หวังคุนเหมือนขบคิดอะไร กินข้าวเสร็จก็พลันถาม “ไต้ซือ ท่านว่าคนเราต้องเรียนหนังสือถึงจะมีอนาคตรึเปล่า”
เมื่อก่อนตอนฟางเจิ้งเรียนหนังสือก็เคยคิดถึงคำถามนี้ทุกวัน เพราะเขาไม่ใช่เด็กที่รักการเรียน จนกระทั่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี ถึงค่อยเข้าใจความหมายของการเรียนหนังสือ ดังนั้นเขาจึงนั่งตัวตรง มองหวังคุนด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ประสก เมื่อก่อนอาตมาก็เคยเรียนหนังสือ ตอนนั้นอาตมาไม่ชอบการเรียน คิดว่าชีวิตคนเราไม่ควรผูกมัดอยู่ในห้องเรียนเล็กๆ นั่น โลกข้างนอกกว้างใหญ่ ทำไมเราไม่กางปีกบิน”
“ก็ใช่ครับ…” หวังคุนขานรับ
ฟางเจิ้งพูดต่อ “ต่อมาอาตมาได้เป็นเจ้าอาวาสวัด ถึงรู้ว่าอาตมาขาดความรู้จากตำรา ตอนญาติโยมมากมายเข้ามาถาม มีหลายครั้งที่อาตมาอ้างอิงเรื่องในตำรามาแก้ปัญหาไม่ได้ ตอนนั้นอาตมาถึงเข้าใจประโยคที่ว่าเมื่อถึงคราวต้องใช้ความรู้จึงนึกโกรธตัวเองว่าทำไมความรู้น้อย”
“นี่…ความหมายของไต้ซือคือยังต้องเรียนหนังสือเหรอ” หวังคุนผิดหวังเล็กน้อย
ฟางเจิ้งกลับส่ายหน้า
หวังคุนพูด “แล้วความหมายของไต้ซือคือ?”
ฟางเจิ้งยิ้มแล้วถามกลับ “ประสกเป็นนักเรียนที่ดีไหม”
หวังคุนตรึกตรองแล้วก็ส่ายหน้าตอบ “ไม่ครับ อย่างน้อยพ่อแม่ผม อาจารย์ แล้วก็เพื่อนคิดว่าผมเป็นขยะในเรื่องการเรียน”
ฟางเจิ้งเห็นสีหน้าจนปัญญาของหวังคุน จึงถามต่อ “ถ้าอย่างนั้น ประสกเป็นมือฉมังด้านบาสเกตบอลรึเปล่า”
หวังคุนพลันมีท่าทีกระฉับกระเฉง เชิดหน้าขึ้นมองต่ำลงมาราวกับประมุขบนสนามบาส “แน่นอนอยู่แล้ว! ในโรงเรียนเรา เรื่องเล่นบาส ถ้าผมบอกว่าเป็นที่สอง ไม่มีใครกล้าบอกเป็นที่หนึ่ง!” พูดจบก็หน้าแดง เพราะเฉินเหว่ยแข่งกับเขาอยู่ทุกวัน
ฟางเจิ้งถามต่อ “ทำไมประสกถึงเล่นบาสเก่งขนาดนั้น ทำไมถึงเหนือกว่าคนอื่นขนาดนั้น?”
หวังคุนไม่คิดอะไรเลย แต่พูดรัวเหมือนปากเป็นน้ำตก “ง่ายมาก ผมพยายามกว่าพวกเขา! มีช่วงหนึ่งลูกบาสไม่เคยห่างจากมือผมเลย ผมฝึกทุกวัน ชู้ตบาสทุกวัน ไม่รู้ว่าทำมากกว่าพวกเขากี่เท่า อีกอย่างผมมีวิดีโอ NBA เยอะด้วย ผมมีวิดีโอเจ๋งๆ ของยอดฝีมือแทบทุกคน แถมยังมีข้อมูลการฝึกกับการสอนต่างๆ…ผมยังเคยเข้าร่วมการฝึกอบรมรุ่นเยาว์ด้วย…”
หวังคุนพูดถึงประวัติอันรุ่งโรจน์จากความพยายามของตัวเองเป็นครึ่งชั่วโมงในทีเดียว ฟางเจิ้งยิ้มมองหวังคุนตลอด รอจนหวังคุนพูดจบถึงยิ้มเรียบๆ “ถ้าอย่างนั้นประสกคิดว่าการเรียนไม่มีประโยชน์รึเปล่า”
หวังคุนงุนงง จ้องฟางเจิ้งพลางคิดถึงตัวเองอีกครั้ง ก่อนก้มหน้ามองสองมือตัวเอง เกาหัวเก้ๆ กังๆ พลางว่า “ผมเข้าใจแล้ว การเรียนมีประโยชน์ มีประโยชน์มาก แต่ว่าผมออกนอกลู่นอกทางมาไกลแล้ว”
ฟางเจิ้งยื่นมือไปให้หวังคุนดู พูดว่า “ประสก เชิญดู นิ้วมืออาตมายาวเหมือนกันไหม”
หวังคุนส่ายหน้า “ไต้ซือ นิ้วมือท่านมีทั้งสั้นทั้งยาว จะไปยาวเท่ากันได้ยังไง”
“ความหนาบางล่ะเหมือนกันไหม” ฟางเจิ้งถามต่อ
หวังคุนส่ายหน้าอีกครั้ง
ฟางเจิ้งถามอีก “แล้วความสามารถล่ะเหมือนกันรึเปล่า?”
หวังคุนส่ายหน้า
“ขาดไปนิ้วหนึ่งได้ไหม?” ฟางเจิ้งถาม
หวังคุนส่ายหน้าต่อ “ไต้ซือ อย่าล้อเล่นสิครับ ขาดไปนิ้วหนึ่งมันน่าเกลียดมาก…”
ฟางเจิ้งพยักหน้าด้วยความพอใจ “ใช่แล้ว นิ้วมือมียาวมีสั้น มีความหนาบางและความสามารถต่างกัน ประสกขาดนิ้วใดนิ้วหนึ่งไม่ได้ จะดูถูกประโยชน์ของใดนิ้วหนึ่งก็ไม่ได้ คนก็เช่นกัน ทุกคนมีพรสวรรค์ต่างกัน พวกเขามีจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์และวิธีคิดเฉพาะของตัวเอง มีความสนใจและงานอดิเรก มีระดับความแข็งแรงของร่างกาย ทุกคนมีด้านที่ชำนาญ ทุกคนมีจุดด้อยของตัวเอง ตั้งแต่โบราณมา จะต้องดึงจุดเด่นหลบเลี่ยงจุดด้อยถึงจะแสดงคุณค่าของเราออกมาได้มากที่สุด บนโลกนี้ไม่มีคำว่าสายเกินไป จะสายเกินไปหรือไม่นั้นแตกต่างกันเพราะคน ขอเพียงประสกเดินตามทางที่อยากเดิน และเพียรพยายามต่อไป ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ประสกจะไม่เสียใจภายหลัง นั่นคือชีวิตคนที่สมบูรณ์แบบ เป็นชีวิตที่ตนพอใจ ชีวิตแบบนี้ใครจะบอกได้ว่านอกลู่นอกทาง?”
หวังคุนได้ฟังดังนั้นถึงกับผงะอยู่กับที่ ผ่านไปพักหนึ่ง เขาพลันหัวเราะขึ้นมา หัวเราะไปหัวเราะมาก็น้ำตาร่วง จากนั้นเด็กหนุ่มผู้เจิดจ้านั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น หวังคุนร้องไปพลางพูดไปพลาง “ไต้ซือ ท่านคือคนแรกที่พูดกับผมแบบนี้ และเป็นคนแรกที่ยอมรับผม…ท่านไม่รู้หรอกว่าผมเจ็บปวดแค่ไหนที่โรงเรียน ที่โรงเรียนอาจารย์คิดว่าผมเป็นพวกก่อเรื่อง เพื่อนคิดว่าผมเป็นขยะสังคม พ่อแม่เพื่อนคิดว่าผมเป็นอันธพาล พ่อแม่ผมก็คิดว่าผมเป็นลูกไม่รักดี…แม่ง ผมก็แค่ชอบเล่นบาสไม่ใช่เหรอ? แค่เล่นบาสเป็นงานอดิเรกไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเหมือนมีเรื่องกับทั้งโลกเลย?”
หวังคุนด่าจบก็วิ่งไปหยิบเบียร์มากระป๋องหนึ่ง ยกขึ้นซดเสียงดัง
ฟางเจิ้งฟังคำหวังคุนเล่าพลางมองเขา ไม่ได้พูดอะไร แต่มองเงียบๆ และคอยอยู่เป็นเพื่อนเช่นนี้
หมาป่าเดียวดายมองสองคนพลางส่ายหน้า มันที่กินอิ่มแล้วกระโดดขึ้นบนโซฟา เลือกที่สบายๆ สักที่ก่อนนอนหลับไป
หวังคุนดื่มเบียร์จนหมดกระป๋องในอึกเดียวถึงสงบลง จ้องฟางเจิ้งแล้วถามว่า “ไต้ซือ ถ้าผมพยายามต่อไปจะเห็นผลไหม”
“ผลคืออะไร?” ฟางเจิ้งถาม
หวังคุนมึนงง ใช่แล้ว ผลคืออะไร? หวังคุนขบคิดแล้วถึงตอบ “ผมอยากแข่งอาชีพ”
ฟางเจิ้งยิ้ม “ในเมื่อประสกมีเป้าหมายแล้ว ทำไมจะต้องถามอาตมาอีก?”
หวังคุนงุนงง จากนั้นยิ้มบอก “ใช่ ผมมีเป้าหมายแล้วจะถามท่านทำไม จะสนใจว่าคนอื่นจะมองยังไงทำไม ทำเลยสิ! ฮ่าๆ…ไต้ซือ ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมหมาตัวนี้ถึงฉลาดจัง”
ถึงคราวฟางเจิ้งงงบ้างแล้ว เขาถามว่า “ทำไมหรือ?”
“เพราะว่ามันติดตามไต้ซือที่ฉลาดเกินคนยังไงล่ะ”
ฟางเจิ้งพูดไม่ออกทันที ไม่อยากเชื่อว่าจะถูกเยินยอแบบนี้ ปัญหาคือเขาดีใจมาก…ไม่ผิดคาด เขาละลายแล้ว
คืนนี้ หวังคุนดูตื่นเต้นมากอย่างเห็นได้ชัด เขาชวนฟางเจิ้งคุยตลอด ฟางเจิ้งคุยเป็นเพื่อนด้วยความจนใจจนถึงเช้าตรู่ สองคนนี้ถึงนอนหลับไป
วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ หวังคุนมีวันหยุดหนึ่งวัน เขาตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ล้างหน้าบ้วนปาก ทำอาหาร แล้วเก็บห้อง ท่าทางขยันขันแข็ง ทำให้ฟางเจิ้งเหมือนเห็นเงาของตัวเอง บางทีหวังคุนอาจไม่ใช่เด็กดีในด้านการเรียน แต่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นเด็กดี! ความดีเลวของคนคนหนึ่ง ไม่ควรจะใช้ผลการเรียนเป็นตัววัดความสำเร็จ!
“ไต้ซือ วันนี้พวกเราจะไปแข่งกันที่เขตเล็กเยียนกว่าง ท่านจะไปไหมครับ” หวังคุนถามขณะกินข้าว
“คนที่นั่นเหมือนจะไม่ต้อนรับพวกโยมนะ” ฟางเจิ้งพูด
“ก็บางครั้งเท่านั้นแหละครับ พวกเราเล่นบาสที่ไหนก็ไม่ค่อยมีใครต้อนรับอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจเลยนะ สนามบาสมีไว้เล่นบาส เวลาเล่นถ้าไม่ตะโกนแหกปากจะเรียกว่าเล่นบาสเหรอ ทีพวกเขาเล่นไพ่นกกระจอกเสียงยังดังได้ แต่พวกเราเล่นบาสไม่ได้…แต่ถึงยังไงพวกเราก็ชินแล้ว เราเล่นกับแบบกองโจร มีโอกาสก็เล่น ถูกไล่ค่อยไป” หวังคุนไม่ใส่ใจ
ฟางเจิ้งยังไงก็ได้ จึงจะตามไปดูด้วย ถึงตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่าภารกิจของตนคืออะไรกันแน่ก็เถอะ! ทว่าเขาไม่อยากอยู่บ้านหวังคุนไปตลอดชีวิต