ดวงจันทราเร้นกายหลังกลีบเมฆ ห้องโถงในโรงเก็บศพแห่งนี้เสมือนขุมนรกของเหยียนหวัง
ชิวอวี้อดที่จะหดศีรษะเข้าหาลำตัวไม่ได้ แม้เขาจะไม่เชื่อว่าโลกใบนี้มีผี แต่ถึงกระนั้นขนแขนก็ยังคงลุกชันเมื่อยืนอยู่ที่นี่
แต่สิ่งที่ทำให้เขาพูดไม่ออกก็คือหญิงสาวรูปร่างบอบบางอย่างหลินเมิ้งหยากลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ
หรือนางจะไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย?
“เจ้าพกของที่สามารถส่องทางได้ติดตัวมาบ้างหรือไม่?”
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ตบหลังชิวอวี้ กล้ามเนื้อของเขาพลันแข็งเกร็ง
ตื่นตระหนกถึงเพียงนี้เชียวหรือ? หลินเมิ้งหยามองเขาอย่างพูดไม่ออก สายตาตำหนิติเตียน
“มี รอสักครู่ อีกอย่างอย่าตีข้าอีก ข้าอาจตกใจตายได้!”
เห็นได้ชัดว่าชิวอวี้ตื่นตระหนกจนควบคุมตัวเองไม่ได้ น้ำเสียงสั่นเครือ
หยิบไต้ไฟออกมาจุด ก่อนจะส่องไฟสาดไปในความมืด
หลินเมิ้งหยามองท่าทางตื่นตระหนกของเขา ที่นี่เป็นเพียงโรงเก็บศพรกร้างเท่านั้น เหตุใดต้องกลัวถึงเพียงนี้?
หากทิ้งเขาไว้ในห้องดับจิตของโรงพยาบาลเพื่อให้ศึกษาร่างของอาจารย์ใหญ่ เช่นนั้นเขาจะมิตกใจจนสติหลุดหรอกหรือ?
“เอาล่ะ เอาล่ะ หากเจ้ากลัวก็จับมือของข้าไว้”
หลินเมิ้งหยายื่นแขนให้เขาเกาะอย่างใจกว้าง ชิวอวี้จึงเข้าไปเกาะแขนของนางแน่น
รับไต้ไฟมาถือไว้ หลินเมิ้งหยาค่อยๆ เดินไปยังสวนด้านหลัง
ห้องโถงค่อนข้างรก แต่ถึงกระนั้นก็ยังมองเห็นเตียงสองสามหลังสำหรับวางศพได้อย่างชัดเจน ทั่วทุกมุมห้องล้วนมีป้ายวิญญาณวางเอาไว้
ดูเหมือนจะไม่มีใครมาที่นี่นานมากแล้ว
ห้องใต้ดินน่าจะอยู่ที่ทางด้านหลัง หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้พากันเดินไปยังด้านหลังห้องโถง เมื่อเทียบกับความระเกะระกะทางด้านหน้า ด้านหลังกลับไม่รกเท่า
มีเพียงกองฟางถูกวางเอาไว้ที่มุมกำแพง
“ดูเหมือนด้านหลังห้องโถงเองก็ไม่มีอะไรเช่นเดียวกัน เช่นนั้นพวกเราออกไปกันเลยเถิด”
แม้จะมีแสงไฟส่องทาง แต่ชิวอวี้ยังคงรู้สึกกลัว
พูดไปก็น่าขัน เขาไม่เคยกลัวอะไร ยกเว้นผีและความมืด
หากพี่ใหญ่ของเขารู้เข้า เกรงว่าจะต้องถูกหัวเราะเยาะใส่หน้าเป็นแน่
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับชี้ไปที่กองฟาง
“เจ้าไปย้ายของพวกนั้นออกมา”
ชิวอวี้เบิกตากว้าง เขามองหลินเมิ้งหยาด้วยท่าทางน้อยใจ ดูราวกับว่ากำลังขอร้องนางอย่างไรอย่างนั้น
น่าเสียดาย หลินเมิ้งหยาชักแขนของตนเองกลับ ก่อนจะส่งสายตาราวกับต้องการจะสื่อว่าหากเขาไม่ย้ายของ เช่นนั้นเขาก็ต้องพึ่งตัวเอง
สุดท้ายชิวอวี้ก็ต้องจำยอมเข้าไปย้ายกองฟาง
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือด้านหลังกองฟางมีประตูเหล็กอยู่บานหนึ่ง
ประตูสีดำทะมึนดูไม่เข้ากับโรงเก็บศพรกร้างแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย
เขาใช้มือดันเบาๆ ดูเหมือนว่ามันจะขยับได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังไร้สนิม สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าประตูนี้ถูกใช้งานอยู่บ่อยครั้ง
“เอ๋? เหตุใดที่นี่จึงมีประตูลับเล่า? เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลินเมิ้งหยารีบเดินเข้าไป กวาดสายตามองให้ละเอียด เมื่อมั่นใจแล้วว่าประตูบานนี้ไม่มีพิษแต่อย่างใด นางจึงสั่งให้ชิวอวี้เปิดออก
“เจ้าลองคิดดู หากไม่มีคนใช้งานเป็นเวลานาน เช่นนั้นใครจะเป็นคนนำกองฟางมาวางไว้เล่า? ยิ่งไปกว่านั้นกองฟางยังเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน ย่อมไม่ใช่ผีสางนำมาวางทิ้งไว้อย่างแน่นอน”
อดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เขา นับตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาที่นี่ สติปัญญาของเขาหดหายเป็นอย่างมาก
เพียงได้ยินคำว่าผี ชิวอวี้รีบบ่นพึมพำ
คว้าแขนของหลินเมิ้งหยาแล้วขยับเท้าถอยหลัง
“ไอหยา เจ้าจะทำอะไร!”
เหตุใดเขาจึงมีความกล้าน้อยกว่านางที่เป็นสตรีเช่นนี้นะ?
“อย่าเปิดนะ บางทีที่นี่อาจเป็นประตูนรก เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าหรือ? เรื่องเล่ามากมายล้วนเขียนเอาไว้ว่าเหยียนหวังมีประตูเชื่อมต่อไปยังนรก หากเจ้าเปิด บางทีพวกภูติผีปีศาจอาจจะหลุดออกมาก็ได้! นี่ นี่ อย่าเปิด!”
หลินเมิ้งหยาคร้านจะสนใจเขา นางยื่นมือออกแรงเปิดประตู
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็ล้มลงกับพื้น ร่างกายแข็งทื่อ
บรรยากาศชวนอึดอัดแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ความเงียบเข้าครอบงำจนได้ยินกระทั่งเสียงกลืนน้ำลายของชิวอวี้
“พระชายา? คุณหนูหลิน? เมิ้งหยา?”
เปลี่ยนวิธีเรียกถึงสามครั้ง ทว่าหลินเมิ้งหยายังคงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ
ชิวอวี้ตกใจจนเข่าอ่อน แต่ก็ขยับเท้าเดินเข้าใกล้ ยื่นมือที่กำลังสั่นเทิ้มแตะลงบนบ่าของหลินเมิ้งหยา
จากนั้นรีบชักแขนกลับมาแล้วจ้องแผ่นหลังของหลินเมิ้งหยาด้วยความระมัดระวัง
“คุณชายไร้มารยาทยิ่งนัก เหตุใดจึงบังอาจแตะต้องตัวสตรีตามอำเภอใจเช่นนี้”
เสียงเล็กแหลมดังออกจากลำคอของหญิงสาวตรงหน้า เสียงนั้นเสมือนกำลังหยอกเย้าอย่างไรอย่างนั้น ทว่าชิวอวี้กลับขนลุกชัน
“เจ้า…เจ้า…เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นผีหรือคน! ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ ผู้หญิงคนนี้หาใช่คนธรรมดาไม่ หากเจ้ากล้าสิงนาง วิญญาณเจ้าจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด!”
แสร้งทำท่าทางสงบนิ่ง แต่แม้กระทั่งริมฝีปากเองก็มิอาจใช้งานได้ดังใจ
หลินเมิ้งหยาที่ทรุดตัวลงกับพื้นค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นจึงส่งเสียงหัวเราะแหลมสูงออกมา
“คิก คิก คิก คิก ในที่สุดก็เจอชายหนุ่มรูปงามหลังจากรอคอยมาหลายปี ลองดูเถิดว่าข้าเป็นใคร!”
หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับมากะทันหัน ชิวอวี้หลับตาปี๋ เหตุเพราะความกลัวจึงทำให้เสียงร้องของเขาหยุดอยู่ที่ดวงตา
“อามิตาภพุทธ พระพุทธองค์ได้โปรดดูแลลูกด้วย ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ เนื้อของข้าไม่อร่อยหรอก เนื้อของพี่ใหญ่ข้าต่างหากที่น่ากิน เจ้าไปกินเขาเถิด…”
ชิวอวี้ที่ตกใจจนร้องไม่เป็นภาษากลับได้ยินเสียงหลุดขำพรืดของหญิงสาวตรงหน้า
ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะพบใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลินเมิ้งหยา
ชี้มือชี้ไม้มาทางชิวอวี้ หลินเมิ้งหยาอ้าปากหัวเราะร่า คนที่ความกล้าวิ่งหนีหายออกจากร่างไปเมื่อครู่อย่างชิวอวี้จึงเพิ่งรู้สึกตัว
เขาถูกหลินเมิ้งหยาหลอกเสียแล้ว!
“นี่! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเมื่อครู่เจ้าทำตัวตลกแค่ไหน”
ตอนแรกหลินเมิ้งหยาไม่คิดหลอกเขา แต่ความกล้าของเขาช่างน้อยนัก
เลือดพลุ่งพล่านขึ้นมายังศีรษะ กัดฟันกรอดมองหญิงสาวตรงหน้า เขาแทบจะเข้าไปบีบคอนางให้ตาย
“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้าเองก็เห็นแล้วนี่ว่าที่นี่หาใช่ประตูนรกไม่ อีกอย่างเจ้ากับข้าล้วนเป็นหมอ พวกเรามีหน้าที่ช่วยชีวิตคน ต่อให้อยู่ในโลกใต้พิภพก็จะคงเหลือไว้เพียงคุณงามความดี เจ้าเองเป็นถึงชายอกสามศอก แต่พอมาที่นี่กลับมีท่าทางอ่อนแอไม่ต่างอันใดจากสตรี เอาล่ะ พวกเรารีบลงไปดูกันเถิด”
หัวเราะพอแล้ว หลินเมิ้งหยาจึงเอ่ยปลอบเขาสองสามประโยค
ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนเองหวาดกลัว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวในหัวใจจึงจะสามารถกลายเป็นคนกล้าหาญและเข้มแข็งได้
หลังจากถูกนางทำให้ตกใจหวาดผวา ไม่รู้ว่าเพื่อกู้หน้าตัวเองกลับมาหรือไม่ แต่ความกล้าของชิวอวี้กลับมีมากกว่าเดิมหลายเท่า
เขาออกปากขอเดินนำหน้าหลินเมิ้งหยาเอง
ประตูสูงเพียงครึ่งเอว พวกเขาจึงต้องก้มตัวแล้วเดินเข้าไป เมื่อเดินเข้ามาได้ไม่กี่ก้าว บันไดก็เริ่มกว้างขึ้น
เดินลงไปราวสี่สิบห้าสิบขั้น ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงห้องใต้ดิน
ที่นี่มีขนาดใหญ่เท่ากับห้องโถงด้านบน บรรยากาศไม่น่าอึดอัดเลยแม้แต่น้อย แม้แต่กลิ่นของยาพิษก็ไม่มี
“ดูเหมือนพวกเราจะเดาถูก พวกเขาคงทำการบางอย่างที่นี่ เจ้าลองดูตรงนั้น นั่นเป็นข้าวของเครื่องใช้ประจำวันที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นภายในยังมีน้ำสะอาด เท่าที่ดูจากความขุ่นของน้ำแล้ว คาดว่ามันคงถูกทิ้งไว้เมื่อหลายวันก่อน”
ชิวอวี้สังเกตร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้
บางทีหลังจากมั่นใจแล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ประตูนรก ฉะนั้นเขาจึงกลับมามีท่าทางปกติดังเดิม
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง พื้นที่ว่างในนี้ค่อนข้างน้อย แต่ภายในกลับมีโลงศพสี่ห้าหลังตั้งไว้
ไม้เนื้อแข็งสีดำสนิทกลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของห้องนี้
หลินเมิ้งหยารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาครามครัน ก่อนเข้ามาในโรงเก็บศพ เรดาร์สแกนพบยาพิษที่ตำแหน่งนี้ นี่หรือว่าป๋ายหลงและเฮยฮู่ไม่ได้ทำเพียงฆ่า แต่ยังซ่อนเอาไว้ในโลง?
นางไม่เชื่อหรอกว่าพวกค้ามนุษย์จะใจดีถึงขนาดจัดการนำศพใส่โลงให้เรียบร้อย
“พี่ใหญ่ชิวมานี่หน่อย ข้ารู้สึกว่าโลงศพนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก เจ้าช่วยข้าเปิดฝาโลงออกหน่อยได้หรือไม่?”
คราวนี้ชิวอวี้มิได้ปฏิเสธ
เหตุเพราะหมอเช่นพวกเขาล้วนคุ้นชินกับศพมนุษย์ดี ไม่เหมือนกับจินตนาการเกี่ยวกับผีสางของตนเองเมื่อครู่
“ครืด ครืด ครืด” เสียงดังขึ้น โลงศพที่อยู่ใกล้พวกเขาที่สุดถูกเปิดออก หลินเมิ้งหยาจึงยื่นไฟเข้าไปส่อง
“แปลกจริง หากพวกเขาทั้งสองตายไปแล้ว เช่นนั้นใบหน้าจะไม่แดงเกินไปหน่อยหรือ?”
ชิวอวี้เอ่ยขึ้นมา หลินเมิ้งหยาเองก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน
คนที่นอนอยู่ในโลงคือชายสองคน หลินเมิ้งหยายื่นมือเข้าไปรองใต้จมูก ผลปรากฏว่าพวกเขากำลังหายใจรวยริน
หรือพวกเขายังมีชีวิตอยู่?
หลินเมิ้งหยาและชิวอวี้สบตากัน ก่อนที่ชิวอวี้จะยื่นมือเข้าไปจับชีพจรที่ข้อมือของชายคนหนึ่ง
ไม่นานคิ้วของชิวอวี้ก็ขมวดเข้าหากันแน่น
เขาย้ายมือไปจับชีพจรของชายอีกคน ผลที่ได้ก็เหมือนกัน
“เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเมิ้งหยามองชิวอวี้ แต่กลับได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของเขา
“มีชีพจร คนพวกนี้กำลังหลับอยู่”
หลับ? หลินเมิ้งหยาจับข้อมือของชายคนหนึ่ง ชีพจรมั่นคง
ไม่มีแม้แต่ความผิดปกติ เป็นไปไม่ได้! หากพวกเขากำลังหลับ จะเป็นไปได้หรือที่จะเงียบเชียบถึงเพียงนี้
อีกอย่างหากนอนหลับก็ควรจะตื่นนอนได้สิ ถ้าตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในโลง พวกเขาจะไม่ตื่นตระหนกเลยกระนั้นหรือ?