ตอนพิเศษ 27 ท่านแม่? (1)
กลับมาเอ่ยถึงหลิงจือ หลังจากเลือกไข่มุกแล้ว ตัวนางก็ถูกขุมพลังมหาศาลดูดเข้าไป ชั่วเวลาเพียงพริบตา นางยังไม่ทันตั้งตัวได้ก็ล้มหนักๆ ลงบนทางเดินเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้แล้ว
ทางเดินเล็กๆ เส้นนี้สองข้างทางเป็นป่า ข้างหน้าเป็นทิวเขาที่สูงตระหง่านขึ้นชนก้อนเมฆ ทางด้านหลังดูเหมือนจะเป็นหุบเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง
นี่อยู่กลางเขา?
หลิงจือคาดเดา
หลิงจือในเวลานี้ยังไม่รู้ว่าตนถูกส่งเข้ามายังสถานที่เช่นไร แต่ดูจากภูเขาบริเวณนี้ที่เขียวชอุ่มแล้ว ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยชีวิตชีวา หรือว่านี่จะเป็นประตูเกิด?
หลิงจือยังไม่ทันได้นึกยินดี ทางด้านหลังก็มีเสียงคุ้นหูดังขึ้น “เหตุใดจึงเป็นเจ้า”
หลิงจือลุกขึ้นยืน หันไปมองอีกฝ่าย สีหน้าดูแปลกใจยิ่งกว่าเสียอีก “เจ้า?”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองหลิงจือด้วยสายตาเรียบเย็น “เจ้าแอบดูไข่มุกในมือข้าใช่หรือไม่”
หลิงจือพลันหน้าบึ้ง “ใครแอบมองไข่มุกเจ้ากัน”
ไข่มุกของแต่ละคนล้วนปิดผนึกอยู่ในกล่อง ผู้ฝึกตนคนอื่นไม่มีทางมองเห็นของกันและกัน ต่อให้มองเห็น นางก็ไม่มีทางแอบดูของนางเด็ดขาด!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ดูไม่เชื่อสักนิด ในสายตานางแล้วหลิงจือต้องการจะทำตามนางทุกอย่าง กระทั่งวิชาคาถาที่แอบเรียนก็ยังเป็นแบบเดียวกัน ไม่แน่ว่าหลิงจืออาจจะคอยจับตาดูนางทุกฝีก้าวเลยก็เป็นได้ “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้แอบมองข้า แล้วเจ้าเลือกสีเดียวกับข้าได้อย่างไร”
หลิงจือ “ข้าเลือกของข้าเองไม่ได้หรือ ทั้งหมดมีสิบห้าคน อย่างไรก็ต้องมีคนที่เลือกประตูบานเดียวกัน หรือเจ้าคิดว่าสีที่เจ้าเลือกอย่างไรก็ต้องมีเจ้าคนเดียว ความจริงก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าก็ไม่ได้พิเศษอะไรกว่าใคร”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยว่า “ปากคอเราะร้ายนัก!”
หลิงจือไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับนาง นางปัดฝุ่นตามตัว
อยู่ๆ เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือประตูอะไร”
“ประตูเกิด?” หลิงจือตอบ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยกมุมปากด้วยความดูแคลน “หากเป็นประตูเกิดเจ้าควรหัวเราะได้แล้ว”
หลิงจือมองนางด้วยสายตาประหลาด พึมพำเสียงเบาว่า “หรือจะเป็นประตูตาย”
แววขบขันในดวงตาเด็กสาวรากปราณสวรรค์ลึกล้ำยิ่งขึ้น
หลิงจือพลันตาโต “เป็นประตูตายจริงๆ น่ะหรือ! สวรรค์ พวกเราไม่ต้องโชคร้ายถึงเพียงนี้ได้หรือไม่! มีประตูตั้งมากเพียงนั้น เหตุใดถึงเลือกประตูตายเสียได้”
“เจ้าสิโชคร้าย ไม่ใช่ข้า” เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยแก้ให้
หลิงจือหันไปมองนางอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าหมายความเช่นไร”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์พลิกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏไข่มุกสีเขียวอีกเม็ดหนึ่ง ถึงแม้ไข่มุกของประตูตายจะเป็นสีเขียวเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สีเขียวนี้ นี่เป็นไข่มุกอีกเม็ดหนึ่ง
หลิงจือกะพริบตาอึ้งๆ “นี่คือ…”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คล้ายกลัวว่าหลิงจือจะแย่งไป จึงไม่ยอมให้นางมองนานอีกสักนิด รีบกำมือแล้วดึงกลับไปทันที นางเอ่ยอย่างได้ใจว่า “นี่เป็นไข่มุกเคลื่อนย้ายที่อาจารย์ให้ข้า มันสามารถพาข้าไปยังสถานที่ใดก็ได้ภายในระยะสิบลี้ ข้าคิดว่าพื้นที่ภายในประตูตายคงไม่เกินสิบลี้หรอกกระมัง”
เช่นนี้แล้วพอนางใช้ก็สามารถออกจากประตูตายได้เลยสิ
หลิงจือทั้งอิจฉา ริษยาและไม่พอใจ “ประตูอับโชคไม่ได้มีเพียงบานเดียว เจ้าระวังไปเข้าอีกประตูอับโชคหนึ่งก็แล้วกัน”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยกลั้วหัวเราะช้าๆ “ใครบอกกันเล่าว่าข้ามีไข่มุกเคลื่อนย้ายแค่เม็ดเดียว”
“เจ้า…” หลิงจือพูดไม่ออก
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยอย่างได้ใจ “ทำไม? อาจารย์เจ้าไม่ให้ของดีอะไรเจ้ามาเลยหรือ ดูท่าต่อให้ใช้คาถาได้มากมายเพียงนั้น ก็ยังไม่ได้รับความสำคัญจากอาจารย์เจ้าอยู่ดีสินะ”
หลิงจือนึกอิจฉายิ่งนัก ลูกศิษย์สายตรงของผู้พิทักษ์เช่นเดียวกัน แต่ของที่อีกฝ่ายมีกลับดีกว่านางเสมอ เทียบกันแล้วช่างน่าโมโหยิ่งนัก!
ใจคิดเช่นนี้แต่ปากกลับเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าก็แค่คนมีบิดาเป็นท่านเซียน มีอะไรเลอเลิศกัน ผู้พิทักษ์รองเห็นแก่หน้าบิดาของเจ้า ถึงได้ให้ของดีมากมายเช่นนั้นกับเจ้าหรอก!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ “ใช่แล้ว ก็เพราะข้ามีบิดาที่เก่งกาจยิ่ง แล้วเจ้าเล่ามีหรือไม่”
หลิงจือเดือดดาลเหลือแสน!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์โยนไข่มุกเคลื่อนย้ายในมือเล่น “เจ้าขอร้องข้าดีๆ สิ บางทีข้าอาจจะแบ่งให้เจ้าเม็ดหนึ่งก็ได้”
หลิงจือยื่นมือออกไปทันที “ได้สิ ข้าขอร้อง เจ้าให้ข้ามา!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะขอร้องนางจริงๆ จังหวะนั้นนางถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย นางอึ้งไปเพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับมาเยือกเย็นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “นี่คือท่าทางการขอร้องคนของเจ้าหรือ”
หลิงจือเท้าสะเอวมองหน้าอีกฝ่าย “หรือเจ้าคิดจะให้ข้าคุกเข่าขอร้องเจ้าหรือไร ไม่อยากให้ก็ช่างเถิด ขี้งก!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์โยนไข่มุกเม็ดหนึ่งให้อย่างมีน้ำโห “ห้ามตามข้ามาอีกนะ! หากข้าจับได้ อย่าโทษข้าถ้าข้าจะลงมือกับเจ้า!”
หลิงจือรับไข่มุกเม็ดนั้นไปแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เหตุใดเม็ดเล็กเพียงนี้ ไม่เห็นเหมือนของเจ้าเลย!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ “เจ้ายังคิดจะอยากได้แบบเดียวกับข้าอีกหรือ ฝันไปเถิด!”
หลิงจือประเมินความต่างของขนาดไข่มุกทั้งสองเม็ด หากไข่มุกเม็ดใหญ่ของเพื่อนบ้านนางสามารถไปได้ไกลสิบลี้ ไข่มุกในมือนางเม็ดเล็กเท่านี้น่าจะเคลื่อนย้ายได้ประมาณสองถึงสามลี้ ด้วยระยะเท่านี้น่าจะยังไม่ออกจากเขตประตูตาย อีกฝ่ายหากเกิดเข้าไปยังเขตสัตว์อสูรสักแห่ง นางจะไม่ยิ่งแย่กว่านี้หรือ!
หลิงจือส่งเสียงหึ “รู้อยู่แล้วเชียวว่าเจ้าไม่หวังดีแน่!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยื่นมือจะไปเอาคืน “ไม่อยากได้ก็คืนข้ามา!”
หลิงจือดึงมือหลบ เชิดคางพลางเอาไข่มุกยัดใส่อกเสื้อ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ส่งเสียงเหอะเย็นๆ ใช้ไข่มุกเม็ดที่หนึ่งไปจากสถานที่แห่งนั้น
หลิงจือตัดสินใจว่ายังไม่ใช้ไข่มุกเคลื่อนย้ายเม็ดนั้น ไว้รอให้เจออันตรายร้ายแรงก่อนค่อยใช้ ถึงเวลานั้นหนีได้หนึ่งลี้ก็หนึ่งลี้ นางลองเสี่ยงดวงดูก่อนก็แล้วกัน
หลิงจือเริ่มค้นหาอาวุธวิเศษภายในป่า ประตูตายไม่เสียแรงที่เป็นประตูตาย ชั่วเวลาสั้นๆ ในช่วงบ่าย หลิงจือเจอสัตว์อสูรไปแล้วสี่ตัว โชคดีที่สัตว์อสูรเหล่านั้นระดันชั้นไม่สูง หลิงจือสามารถรับมือได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงคืบหน้าไปค่อนข้างช้า ฟ้ามืดลงแล้ว นางยังเดินไม่พ้นภูเขาลูกนี้เลย
ที่หลิงจือไม่รู้ก็คือ ในบรรดาสิบห้าคนนี้ มีแปดคนที่หาอาวุธวิเศษเจอแล้ว อาวุธวิเศษมีทั้งหมดสิบชิ้น ซึ่งหมายความว่าเหลืออาวุธวิเศษอีกสองชิ้นที่รอให้ผู้ฝึกตนไป “ขุดค้น” อยู่
หลิงจือเหลือเวลาไม่มากแล้ว นางจำเป็นต้องเดินทางข้ามคืน แต่การเดินทางในยามวิกาลนับเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หลิงจือจึงกัดฟัน เหาะกระบี่เข้าไปในทิวเขา
ตอนเฉียวเวยเวยก้าวเข้ามาในประตูตาย บังเอิญว่ามาตกอยู่ในจุดที่หลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์พบกันพอดี บนพื้นยังมีกลิ่นไอของหลิงจืออยู่ นางไล่ตามกลิ่นนั้นไป แต่ไม่เท่าไร กลิ่นนั้นก็หายไป
เฉียวเวยเวยคอตกด้วยความห่อเหี่ยว “หลิงจือ”
เฉียวเวยเวยเดินเท้าเปล่าไปตามทางเดินขรุขระในป่า รอบด้านมีแต่ความเงียบงัน นานๆ ครั้งจึงจะมีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังขึ้น ภายในป่าที่กว้างใหญ่นี้ ตัวนางเล็กราวกับก้อนหินในมหาสมุทร
นางเดินย่ำผ่านแอ่งน้ำ คลานผ่านรากไม้ เสื้อนอนที่เคยสะอาดจึงเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว ใบหน้าอวบอิ่มของนางก็สกปรกไปด้วย เท้าเล็กๆ ก็แดงก่ำ
“หลิงจือ”
นางเดินหอบต่อไปเรื่อยๆ
ยามค่ำคืนมีสายตาหมาป่าที่เป็นประกายสีเขียวคอยจับจ้องนางตาไม่กะพริบ น้ำลายหยดติ๋งๆ ลงกับพื้น
เด็กตัวเล็กคนหนึ่งย่อมเป็นอาหารอันโอชะที่หาได้ยากในป่าแห่งนี้
แต่ในขณะที่ฝูงหมาป่ากรูกันเข้าไปหาเฉียวเวยเวยนั้น กลับชนเข้ากับข่ายอาคมโปร่งใส จึงกลิ้งกระเด็นกระดอนกันออกไป
ใช่แล้ว เฉียวเวยเวยเข้าไปยังอีกข่ายอาคมหนึ่งแล้ว ซึ่งตัวนางเองไม่รู้ตัวเลยสักนิด
ดูจากภายนอกเป็นเพียงป่ารกร้างแห่งหนึ่ง แต่ในสายตานางกลับมองเห็นเป็นทิวทัศน์ที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง
นางมองเห็นเป็นหอสูง
นางเดินเข้าไปในหอสูงนั้น
หอแห่งนี้มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นที่หนึ่งสูงขึ้นจากพื้นเล็กน้อย นางยืดมือขึ้นเกาะก่อนจะปีนเข้าไป
จากนั้นนางก็ยืดตัวตรง เท้าที่เปรอะเปื้อนเยียบลงบนพื้นไม้สะอาดสะอ้านจนเห็นเป็นรอยพระจันทร์เสี้ยวรอยแล้วรอยเล่า
นางผลักเปิดประตูไม้
กลิ่นไออันคละคลุ้งพุ่งเข้าใส่หน้านาง เป็นกลิ่นที่นางไม่ได้กลิ่นยามอยู่ข้างนอก แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
เฉียวเวยเวยกะพริบตาวาวใส กวาดมองไปรอบๆ นางมองอยู่พักหนึ่งก็เห็นบันไดที่อยู่ด้านข้าง
นางปีนขึ้นไปด้วยความใคร่รู้
บันไดคดเคี้ยวขึ้นด้านบน อาจเพราะขาดการบูรณะมานานปี จึงส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดให้ได้ยิน
เฉียวเวยเวยกลั้นใจปีนขึ้นไปถึงชั้นสาม
ห้องตรงกลางบนชั้นสามมีรูปภาพของสตรีนางหนึ่งแขวนอยู่ สตรีนางนั้นสวมเสื้อเสื้อคลุมที่ด้านนอกเป็นสีดำ ด้านในเป็นสีแดง ในภาพคล้ายมีลมอ่อนๆ พัดผ่าน พาให้มุมเสื้อคลุมม้วนขึ้นเล็กน้อย สีแดงสดด้านในเสื้อคลุมจึงเผยออกมาให้เห็น คล้ายเป็นสีเลือดสดที่เปรอะเลอะท้องฟ้ายามราตรีที่ดำมืด
นี่เป็นภาพด้านหลังของสตรีนางนั้น นางกำลังหันหน้ามาเล็กน้อย ซึ่งทำให้เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างที่ดูไม่ชัดเจนนัก
เฉียวเวยเวยเหยียบเก้าอี้ปีนขึ้นโต๊ะ ยืนอยู่บนโต๊ะแล้วสัมผัสภาพนั้น
จากนั้นนางเอาริมฝีปากแดงฉ่ำของนางยื่นเข้าไป จุมพิตลงบนใบหน้าของสตรีนางนั้น