“เกทนี่หายากจังเลยเนอะ?”
“หวังว่าจะมีซักอันอยู่แถวๆ นี้ซักหน่อยน้า แต่ดูเหมือนจะเป็นแค่หวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้นเอง…”
ผ่านมา 2-3 ชั่วโมงแล้วจากตอนที่เราทั้งคู่ถูกโยนออกมาจากบ้านของคุณโคซากุระ ฉันกับโทริโกะก็มานั่งอยู่ในห้องส่วนตัวที่จุดแวะพักในสวนสาธารณะชาคุจิอิ พักขาล้าๆ ของพวกเราซักหน่อย
เดินไปทั่วในอากาศร้อนๆ แบบนี้ ยังไงก็ต้องเหนื่อยอยู่แล้วเป็นธรรมดา ฉันก็เหงื่อโชกเลย ได้ลมที่พัดมาตรงระเบียงเปิดนี่รู้สึกดีจริงๆ
ตรงหน้าฉันมีจานข้าวราดแกงกะหรี่ที่สั่งไป ส่วนตรงหน้าโทริโกะมีถาดใหญ่ของโซบะเย็นอยู่ ซึ่งพวกเรากินกันหมดเรียบร้อยไปแล้ว
“รู้มั้ย? ที่นี่เขามีเบียร์ขายด้วยนะ…”
โทริโกะพิงหัวไปข้างหลังพลางมองดูเมนูที่แปะอยู่ตรงกำแพง ผมสีบลอนด์สลวยเหมือนเส้นไหมตามปกติของเธอติดกันที่ซอกคอของเธอจากเหงื่อที่ชุ่มกันวันนี้ ฉันเผลองึมงำเห็นด้วย แล้วก็รีบส่ายหน้าทันที
“ไม่ได้ๆ… นี่มันยังสว่างอยู่เลยนะ ถ้าเกิดมาเมากันล่ะก็แย่แน่”
“แย่แน่ งั้นเหรอ?”
“ก็ยอมรับนะว่าฉันเองก็อยากดื่มอยู่เหมือนกัน”
ยกเรื่องที่ว่าเราจะย้ายเจ้า AP-1 กันยังไงออกไปก่อน แต่เราเพิ่งจะได้รับงานให้ไปหาเกทที่สามารถใช้งานได้ง่ายๆ มา
เกทที่เราใช้เดินทางไปกลับระหว่างโลกเบื้องหน้ากับโลกเบื้องหลังนี่ก็มีหลายอันเลย แต่ส่วนมากถ้าไม่ใช่ว่ามันใช้ไม่ได้แล้ว มันก็อยู่ที่โอกินาว่า เพราะงั้น พวกมันก็เลยใช้งานจริงไม่ได้
เกทอันเดียวที่เสถียรที่สุดก็คือลิฟต์ที่จิมโบโจ แล้วต่อให้เป็นอันนั้น ก็ไม่ได้รับประกันว่ามันจะใช้ได้ไปตลอด
พวกเราอยากได้เกทซักอันที่อยู่ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้จากโลกเบื้องหน้า แล้วก็ใช้เวลาสั้นๆ ในการเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่ตรงกลางระหว่างโลกเบื้องหน้ากับโลกเบื้องหลังด้วย
ไม่รู้เหมือนกันว่าของสะดวกสบายแบบนั้นจะมีอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าฉันมองเห็นจุดเชื่อมต่อไปยังอีกโลกด้วยตาขวาของฉัน โทริโกะก็อาจจะใช้มือซ้ายของเธอฝืนเปิดมันออกได้ก็ได้ พวกเราจะใช้สิ่งนี้แหละค้นหาเกทที่ใช้งานได้ ไม่ก็อาจจะต้องสร้างมันขึ้นมาเองเลย
นั่นคือสิ่งที่พวกเราตั้งใจเอาไว้ตอนที่เราออกมาจากบ้านของคุณโคซากุระ แล้วก็เดินร่อนไปมากันในละแวกนี้มา 2-3 ชั่วโมงแล้ว จนถึงตอนนี้ เรายังไม่เจอแม้แต่ที่ที่ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นของที่เราตามหาอยู่เลยด้วยซ้ำ
“เกทที่โอมิยะนี่เป็นประตูหลังตึกร้าง เกทที่จิมโบโจเปนลิฟต์ แล้วที่ชิชิบุก็เป็นเสาโทริอิในศาลเจ้าด้วย ถ้าเป็นสถานที่อย่างประตูหรือทางเดินเนี่ย ก็พอจะเข้าใจได้ง่ายๆ อยู่นะ”
โทริโกะพูดขึ้นพลางพักศอกบนโต๊ะเตี้ยๆ ถุงมือกันยูวีสั้นๆ ของเธอที่คลุมมือซ้ายที่โปร่งแสงเอาไว้นั่น―เหมือนจะเป็นผ้าไหม ไม่ก็ลินินล่ะมั้ง? อาจจะดูน่ารำคาญที่ต้องคอยสวมอยู่ตลอด แต่ก็ดูสบายมือดีนะ
“แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแบบนั้นเสมอไปนี่จริงมั้ย? อย่างตอนที่เราใช้หมวกของท่านฮัชชาคุในชินจุกุ พวกเราก็บอกไม่ได้เลยเกทมันเริ่มหรือสิ้นสุดที่ไหน”
“อือ ตอนเราโดดขึ้นรถไฟที่สถานีคิซารากิ กับเกทที่เปิดไปหาลานฝึกของกองกำลังสหรัฐนั่นก็เป็นพื้นที่รอบกล่องรับบริจาคเท่านั้นเอง”
“พวกเราลอดผ่านโพรงต้นไม้มาโผล่ที่นาฮะนั่นก็ด้วยนะ ดูไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นจุดร่วมกันเลย”
ตกใจเหมือนกันนะตอนนั้นที่พวกเราจู่ๆ ก็มาโผล่ที่บนหลังคาตึก ฉันนึกว่าเราจะโผล่ไปที่ไหนซักที่ในโอกินาว่าซะอีก แต่มันก็เป็นถนนที่พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยวนี่เนอะ แค่ไม่โผล่มากลางฝูงชนทั้งๆ ที่ไรเฟิลยังอยู่ในมือก็ดีใจแล้วล่ะ
มันทำให้ฉันนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างนึงพอดีเลย―ตอนที่เรากลับจากโลกเบื้องหลังมาที่นี่เนี่ย มันไม่รู้สึกเหมือนว่าพวกเราต้องผ่านพื้นที่ตรงกลางมาเลยนะ อย่างลิฟต์นี่ กว่าเราจะไปถึงที่นั่นก็ต้องใช้ขั้นตอนที่จำเพาะ แต่ตอนกลับมาที่นี่กลับทำได้ทันทีเลย ตอนที่เราฝืนบังคับให้เกทเปิดออก อย่างตอนที่เราเจอกับท่านฮัชชาคุหรือคันคันดาระ เราก็กลับมาที่โลกเบื้องหน้าได้โดยไม่ต้องเสียเวลาอะไรเลยเหมือนกัน ข้อยกเว้นข้อนึงก็คงจะเป็นรถไฟที่เรากลับมาจากสถานีคิซารากินั่นแหละ จากโลกเบื้องหน้าไปยังอีกฟากนึง กับจากโลกเบื้องหลังกลับมาที่ฟากนี้―ความไม่สมมาตรที่เกิดขึ้นนี่มันมีความหมายอะไรหรือเปล่านะ?
ระหว่างที่ฉันกำลังคิดใคร่ครวญอย่างหนักอยู่ โทริโกะก็มองผ่านไหล่ฉันไป
“โอ๊ะ แมวนี่นา”
ฉันหันกลับไปมอง ก็เห็นแมวลายสลิดสีน้ำตาลอ่อนเดินผ่านมาตามเงาตึก มันไม่มีปลอกคอนะ แต่เนื้อตัวก็ดูดีไม่เหมือนแมวจรจัดเลย คงจะมีอาหารกินทุกมื้อไม่ขาดเลยล่ะมั้ง เดินไปเดินมาอยู่ในที่แบบนี้ด้วย ตอนผู้ใหญ่กับเด็กคนนึงที่ดื่มรามูเนะกันอยู่นอกร้านหันไปสนใจมัน เจ้าแมวตัวนั้นก็โดดเข้าไปในพุ่มไม้ หนีจากความวุ่นวายไปซะแล้ว
TN: Tabby cat (แมวแท็บบี้) หรือแมวลายสลิด เป็นการบอกลักษณะลวดลาย ไม่ได้เป็นชื่อของสายพันธุ์ หมายถึงแมวที่มีสัญลักษณ์รูปตัว “M” ที่หน้าผาก และลำตัวยังมีลายไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นหลัง ไหล่ รอบขา และหาง
ส่วน ラムネ (Ramune, รามูเนะ) คือ เครื่องดื่มอัดลมของประเทศญี่ปุ่น ที่มีมายาวนานตั้งแต่สมัยเมจิ ใน ค.ศ. 1884 ที่โกเบ โดยเภสัชกรชาวอังกฤษ อเล็กซานเดอร์ แคเมรอน ซิม และยังได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน เป็นเครื่องดื่มประจำฤดูร้อนและนิยมจำหน่ายในเทศกาลต่างๆ ส่วนชื่อนั้นก็เพี้ยนมาจากคำว่า lemonade ในภาษาอังกฤษ (เพราะรสดั้งเดิมของมันก็คือรสมะนาวนั่นเอง)
“เธอว่าแมวนินจาจะใช้ดาวกระจายหรือเปล่า?”
โทริโกะถามขึ้นมา ส่วนทางฉันก็ส่ายหน้าตอบกลับไป
“ฉันว่ามันน่าจะใช้พวกดาบที่มีใบหยักเป็นฟันเลื่อยมากกว่า”
“อุหวา น่ากลัวจัง อะไรกันล่ะนั่นน่ะ?”
“ฉันว่าเรื่องมันเล่าไว้แบบนั้นนะ”
“เด็กผู้หญิงที่มาขอคำปรึกษาจากเธอบอกไว้งั้นเหรอ?”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น…”
ตอนที่ฉันจะพูดอะไรต่อ ฉันก็รู้สึกตัวขึ้นมาแวบนึง
อะไรกันน่ะเมื่อกี้? เรื่องดาบใบหยักนี่มันมาจากไหนกันเนี่ย? เซโตะ อาคาริไม่เคยพูดคำนั้นออกมาเลยไม่ใช่หรือไง―
“เอ๊ะ? เฮ้?”
“โซราโอะ”
โทริโกะโน้มตัวข้ามโต๊ะเตี้ยๆ นั่นมา กดมือขวาของเธอบนหน้าของฉัน แล้วก็มองใกล้เข้ามาที่หน้าของฉันที่กำลังมึนๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไหวหรือเปล่า? ให้ฉันช่วยตบหน้าให้เอามั้ย?”
“หา? ทำไมต้องรุนแรงยังงั้นด้วยเนี่ย?”
“ก็คิดว่าอาจจะช่วยปลุกให้ตื่นได้อะไรแบบนั้นได้น่ะ”
“ไม่ล่ะ ไม่เอา ขอบคุณ ขอล่ะ อย่าทำแบบนั้นเชียว”
ตอนที่ฉันมองโทริโกะดึงมือของตัวเองกลับไป ฉันก็พยายามเรียบเรียงความคิดของตัวเอง ก็ว่าอยู่ว่ามันเหมือนมีอะไรแปลกๆ ตอนที่พวกเราคุยกันอยู่ที่บ้านของคุณโคซากุระ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไม
จำได้แล้ว ก๊อปปี้พาสต้าแมวนินจาที่กระจายไปในเน็ตในฐานะมีมตลกนี่ จริงๆ แต่เดิมตั้งต้นแล้วมันเป็นเรื่องผีนี่นา
[ช่วงนี้ ฉันถูกหมายหัวจากพวกแมวนินจา] โพสต์ที่ดูจะจบสมบูรณ์ในตัวเองอยู่แล้วนี่ จริงๆ มันมีอะไรที่มากกว่านั้นอยู่ ผู้โพสต์ในกระดานหมวดเรื่องลึกลับของเว็บ 2channel ทำการค้นหาคำแนะนำในเรื่องที่ถูกพวกแมวนินจาไล่ทำร้ายอย่างจริงจังเลย พวกแมวที่ยืน 2 ขา ถือดาบใบหยักเป็นอาวุธ
ผลกระทบจากเรื่องนี้มันแรงมากจนฉันลืมไปซะสนิทเลย มันเป็นเรื่องแบบไหนนะ? ฉันหยิบมือถือออกมาพยายามค้นดู แต่ก็ไม่ใช่จะหาเจอได้ง่ายๆ เลย มันเป็นแค่เรื่องผีที่น้อยคนจะสนใจ ที่ฝังอยู่ใต้กองภูเขาเรื่องเล่าขานที่มีมากมายในอินเตอร์เน็ต จากที่ฉันจำได้รางๆ เหมือนมีอาสาสมัครจะจับเอาเรื่องของแมวนินจามาถ่ายเป็นหนังด้วย แต่แล้วทั้งหมดนั่นมันก็เลือนหายไปโดยไม่มีใครเข้าใจจริงๆ เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…
ตอนที่ฉันอธิบายเรื่องนั้นให้โทริโกะ เธอก็ทำสีหน้าแบบคนที่กะเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้
“เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วไงว่ามันต้องเกี่ยวอะไรกับโลกเบื้องหลังแน่เลย ฉันก็ว่ามันแปลกๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว ก็ มันไม่มีทางที่จะมีคนเอาเรื่องเก่าๆ แปลกๆ นั่นขึ้นมาพูดเพื่อที่จะแค่แกล้งกัน โดยที่ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันมาก่อนเลยอยู่แล้วล่ะ”
“ใช่ มันก็จริง แต่เถียงกันเรื่องนี้ เธอก็ได้เปรียบอยู่แล้วสิ นี่เราหมายถึงการมองย้อนกลับไปพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาแล้วนะ”
“เธอก็แค่ไม่ค่อยจะเฉลียวเท่าไหร่เองนะ โซราโอะ”
ในตอนที่ฉันกำลังหงุดหงิดกับคำพูดหยาบคายนั่น โทริโกะก็ยื่นมือ 2 ข้างเข้ามาที่หน้าฉันอีกรอบนึง ฉันปัดมันออกไปก่อนจะพูดตอบ
“อย่าพยายามจะบีบหน้าฉันทุกรอบจะได้มั้ย! ทำแบบนี้เพื่ออะไรเนี่ย!?”
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่”
“ไม่เป็นไรที่ไหนเล่า”
“เธอมีเบอร์ติดต่ออยู่แล้วหนิ ใช่มั้ย? ทำไมไม่โทรไปหาล่ะ?”
“ไม่อยากอะ วุ่นวายจะตายไป”
“ไม่อยากจะช่วยเด็กคนนั้นเหรอ?”
“ไม่มีทางยืนยันได้เลยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับโลกเบื้องหลังแน่ๆ เลยหนิ นั่นมันยังเป็นแค่ทฤษฎีของเธออยู่เลย อีกอย่าง เราก็ยังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก”
ฉันพูดก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ไปกันเถอะ ถ้าเกิดไม่รีบหาเกทให้เจอล่ะก็ มีหวังโดนยัดหญ้าใส่ปากให้สูบแทนยาเส้นแน่”
“ไม่เอาน้า”
“ต้องให้คุณโคซากุระซื้อเปลือกหอยนั่นเร็วๆ ด้วยสิ นั่นเป็นเรื่องที่เราจะมาคุยตอนแรกให้เสร็จซะก่อนแท้ๆ กลายเป็นว่าเธอโดนไล่ออกมาก่อนซะงั้น”
ตอนที่พวกเราหนีออกมาจากชายหาดที่โลกเบื้องหลัง พวกเราก็ได้เปลือกหอยเกลียวโปร่งใสมาอันนึง เหมือนเป็นการแลกกับหมวกของท่านฮัชชาคุ เป็นสิ่งแปลกปลอมจากอีกโลกนึงที่ เวลาจ้องเข้าไปข้างในก็จะเห็นเกลียววนลงไปไม่สิ้นสุดเลย ตอนนี้ มันเป็นแค่ของที่เปลี่ยนเป็นเงินได้เท่านั้นเอง ถึงมันจะไร้ประโยชน์สำหรับพวกเราเลยก็เถอะ จนกว่าคุณโคซากุระจะหายโกรธน่ะนะ
“เอาล่ะ งั้น พอเราหาเกทเจอแล้ว ก็ไปช่วยเด็กคนนั้นกันเถอะ”
“ไว้จะลองคิดดูนะ”
“แค่ลองคิดดูเองเหรอ?”
ฉันออกมาจากร้านพร้อมกับโทริโกะที่ดูไม่พอใจนิดหน่อย เอาหมวกขึ้นมาสวมพลางหรี่ตาจากแสงอาทิตย์ ตอนที่ฉันหันกลับไปมองข้างหลัง ก็เห็นเจ้าแมวลายสลิดสีน้ำตาลอ่อนตัวนั้น นั่งอยู่ในพุ่มไม้ จ้องมาทางฉันอยู่
TN: แมวมาอีกแล้วแฮะ