คุณชิมิสึแยงกี้ตัวแม่ที่นั่งโต๊ะข้างๆไม่รู้อารมณ์ไหนถึงได้ย้อมผมดำมาซะเเล้ว 4.1 ช่วงเม้าท์มอยเรื่องรักๆใคร่ๆของพี่น้องชิมิสึ

ตอนที่ 4.1 ช่วงเม้าท์มอยเรื่องรักๆใคร่ๆของพี่น้องชิมิสึ

“พี่ไปได้ยินมานะเคย์!!”

 

ในคืนวันที่ยื่นข้าวกล่องให้ฮอนโด จู่ๆไอก็พรวดพราดเข้ามาในห้องในขณะที่เรากำลังนึกถึงคำพูดของฮอนโดอยู่

 

“ไปได้ยินอะไรมาอีกล่ะ? อีกอย่างจะให้บอกอีกกี่ครั้งกี่หนว่าอย่าเข้าห้องมาโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่า ก็เพราะว่าเคย์กับพี่เรามีความสัมพันธ์ที่พิเศษต่อกันยังไงล่า”

“นี่เธอไม่รู้จักประโยคที่ว่า ‘ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทก็อย่าลืมพกมารยาทมาด้วย’ รึไง?”

“เห เคย์คิดว่าพี่เป็นเพื่อนสนิทสิน้า! ดีใจจาง!”

“หนวกหู! แล้วสรุปไปได้ยินอะไรมากันแน่?”

 

เพราะว่าไม่เห็นท่าทีว่าไอจะเงียบลงได้เลยถ้าขืนยังต่อปากต่อคำกันอย่างนี้ต่อไป ชั้นก็เลยตัดสินใจลองฟังเรื่องที่เธอจะพูดตอนนี้

 

“อ๋า จริงสิ! เคย์พี่ได้ยินมาว่าเธอให้ข้าวกล่องไปแล้วสินะ!!”

“………..ไปได้ยินมาจากใคร?”

 

ต้องเป็นฝีมือของเพื่อนร่วมชั้นของเราแน่ๆล่ะ

 

“ความลับจ้ะ แต่พี่เองก็มีสายสืบที่อยู่ในห้องเดียวกับเคย์ด้วย พอบอกได้แค่นี้แหละ”

 

ไอตอบกลับมาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจด้วยการเชิดหน้าอกมหึมาให้ยื่นออกมาโดยไม่จำเป็น อันที่จริงก็รู้มาสักพักนึงแล้วว่าไอมีเพื่อนเยอะแยะแต่เราเองก็ไม่รู้ว่าเธอรู้จักใครบ้างในห้องเรียนของเราเหมือนกัน

 

“เอาเถอะ นั่นมันไม่สำคัญหรอกเรื่องเดียวที่พี่สนใจก็คือนุ้งเคย์ของพี่เจอคนที่ปิ๊งปั๊งเข้าให้แล้วสินะ!” 

“พูดอะไรของเธอ?”

“อย่าทำเป็นไก๋ไปหน่อยเลย ตอนนี้พี่รู้ไต๋เธอหมดแล้วนะ”

 

ไอยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกอดอก นี่ถ้าไม่ติดเรื่องความมีเหตุมีผลแล้วล่ะก็

ก็คงจะสับกบาลแยกสักทีไปแล้ว

 

“แล้วมันยังไงล่ะ? การให้ข้าวกล่องเป็นเพียงแค่การแสดงความขอบคุณก็แค่นั้น”

“หืมม ไม่คิดว่าจะพูดแบบนั้นเลยนะเนี่ย”

 

ไอกอดอกและส่ายตัวท่อนบนไปมาซ้ายทีขวาที

 

“นี่กำลังจะบอกว่าชั้นโกหกงั้นเหรอ?”

“เปล่า  ไม่ได้อะไรขนาดนั้น แค่อยากรู้น่ะว่ามันเป็นการตอบแทนบุญคุณแบบไหนกันแน่น้า?”

“หมายความว่าไงก็เรื่องคาบเรียนทำอาหารไงเล่า……..”

“ใช่แล้ว! นั่นไงล่ะ!”

 

ไอปล่อยมือออกจากอกแล้วชี้มาทางนี้

 

“คุณชิมิสึ เคย์คะ ชั้นได้ยินเรื่องของคุณมาค่ะ ได้ยินมาว่าคุณเข้าคาบเรียนทำอาหารคาบล่าสุดโดยที่ไม่ได้โดดเรียน”

“ละ-แล้วมันยังไงล่ะ! ใช่ว่าจะเขาห้ามให้เข้าเรียนสักหน่อยนี่!”

 

ปกติแล้วการเข้าคาบเรียนก็ต้องอนุญาตอยู่แล้ว

 

“ก็ใช่ค่ะ แต่ว่าทำไมอยู่ๆคุณถึงได้มีไฟอยากเข้าคาบเรียนทำอาหารกันเอ่ย? อยากรู้จังเลยน้า ดิชั้นก็เลยไปลองสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและก็ได้รู้อะไรบางอย่างที่น่าตกใจเป็นอย่างมากมาด้วยแหละค่ะ”

“ปะ-ไปรู้อะไรมา?”

 

หงุดหงิดชะมัดที่ตัวเองพูดติดอ่างเนี่ย

 

“คุณเคย์คะ ดิชั้นได้ยินมาว่าคุณกำลังทำอาหารร่วมกับผู้ชายคนนึงค่ะ!”

“นั่นก็เพราะเราได้รับมอบหมายให้ทำด้วยกันยังไงล่ะ…..”

“แต่ยังไม่หมดค่ะ จากคำให้การของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ยังบอกอีกด้วยว่าผู้ชายคนนั้นยังจับมือคุณและสอนคุณใช้มีดด้วยแหละค้า!!”

“ฮึกกกกกกก…..”

 

ตอนนั้นมีคนกำลังสอดแนมเราอยู่อย่างนั้นรึ? เอาจริงๆคือกำลังตั้งใจกับงานตรงหน้าก็เลยไม่ได้สนใจสายตาคนอื่นที่มองมาเลย

 

“เธอที่ปกติจะไม่ยอมเปิดใจให้ใครง่ายๆแต่กลับยอมให้เขาคนนั้นแบบนั้นก็หมายความว่าเขาคือคนพิเศษสำหรับเธอใช่ไหมล่ะ? พี่พูดถูกต้องมั้ยเคย์?”

“เรื่องนั้น……”

 

จะปฏิเสธมันก็ทำได้ง่ายๆแต่ว่าพี่สาวของเราก็ไม่น่าจะพอใจกับคำตอบนั้นแน่ๆ

 

“ยิ่งไปกว่านั้นคนที่เธอเอาข้าวกล่องให้ก็ดูเหมือนจะเป็นคนๆเดียวกันนะ ดีไม่ดีเขาเองก็คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงได้ปุบปับย้อมผมสีดำด้วยสินะ?”

“……………”

 

ไหงพี่สาวของเรายัยคนที่ชอบบ่นว่าการเรียนมันยุ่งยากจะตายไปถึงได้ฉลาดในเวลาแบบนี้กันนะ?

 

“งั้นพี่ถือว่าการที่เธอไม่ปฏิเสธคือการยอมรับนะ?”

“…….อื้อ”

“หืม? พูดว่าอะไรนะขออีกทีสิจ้ะ”

“ก็บอกว่าใช่ไงเล่า! แล้วมีปัญหารึไง!”

 

เมื่อรู้ตัวว่าจนมุมแล้วก็เลยเลิกคิดที่จะหาข้อแก้ตัวและก้มหน้ายอมรับมัน

 

“ในที่สุดก็ยอมรับจนได้นะ พี่ดีใจมากจริงๆนะที่เคย์เจอคนที่ชอบแล้วน่ะ โอ้ย น้ำตาจะไหลขอแชร์นะคะ”

“อย่ามาแหล”

“ฮิฮิ”

“ไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อนเลยนะ!”

 

พี่สาวของเรานั้นนิสัยเสียเรื่องการที่ชอบหัวเราะในตอนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานทุกทีเลย

 

“ขอโทษทีจ้า แล้วเขาคนนั้นเป็นคนยังไงล่ะ?”

“เธอก็น่าจะรู้เรื่องเขามาอยู่นิดหน่อยแล้วไม่ใช่รึไง?”

 

หากว่ามีสายสืบอยู่ในห้องเรียนเดียวกันกับเราจริง ไอเองก็น่าจะรู้เรื่องของฮอนโดมาแล้วไม่มากก็น้อยล่ะนะ

 

“ข้อมูลจากคนอื่นที่เล่ากันมาปากต่อปากมันอาจจะคลาดเคลื่อนได้นี่นา ยังไงพี่ก็อยากได้ยินจากเคย์มากกว่านะ”

“ไม่ขอตอบคำถามนั้นละกัน”

“เอ๋~ ทำไมล่ะ? ต่อให้เป็นพี่สาวก็ไม่ได้เหยอ? พี่เองก็มีประสบการณ์ชีวิตเยอะนะจะบอกให้? พี่สามารถช่วยเรื่องชีวิตรักของเคย์ได้น้า?”

“อายุมากกว่าแค่ปีเดียวทำเป็นคุยเรื่องประสบการณ์ชีวิตอีกนะและยิ่งเป็นประสบการณ์เรื่องความรักเธอเองก็ยังไม่มีเลยเถอะ”

 

ไอเป็นที่นิยมจากทั้งผู้ชายและผู้หญิงเนื่องจากนิสัยร่าเริงของเธอเองและต่อให้เราจะไม่อยากยอมรับก็เถอะแต่ก็เพราะรูปลักษณ์ที่ดีของเธอนั่นแหละ

แต่ยังไงซะไอก็ปฏิเสธทุกคำสารภาพรักที่เธอได้รับมาจนถึงตอนนี้และไม่เคยมีความสัมพันธ์ได้คบหากับใครเลยสักคน

 

“นั่นก็เพราะ………..จะว่าไงดีล่ะ……….สัมผัสไม่ได้ถึงโชคชะตาล่ะมั้งนะ”

 

ทันใดนั้นเสียงของไอก็แผ่วลง ซึ่งเหตุผลมันก็แน่อยู่แล้ว

 

“นั่นเป็นเพราะว่าเธอชอบโยสุเกะไม่ใช่รึไง?”

“พะ-พูดเรื่องอะไรน่ะเคย์!? จู่ๆก็พูดอะไรไร้สาระออกมา เธอนี่เป็นยัยน้องจอมจุ้นจริงๆเลย!”

 

เสียงของไอกระวนกระวายอย่างชัดเจน

โยสุเกะคือเพื่อนสมัยเด็กของไอและเป็นคนที่เธอมีความรู้สึกดีๆให้

ตั้งแต่สมัยเด็กจนถึงปัจจุบัน เราสังเกตได้ถึงสีหน้าของไอที่เปลี่ยนไปทีละน้อยตอนที่ได้อยู่กับโยสุเกะ

นั่นคือเหตุที่ทำให้คนเราตกหลุมรักกันรึเปล่านะ?

 

“ตอนนี้มันไม่เกี่ยวกับโยสุเกะกับพี่สักหน่อย! เล่าเรื่องดาร์ลิ้งของเคย์มาให้มากกว่านี้ซะดีๆ!”

“อย่ามาเรียกหมอนั่นว่าดาร์ลิ้งของชั้นนะ! ไม่เอาแล้วจะไม่เล่าอะไรอีกแล้ว”

 “ฟุๆ พูดแบบนั้นจะดีเหรอ?”

“อะไรกันล่ะนั่น?”

 

นี่มันสีหน้าเวลาที่เธอกุมจุดอ่อนของเราไว้อยู่นี่นา

แต่ยังไงเราก็ยังไม่รู้ว่าจุดอ่อนที่ว่านั้นมันคืออะไร

 

“อย่าบอกนะว่าเคย์ลืมไปแล้วว่าพี่ใช้เวลาตลอดทั้งสัปดาห์ช่วยเคย์ทำข้าวกล่องตอนเช้าและยังช่วยกินไอ้สิ่งที่พยายามทำมาแต่มันล้มเหลวไม่เป็นท่ากับเคย์น่ะ?”

“อ๊ะ”

 

นั่นสินะ ตลอดทั้งสัปดาห์ผ่านมาจนถึงวันนี้ก็ได้ไอที่ลุกขึ้นมาช่วยทำข้าวกล่องอย่างขมักเขม่นทุกเช้าและต่ให้ทำเสร็จแล้วเธอก็ยังช่วยกินข้าวกล่องที่ทำพลาดให้ด้วยนั่นก็เลยส่งผลให้นานวันเข้าแววตาของไอเริ่มสูญเสียแรงใจไปในแต่ละวัน

       

“ใบหน้านั้นคงจะลืมไปแล้วสินะเนี่ย? แต่ถึงเคย์จะลืมแต่ชั่วชีวิตนี้พี่ไม่มีวันลืมแน่นอน”

“แล้วถ้างั้นอยากจะให้เล่าอะไรให้ฟังล่ะ?”

“ลองคิดดูสิว่าพี่ช่วยเคย์กระเดือกไอ้เจ้าสสารมืดที่แทบจะเรียกว่าเป็นอาหารไม่ได้เลยด้วยซ้ำนั่นเข้าไปตลอดทั้งสัปดาห์เลยนะ เป็นคนดีเหลือเชื่อเลยใช่ม้า? แล้วไม่คิดว่าพี่ควรจะได้รับอะไรดีๆจากการทำดีบ้างเหรอจ้ะ?”

 

มันก็เป็นอะไรที่กระอั่กกระอ่วนที่จะพูดกับพี่สาวของตัวเองล่ะนะ

แต่ก็มีบางประเด็นที่ต้องมานั่งถกกันว่าไอ้ตัวเมนูที่เราทำสำหรับข้าวกล่องนั้นมันไม่ควรค่าแก่การเอามากินแต่แรกเลยรึเปล่าน่ะ

 

“แต่ว่าหมอนั่นเองก็กินมันด้วยหน้าตาชื่นบานเลยนะ……..”

“ว่าไงนะ………..”

 

ไอชักสีหน้าราวกับว่าเธอเหลือจะเชื่อ

 

“นี่เขาคนนั้นเต็มใจที่จะกินเจ้านั่นงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเคย์หลอนไปเองเพราะยอมรับความจริงไม่ได้แน่นะ? หรือว่าพ่อหนุ่มคนนั้นเขาไม่ใช่มนุษย์?”

“ชักจะยัวะของจริงล่ะนะ”

 

นี่หล่อนเป็นพี่สาวพรรค์ไหนกันที่ปฏิบัติกับเขาเหมือนไม่ใช่คนเพียงเพราะแค่เขาดี๊ด๊าที่ได้กินข้าวกล่องของเราเนี่ยนะ?

 

“คุณเคย์คะ ไม่ใช่ว่าคุณประเมินพลังทำลายล้างของเจ้าสิ่งนั้นต่ำไปเหรอคะ? เจ้านั่นน่ะคือสิ่งที่สามารถพรากรอยยิ้มไปจากดิชั้นที่เป็นหญิสาวผู้ขึ้นชื่อเรื่องรอยยิ้มเชียวนะคะ?”

“อึกกกก”

 

ถึงจะพูดเกินจริงแต่ที่ไอว่ามามันก็จริงของเธออยู่

ในกรณีนี้ที่ฮอนโดกินข้าวกล่องของเราเข้าไปโดยที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยอาจจะเป็นเพราะหมอนั่นมีอะไรที่พิเศษอยู่ก็ได้

 

“จะยังไงก็ช่างแต่ในเมื่อพี่ช่วยเคย์กินของที่ทำพลาดด้วยความพยายามสุดชีวิตไปแล้วงั้นพี่ก็ขอให้เคย์เล่าเรื่องรักแรกของเคย์มาเป็นรางวัลตอบแทนพี่ก็แล้วกัน!”

 

ก็ใช่อยู่ว่าไอช่วยเราทำข้าวกล่องและจัดการกับของที่ทำพลาดอยู่ทุกๆเช้า

จนเราเองก็รู้ว่าควรจะต้องขอบคุณเธอแต่คำถามก็คือนี่เราควรจะต้องให้ข้อมูลฮอนโดเพื่อเป็นการขอบคุณจริงๆเหรอ…………..

 

“ก็ได้แต่ว่าห้ามเอาไปเล่าให้ใครฟังนะ……..”

“ค่า! วางใจได้เล๊ย! เห็นงี้ก็ได้ฉายาว่าแม่สาวปากแข็งซะยิ่งกว่าเพรชซะอีกนะ”

“ใครเป็นคนบอกล่ะนั่น?”

 

ก็ไว้ใจเธอไม่ได้หรอกแต่ไหนๆไอก็รู้แล้วว่าเรามีคนที่สนใจอยู่

เธอก็คงจะแวะเวียนมาที่ห้องเราทุกวันจนกว่าเราจะยอมปริปากบอกเธอและตรงนั้นแหละที่จะน่ารำคาญมากๆ

ถ้าเป็นแบบนี้ดูเหมือนว่าการที่จะสามารถนำพาความสงบสุขหวนคืนสู่ชีวิตได้มีแต่ต้องเล่าให้เธอฟังเท่านั้น

 

“ตอนนี้ดิชั้นมีคำถามอยากจะถามคุณเคย์ค่ะ คำถามแรกคือคุณช่วยบอกชื่อของคนที่คุณให้ข้าวกล่องไปหน่อยได้ไหมคะ”

“………….ฮอนโด”

“มาแล้วๆ หน้าของเคย์ตอนเขินล่ะ! เห นี่น้องสาวของชั้นเนี่ยไม่น่ารักเกินไปหน่อยรึไงเนี่ย? แล้วพ่อหนุ่มคนนั้นชื่อต้นเขาชื่ออะไรล่ะ?”

 

ยัยนี่คึกกว่าตอนปกติไปอีกสักหกสิบเปอร์เซ็นต์ได้

ที่ไม่อยากบอกเพราะรู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่แหละ

 

“……….ไดกิ”

 

 

“เหรอ ‘ฮอนโด ไดกิ สินะ’ ชื่อตรงกันกับที่ได้ยินมาล่ะนะ เอาล่ะถ้างั้นก็คำถามถัดไปก็คือช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าการพบเจอกันครั้งแรกของคุณกับไดกิมันเป็นยังไงคะ?”

“ก็ตอนที่อยู่ ม.3”

“เอ๋ เรียน ม.ต้น ที่เดียวกันไปอีก!! แล้วทั้งสองคนมาเจอกันได้ยังไงอ่ะ? ลงรายละเอียดมาหน่อยสิ”

 

กะจะตอบคำถามสั้นๆแต่เหมือนว่าไอจะไม่พอใจจนกว่าจะยอมอธิบายซะจนละเอียดยิบ

ชักรู้สึกไม่สบายใจหน่อยๆเลยแฮะที่ต้องมาอธิบายรายละเอียดเนี่ย

 

“ก็บอกแล้วไงว่าได้เจอกับฮอนโดครั้งแรกตอนอยู่ ม.3 แล้วก็ตรงบริเวณด้านหลังของอาคารเรียน”

“อย่าบอกนะว่าหลังอาคารเรียนที่ว่าคือตรงที่เป็นจุดยอดฮิตที่เขาไปสารภาพรักกันน่ะ?!”

 “ใช่ ชั้นได้เจอเขาตอนหลังเลิกเรียนในตอนที่กำลังถูกสารภาพรัก”

“งี้นี่เอง! คือเริ่มต้นกันด้วยการสารภาพรักเลยสินะ? แต่ว่าเคย์เกลียดการที่ปุบปับก็ถูกคนแปลกหน้ามาสารภาพรักไม่ใช่เหรอ…..?”

 

ถามได้ตรงประเด็น

ตอนที่ได้เห็นไอกับโยสุเกะค่อยๆตกหลุมรักกันไปเรื่อยๆในตอนที่วันเวลามันค่อยๆไหลผ่านไป

ตัวเราเองก็เลยไม่เข้าใจความคิดของคนที่มาสารภาพรักความรู้สึกโดยที่ไม่แม้แต่จะรู้ว่าข้างในของอีกฝ่ายเป็นยังไงด้วยซ้ำ

 

“ฮอนโดไม่ใช่คนที่มาสารภาพรักกับชั้นหรอก”

“หา หมายความว่าไง?”

“ชั้นกำลังถูกคนอื่นสารภาพรักอยู่แล้วจู่ๆหมอนั่นก็โผล่มาแทรกจากไหนก็ไม่รู้น่ะ”

“เดี๋ยวนะ! อะไรเนี่ย? แล้วไหงไดกิคุงเขาถึงโผล่มาแบบนั้นอ่ะ”

 

ไม่แปลกที่ไอจะสับสน

มันก็ยุ่งยากที่จะอธิบายให้ฟังแบบลงรายละเอียด

 

“ต้นเรื่องก็คือชั้นได้ถูกใครก็ไม่รู้เรียกให้ไปเจอที่ด้านหลังอาคารเรียนช่วงหลังเลิกเรียนแล้วเขาก็สารภาพรักกับชั้น ถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจอยู่ใช่ไหม?”

“อื้อ ก็รู้อยู่เหมือนกันว่าเคย์ค่อนข้างเนื้อหอมเลยสมัยเรียน ม.ต้น”

“ไม่อยากได้ยินคำนั้นจากปากของคนที่เนื้อหอมกว่าเลยแฮะ แต่ก็จริงสิ วันนั้นหมอนั่นเข้ามาบอกว่าคือรักแรกพบอะไรทำนองนั้นนี่แหละแล้วชั้นก็ตอบปฏิเสธปัดไปส่งๆเหมือนอย่างเคย”

“ก็นะ ฟังดูสมเป็นเคย์ดี”

“ก็จนถึงแค่ตรงนี้ล่ะนะคราวนี้ประเด็นเพราะเขายอมรับไม่ได้ที่ชั้นปฏิเสธคำสารภาพรักของเขาและก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้วก็เริ่มพูดขึ้นมาว่าไม่ชอบที่ชั้นปฏิเสธ”

“แล้วเป็นอะไรไหมนั่น?”

 

อยู่ๆสีหน้าของไอก็เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าตึงเครียด ต่อให้เรื่องมันจะเกิดตั้งแต่สมัย ม.ต้น แล้วก็เถอะแต่เธอก็ออกอาการกังวลใจราวกับว่ามันพึ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ

ไอน่ะค่อนข้างจะขี้เป็นห่วงถ้าเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับเรา

 

“ก็ถ้าหากว่าเป็นเรื่องก็คงเล่าให้ฟังไปนานแล้วล่ะ”

“อา นั่นสินะ  โล่งอกไปทีที่ไม่เป็นอะไร”

 

แล้วท่าทีของไอก็ค่อยๆอ่อนลง

 

“แต่ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะแล้วเคย์เอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงนั้นได้ยังไงล่ะ??”

“ก็กำลังจะเล่าให้ฟังนี่ไง ตอนที่ผู้ชายที่มาสารภาพรักกับชั้นแล้วของขึ้นแล้วเดินปรี่เข้ามาใส่ตอนนั้นเองฮอนโดคือคนที่ตะโกน ‘หยุดก่อน!’ แล้วห้ามเขาไว้”

“โอ๊ะ! งั้นนี่ก็คือจุดที่ปะติปะต่อกับเรื่องที่เคย์เล่ามาก่อนหน้านี้สินะ”

 “ใช่ ฮอนโดเข้ามาแทรกกลางระหว่างชั้นกับผู้ชายคนนั้นที่กำลังของขึ้นและก็เริ่มพูดแนะนำตัวเอง”

“เดี๋ยวนะ? นี่ไดกิคุงเขาไม่บ้าบิ่นไปเกินหน่อยรึไง?”

“หมอนั่นก็ค่อนข้างเป็นคนเนิบๆนะ แต่หลังจากตอนนั้นที่หมอนั่นแนะนำตัวเองเสร็จผู้ชายคนที่มาสารภาพรักกับชั้นก็ทำหน้างงและก็ยิงคำถามใหญ่เลยว่าสรุปชั้นกับฮอนโดพวกเรามีความสัมพันธ์ยังไงกัน?”

“ไม่เคยข้องเกี่ยวกันมาก่อนแล้วก็เป็นการพบเจอกันครั้งแรกด้วยสินะ”

 

ตัวเราเองก็ไม่เคยเห็นฮอนโดดูลำบากใจมาตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงตอนนี้

 

“แล้วพอชั้นบอกไปว่าพึ่งเคยเจอฮอนโดครั้งแรกก็วันนี้นี่แหละ เขาก็โมโหกว่าเดิมแล้วถามว่าทำไมฮอนโดถึงได้เข้ามาสอดในตอนที่เขากำลังสารภาพรักด้วย”

“หมอนั่นก็มีประเด็นที่อารมณ์เสียกับเคย์มาก่อนด้วยล่ะนะ”

“แล้วฮอนโดก็พูดขอโทษพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ แต่จู่ๆก็ทำหน้าจริงจังแล้วพูดกับผู้ชายคนนั้นว่าเขาจะเดินจากไปแต่โดยดีถ้าคำสารภาพรักนั้นมันเป็นไปได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัดอะไร แต่พอฮอนโดเห็นว่าผู้ชายคนนั้นพยายามจะเข้ามาแตะเนื้อต้องตัวชั้นก็เลยเมาแทรกกลางพร้อมกับประจันหน้ากับเขา”

“ไดกิคุงนี่เป็นพวกที่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างชัดเจนดีนะ”

 

ตอนนั้นเองเราก็ตกใจเหมือนกันเพราะคิดมาตลอดว่าฮอนโดเป็นคนประเภทที่ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องคนอื่นได้เพราะปกติก็จะมีสีหน้าไร้กังวลอยู่ตลอด

 

“ยังไงซะผู้ชายคนนั้นก็บอกกับฮอนโดว่าการที่ชั้นปฏิเสธเขานั่นแหละที่เป็นฝ่ายผิดแต่เขาก็พูดไม่ออกหลังจากฮอนโดสวนกลับเตือนไปว่าการที่เข้ามาจับตัวฝ่ายตรงข้ามต่างหากล่ะที่ผิดน่ะ”

“หืมมมม แล้วไงต่อ?”

“สุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะสงบลงนิดหน่อยหลังจากที่คุยกับฮอนโดแล้วเขาก็เข้ามาขอโทษชั้น”

“เพราะงั้นพวกผู้ชายก็เลยแก้ไขสถานการณ์กันเองได้ แล้วเคย์ทำไงต่อกับเรื่องนี้ล่ะ?”

“ชั้นก็ขอโทษไป และก็คิดว่าตัวเองก็มีส่วนผิดอยู่นิดหน่อย”

“จากที่เธอเล่าให้ฟังผู้ชายคนนั้นต่างหากล่ะที่ผิดเต็มประตูน่ะ ยังดีนะที่เธอเองก็รู้จักขอโทษ มามะเดี๋ยวพี่จ๋าลูบหัวให้!”

“พอเลย! อย่ามาลูบหัวกันนะ!”

 

ชั้นเอี้ยวหลบมือของไอ

ไอยังชอบทำกับชั้นเหมือนเด็กๆต่อให้ตอนนี้จะขึ้น ม.ปลาย มาแล้วก็เถอะ

เมื่อไหร่ไอจะทำกับชั้นเหมือนเป็นผู้ใหญ่สักทีนะ?

 

คุณชิมิสึแยงกี้ตัวแม่ที่นั่งโต๊ะข้างๆไม่รู้อารมณ์ไหนถึงได้ย้อมผมดำมาซะเเล้ว

คุณชิมิสึแยงกี้ตัวแม่ที่นั่งโต๊ะข้างๆไม่รู้อารมณ์ไหนถึงได้ย้อมผมดำมาซะเเล้ว

Score 10
Status: Completed
"คุณชิมิสึย้อมผมดำเหรอ?" "กะ-ก็นะ" "ทำไมจู่ๆถึงได้ย้อมล่ะ. "จะทำไมอีกล่ะ! ก็เมื่อวาน...." [ชิมิสึ เคย์] สาวแยงกี้ผมบลอนด์ผู้ที่เป็นโจทย์จันของทั้งโรงเรียน เธอคือหญิงสาวที่อยู่ในทุกข่าวลือเสียๆหายๆทั้งปวง ทั้งเรื่องทะเลาะวิวาทเอย หรือการแหกกฏของโรงเรียนต่างๆ แต่จู่ๆเธอก็ดันย้อมผมดำพร้อมกับแต่งตัวมาเรียนซะเรียบร้อยแถมเข้าเรียนครบทุกคาบเฉยเลย มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? มันเกี่ยวข้องกับตอนที่ [ฮอนโด ไดกิ] ได้บอกกับ [มัตสึโอกะโทชิยะ] ไอ้เพื่อนซี้ไปเมื่อวานตอนที่ถามว่าสเปคสาวที่ไดกิชอบเป็นยังไง? แล้วก็ดันตอบไปว่า "ชอบสาวผมดำยาว ลุคเรียบร้อยไม่แต่งตัวฉูดฉาด" รึเปล่านะ? เตรียมผมกับเลิฟคอมเมดี้รักใสๆของแยงกี้สายซึนผู้ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อคนที่ตัวเองแอบชอบกับหนุ่มหน้ามนสายหยอดที่พร้อมจะปกป้องทุกข่าวลือเสียๆหายๆของเธอ

Recommended Series

Options

not work with dark mode
Reset