บทที่ 1221 หากล้มเหลวต้องโดนลงโทษ
บทที่ 1221 หากล้มเหลวต้องโดนลงโทษ
แต่ถ้าเทียบกับหน้าสดก่อนหน้านี้ ก็ต่างกันมาก
ซูเสี่ยวเถียนลงทุนแต่งตัวแต่งหน้าไม่น้อย
เพราะในงานนิทรรศการจะมีคนเข้าร่วมเยอะมาก และภาพถ่ายไม่เห็นหน้าเธอชัดก็อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ด้วย
ไม่รู้ว่ามีพวกสมรู้ร่วมคิดด้วยหรือเปล่า
ถ้ามีแต่ไม่หมายหัวเธอก็คงแปลกแล้ว
แต่ถ้าใช้รูปลักษณ์เดิมก็ไม่มั่นใจอีกว่าพวกมันจำเราได้ไหม ไม่รู้หมายหัวหรือเลือกลงมือซึ่ง ๆ หน้าเลย
ต่อให้เก่งศิลปะการต่อสู้ และมีบอดีการ์ดคอยปกป้องเป็นพิเศษ หากมันหมายเอาชีวิตย่อมมีโอกาสอยู่แล้ว
ทางเดียวคืออย่าให้ใครจำหน้าได้
ซูเสี่ยวเถียนเห็นตัวเองในกระจกแล้วพอใจมาก ต่อให้แม่แท้ ๆ มาอยู่ตรงหน้าก็จำเธอไม่ได้ นับประสาอะไรกับชาวต่างชาติล่ะ
ตอนที่เธอมาถึงห้องอาหารก็เห็นคนในคณะกำลังกินข้าวกันอยู่
ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเสี่ยวเถียนในวันนี้ดูแปลก ๆ
แต่บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหนนี่สิ
เธอดูแปลกไปจากก่อนหน้านี้ แต่ก็ดูคล้ายคลึงกัน
แต่โดยรวมแล้วแปลกแน่นอน
มันทั้งใช่และไม่ใช่
รองหัวหน้าเหวยถาม “เสี่ยวเถียน วันนี้คุณแต่งตัวแปลก ๆ นะ ทำไมเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยล่ะ?”
จากนั้นก็ตระหนักได้ว่าไม่ควรถามสักนิด
เพราะเขาเองก็รู้เหตุผลดี แล้วก็ลืมไปด้วยว่าเสี่ยวเถียนเป็นคนลำดับความสำคัญในการทำงานเสมอ
เด็กสาวยิ้ม “วันนี้เป็นงานใหญ่ค่ะ เลยต้องแต่งหน้าแต่งตัวหน่อย”
อู๋เมิ่งหลานได้ยินถึงกับเบ้ปาก
เธอลอบด่าในใจ ‘คนรังเกียจก็คือคนรังเกียจ!’
เข้าร่วมงานนิทรรศการ แต่งตัวอลังการงานสร้าง ไม่ใช่ว่าอยากจะโอ้อวดหรือไง
แต่ไม่ว่าจะสาปส่งมากแค่ไหน เธอก็ต้องยอมรับว่าซูเสี่ยวเถียนสวยมากจริง ๆ
หลังจากแต่งตัวแต่งหน้า ใบหน้าที่เดิมงดงามดูสวยขึ้นเป็นเท่าตัว
หญิงสาวจึงได้แต่ขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน เธอเป็นนางแบบวันนี้ เป็นคนที่ควรเปล่งประกายที่สุด ซูเสี่ยวเถียนกลับทำแบบนี้เพื่ออะไร?
คิดจะข่มกันหรือไง?
อู๋เมิ่งหลานเกลียดซูเสี่ยวเถียนมาก แต่เพราะพูดออกมาไม่ได้จึงระบายความโกรธกับการกิน
ระหว่างนั้นได้มีคนผู้หนึ่งเอ่ยเตือน “เมิ่งหลาน กินน้อยลงหน่อยนะ วันนี้ต้องเป็นนางแบบของงาน กินเยอะจะเห็นหน้าท้องชัดดูไม่สวยเอา!”
อู๋เมิ่งหลานตวัดสายตามองด้วยความโมโห!
นี่พูดภาษามนุษย์อยู่เรอะ?
พูดออกมาได้ยังไง?
เธอสวย ผอมเพรียวอยู่แล้ว เข้าใจไหม?
อีกสองสามถ้วยจะเป็นอะไรไป?
จะชุดไหนก็ใส่ได้ทั้งนั้น
“ปากมาก!”
“วันนี้ต้องใส่กี่เพ้านะ ข้อกำหนดในการเป็นนางแบบเยอะด้วย ฉันก็เลยเตือนด้วยความหวังดี!”
อีกฝ่ายไม่คิดว่าหญิงสาวจะไม่ฟังคำแนะนำ ทั้งยังพูดจาไม่พอใจ และอารมณ์เสียใส่ด้วย
อู๋เมิ่งหลานเมินทุกสิ่งแล้วคว้าขนมปังมากิน
ไม่ไกลจากกันมีคนแอบฟังบทสนทนาอยู่
หลังจากซูเสี่ยวเถียนกินข้าวเสร็จ ก็เตรียมออกเดินทาง
ผู้อาวุโสเฟิงอวี้ซูคอยติดตามเด็กสาวราวกับเด็กกลัวหลงทางไปจากผู้ใหญ่ รองหัวหน้าเหวยเห็นถึงกับหัวเราะ
ก่อนหน้านี้ตาแก่นี่ถือตัวมากไม่ใช่หรือ?
ทำไมตอนนี้ไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลยล่ะ?
ถามทุกคนได้เลย คนที่หยิ่งผยองที่สุดคือใคร?
แต่กลายเป็นว่ามีคนสยบเขาได้เสียอย่างนั้น!
และคนคนนั้นคือซูเสี่ยวเถียน!
“เสี่ยวเถียน เรานั่งรถคันเดียวกันนะ”
พอถึงเวลาขึ้นรถ ผู้อาวุโสเฟิงอวี้ซูก็เสนอความคิดและยืนกรานจะไปกับเด็กสาวด้วย เหตุผลง่าย ๆ คือ มีเรื่องต้องการจะปรึกษา
สุดท้ายผู้อาวุโสเฟิงอวี้ซู ซูเสี่ยวเถียน รัฐมนตรีต้วน และรองหัวหน้าเหวยก็นั่งคันเดียวกัน
กระเป๋าที่ซูเสี่ยวเถียนถือกระเป๋าไม่ใหญ่มากนัก เหมือนกระเป๋าที่หญิงต่างชาติถือกัน
ส่วนผู้อาวุโสเฟิงถือถุงผ้าดูไม่เด่นสะดุดตา
รัฐมนตรีต้วนเป็นกระเป๋าเอกสาร
มีแค่รองหัวหน้าเหวยถือกระเป๋าใบขนาดกลาง
ทุกคนต่างรู้ว่าเรากำลังจะไปงานนิทรรศการ และในมือเหวยจวิ้นอู๋ต้องมีผ้าและแบบเสื้อผ้าที่จะใช้ในวันนี้
ได้ยินว่าผ้าไหมที่นำมาจะเอามาทำกี่เพ้า
ผู้อาวุโสเฟิงอวี้ซูออกแบบด้วยตัวเอง ฉะนั้นมันจะต้องเด่นสะดุดตามากแน่
ทุกคนต่างขบคิดในใจ แล้วขึ้นรถตามที่วางแผนกันไว้
มีแค่เสี่ยวเถียนที่นั่งแยกออกไป
ชายคนนั้นรู้สึกถึงความผิดปกติ แม้ว่าเมื่อคืนจะไม่พบสิ่งมีค่าก็ตาม
พวกเขาต้องคุยอะไรกันแน่ ๆ หรือมีแผนอื่น
แม้ไม่รู้ว่าฝ่ายจีนเอาผ้าไปซ่อนไว้ที่ไหน แต่ได้ข่าวว่ามันมีการเปลี่ยนผ้าและออกแบบที่จะจัดแสดงในวันนี้มา
ทว่ากล่องนั้นอยู่ในมือรองหัวหน้าเหวย
หรือมันอยู่กับเขามาตลอดเลยหรือ?
เป็นไปได้ยังไง?
ตอนที่เห็นกล่องนั้น เขาก็แทบอยากพุ่งเข้าไปคว้าเอาไว้
และตอนนี้ทุกคนมองอยู่ เขาทำได้แต่คุมตัวเองเอาไว้
เส้นทางและสถานที่ที่จะไปเขาเปิดเผยไว้หมดแล้ว
ในตอนนี้จึงทำได้แค่จ้องเขม็งเท่านั้น
ถ้าไม่สำเร็จ ภารกิจวันนี้ต้องล้มเหลวแน่ และจะโดนลงโทษ
แค่นึกถึงโทษที่จะโดนก็หน้าซีด!
“เฮ้ย! ทำไมไม่ขึ้นรถล่ะ? รออยู่นะ”
มีคนหนึ่งเห็นเขายืนข้างก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนขึ้นมา
“จะขึ้นแล้ว ๆ เมื่อกี้เหม่อ ๆ น่ะ!” ชายคนนั้นยกยิ้มขอโทษแล้วรีบขึ้นตามไป