนเพียงเพราะแค่เขาดี๊ด๊าที่ได้กินข้าวกล่องของเราเนี่ยนะ?
“คุณเคย์คะ ไม่ใช่ว่าคุณประเมินพลังทำลายล้างของเจ้าสิ่งนั้นต่ำไปเหรอคะ? เจ้านั่นน่ะคือสิ่งที่สามารถพรากรอยยิ้มไปจากดิชั้นที่เป็นหญิสาวผู้ขึ้นชื่อเรื่องรอยยิ้มเชียวนะคะ?”
“อึกกกก”
ถึงจะพูดเกินจริงแต่ที่ไอว่ามามันก็จริงของเธออยู่
ในกรณีนี้ที่ฮอนโดกินข้าวกล่องของเราเข้าไปโดยที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยอาจจะเป็นเพราะหมอนั่นมีอะไรที่พิเศษอยู่ก็ได้
“จะยังไงก็ช่างแต่ในเมื่อพี่ช่วยเคย์กินของที่ทำพลาดด้วยความพยายามสุดชีวิตไปแล้วงั้นพี่ก็ขอให้เคย์เล่าเรื่องรักแรกของเคย์มาเป็นรางวัลตอบแทนพี่ก็แล้วกัน!”
ก็ใช่อยู่ว่าไอช่วยเราทำข้าวกล่องและจัดการกับของที่ทำพลาดอยู่ทุกๆเช้า
จนเราเองก็รู้ว่าควรจะต้องขอบคุณเธอแต่คำถามก็คือนี่เราควรจะต้องให้ข้อมูลฮอนโดเพื่อเป็นการขอบคุณจริงๆเหรอ…………..
“ก็ได้แต่ว่าห้ามเอาไปเล่าให้ใครฟังนะ……..”
“ค่า! วางใจได้เล๊ย! เห็นงี้ก็ได้ฉายาว่าแม่สาวปากแข็งซะยิ่งกว่าเพรชซะอีกนะ”
“ใครเป็นคนบอกล่ะนั่น?”
ก็ไว้ใจเธอไม่ได้หรอกแต่ไหนๆไอก็รู้แล้วว่าเรามีคนที่สนใจอยู่
เธอก็คงจะแวะเวียนมาที่ห้องเราทุกวันจนกว่าเราจะยอมปริปากบอกเธอและตรงนั้นแหละที่จะน่ารำคาญมากๆ
ถ้าเป็นแบบนี้ดูเหมือนว่าการที่จะสามารถนำพาความสงบสุขหวนคืนสู่ชีวิตได้มีแต่ต้องเล่าให้เธอฟังเท่านั้น
“ตอนนี้ดิชั้นมีคำถามอยากจะถามคุณเคย์ค่ะ คำถามแรกคือคุณช่วยบอกชื่อของคนที่คุณให้ข้าวกล่องไปหน่อยได้ไหมคะ”
“………….ฮอนโด”
“มาแล้วๆ หน้าของเคย์ตอนเขินล่ะ! เห นี่น้องสาวของชั้นเนี่ยไม่น่ารักเกินไปหน่อยรึไงเนี่ย? แล้วพ่อหนุ่มคนนั้นชื่อต้นเขาชื่ออะไรล่ะ?”
ยัยนี่คึกกว่าตอนปกติไปอีกสักหกสิบเปอร์เซ็นต์ได้
ที่ไม่อยากบอกเพราะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่แหละ
“……….ไดกิ”
“เหรอ ‘ฮอนโด ไดกิ สินะ’ ชื่อตรงกันกับที่ได้ยินมาล่ะนะ เอาล่ะถ้างั้นก็คำถามถัดไปก็คือช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าการพบเจอกันครั้งแรกของคุณกับไดกิมันเป็นยังไงคะ?”
“ก็ตอนที่อยู่ ม.3”
“เอ๋ เรียน ม.ต้น ที่เดียวกันไปอีก!! แล้วทั้งสองคนมาเจอกันได้ยังไงอ่ะ? ลงรายละเอียดมาหน่อยสิ”
กะจะตอบคำถามสั้นๆแต่เหมือนว่าไอจะไม่พอใจจนกว่าจะยอมอธิบายซะจนละเอียดยิบ
ชักรู้สึกไม่สบายใจหน่อยๆเลยแฮะที่ต้องมาอธิบายรายละเอียดเนี่ย
“ก็บอกแล้วไงว่าได้เจอกับฮอนโดครั้งแรกตอนอยู่ ม.3 แล้วก็ตรงบริเวณด้านหลังของอาคารเรียน”
“อย่าบอกนะว่าหลังอาคารเรียนที่ว่าคือตรงที่เป็นจุดยอดฮิตที่เขาไปสารภาพรักกันน่ะ?!”
“ใช่ ชั้นได้เจอเขาตอนหลังเลิกเรียนในตอนที่กำลังถูกสารภาพรัก”
“งี้นี่เอง! คือเริ่มต้นกันด้วยการสารภาพรักเลยสินะ? แต่ว่าเคย์เกลียดการที่ปุบปับก็ถูกคนแปลกหน้ามาสารภาพรักไม่ใช่เหรอ…..?”
ถามได้ตรงประเด็น
ตอนที่ได้เห็นไอกับโยสุเกะค่อยๆตกหลุมรักกันไปเรื่อยๆในตอนที่วันเวลามันค่อยๆไหลผ่านไป
ตัวเราเองก็เลยไม่เข้าใจความคิดของคนที่มาสารภาพรักความรู้สึกโดยที่ไม่แม้แต่จะรู้ว่าข้างในของอีกฝ่ายเป็นยังไงด้วยซ้ำ
“ฮอนโดไม่ใช่คนที่มาสารภาพรักกับชั้นหรอก”
“หา หมายความว่าไง?”
“ชั้นกำลังถูกคนอื่นสารภาพรักอยู่แล้วจู่ๆหมอนั่นก็โผล่มาแทรกจากไหนก็ไม่รู้น่ะ”
“เดี๋ยวนะ! อะไรเนี่ย? แล้วไหงไดกิคุงเขาถึงโผล่มาแบบนั้นอ่ะ”
ไม่แปลกที่ไอจะสับสน
มันก็ยุ่งยากที่จะอธิบายให้ฟังแบบลงรายละเอียด
“ต้นเรื่องก็คือชั้นได้ถูกใครก็ไม่รู้เรียกให้ไปเจอที่ด้านหลังอาคารเรียนช่วงหลังเลิกเรียนแล้วเขาก็สารภาพรักกับชั้น ถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจอยู่ใช่ไหม?”
“อื้อ ก็รู้อยู่เหมือนกันว่าเคย์ค่อนข้างเนื้อหอมเลยสมัยเรียน ม.ต้น”
“ไม่อยากได้ยินคำนั้นจากปากของคนที่เนื้อหอมกว่าเลยแฮะ แต่ก็จริงสิ วันนั้นหมอนั่นเข้ามาบอกว่าคือรักแรกพบอะไรทำนองนั้นนี่แหละแล้วชั้นก็ตอบปฏิเสธปัดไปส่งๆเหมือนอย่างเคย”
“ก็นะ ฟังดูสมเป็นเคย์ดี”
“ก็จนถึงแค่ตรงนี้ล่ะนะคราวนี้ประเด็นเพราะเขายอมรับไม่ได้ที่ชั้นปฏิเสธคำสารภาพรักของเขาและก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้วก็เริ่มพูดขึ้นมาว่าไม่ชอบที่ชั้นปฏิเสธ”
“แล้วเป็นอะไรไหมนั่น?”
อยู่ๆสีหน้าของไอก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าตึงเครียด ต่อให้เรื่องมันจะเกิดตั้งแต่สมัย ม.ต้น แล้วก็เถอะแต่เธอก็ออกอาการกังวลใจราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ
ไอน่ะค่อนข้างจะขี้เป็นห่วงถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเรา
“ก็ถ้าหากว่าเป็นเรื่องก็คงเล่าให้ฟังไปนานแล้วล่ะ”
“อา นั่นสินะ โล่งอกไปทีที่ไม่เป็นอะไร”
แล้วท่าทีของไอก็ค่อยๆอ่อนลง
“แต่ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะแล้วเคย์เอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ยังไงล่ะ??”
“ก็กำลังจะเล่าให้ฟังนี่ไง ตอนที่ผู้ชายที่มาสารภาพรักกับชั้นแล้วของขึ้นแล้วเดินปรี่เข้ามาใส่ตอนนั้นเองฮอนโดคือคนที่ตะโกน ‘หยุดก่อน!’ แล้วห้ามเขาไว้”
“โอ๊ะ! งั้นนี่ก็คือจุดที่ปะติปะต่อกับเรื่องที่เคย์เล่ามาก่อนหน้านี้สินะ”
“ใช่ ฮอนโดเข้ามาแทรกกลางระหว่างชั้นกับผู้ชายคนนั้นที่กำลังของขึ้นและก็เริ่มพูดแนะนำตัวเอง”
“เดี๋ยวนะ? นี่ไดกิคุงเขาไม่บ้าบิ่นไปเกินหน่อยรึไง?”
“หมอนั่นก็ค่อนข้างเป็นคนเนิบๆนะ แต่หลังจากตอนนั้นที่หมอนั่นแนะนำตัวเองเสร็จผู้ชายคนที่มาสารภาพรักกับชั้นก็ทำหน้างงและก็ยิงคำถามใหญ่เลยว่าสรุปชั้นกับฮอนโดพวกเรามีความสัมพันธ์ยังไงกัน?”
“ไม่เคยข้องเกี่ยวกันมาก่อนแล้วก็เป็นการพบเจอกันครั้งแรกด้วยสินะ”
ตัวเราเองก็ไม่เคยเห็นฮอนโดดูลำบากใจมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้
“แล้วพอชั้นบอกไปว่าพึ่งเคยเจอฮอนโดครั้งแรกก็วันนี้นี่แหละ เขาก็โมโหกว่าเดิมแล้วถามว่าทำไมฮอนโดถึงได้เข้ามาสอดในตอนที่เขากำลังสารภาพรักด้วย”
“หมอนั่นก็มีประเด็นที่อารมณ์เสียกับเคย์มาก่อนด้วยล่ะนะ”
“แล้วฮอนโดก็พูดขอโทษพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ แต่จู่ๆก็ทำหน้าจริงจังแล้วพูดกับผู้ชายคนนั้นว่าเขาจะเดินจากไปแต่โดยดีถ้าคำสารภาพรักนั้นมันเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัดอะไร แต่พอฮอนโดเห็นว่าผู้ชายคนนั้นพยายามจะเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวชั้นก็เลยเมาแทรกกลางพร้อมกับประจันหน้ากับเขา”
“ไดกิคุงนี่เป็นพวกที่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างชัดเจนดีนะ”
ตอนนั้นเองเราก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิดมาตลอดว่าฮอนโดเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องคนอื่นได้เพราะปกติก็จะมีสีหน้าไร้กังวลอยู่ตลอด
“ยังไงซะผู้ชายคนนั้นก็บอกกับฮอนโดว่าการที่ชั้นปฏิเสธเขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิดแต่เขาก็พูดไม่ออกหลังจากฮอนโดสวนกลับเตือนไปว่าการที่เข้ามาจับตัวฝ่ายตรงข้ามต่างหากล่ะที่ผิดน่ะ”
“หืมมมม แล้วไงต่อ?”
“สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะสงบลงนิดหน่อยหลังจากที่คุยกับฮอนโดแล้วเขาก็เข้ามาขอโทษชั้น”
“เพราะงั้นพวกผู้ชายก็เลยแก้ไขสถานการณ์กันเองได้ แล้วเคย์ทำไงต่อกับเรื่องนี้ล่ะ?”
“ชั้นก็ขอโทษไป และก็คิดว่าตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่นิดหน่อย”
“จากที่เธอเล่าให้ฟังผู้ชายคนนั้นต่างหากล่ะที่ผิดเต็มประตูน่ะ ยังดีนะที่เธอเองก็รู้จักขอโทษ มามะเดี๋ยวพี่จ๋าลูบหัวให้!”
“พอเลย! อย่ามาลูบหัวกันนะ!”
ชั้นเอี้ยวหลบมือของไอ
ไอยังชอบทำกับชั้นเหมือนเด็กๆต่อให้ตอนนี้จะขึ้น ม.ปลาย มาแล้วก็เถอะ
เมื่อไหร่ไอจะทำกับชั้นเหมือนเป็นผู้ใหญ่สักทีนะ?