คืนนั้น ผมแก้ไขแผนที่เตรียมเอาไว้ใน การซื้อไลท์โนเวลคงต้องเปลี่ยนมันเล็กน้อยหลังจากรู้ว่าในห้องชมรมวรรณกรรมนั้นยังมีหนังสือที่ผมอยากอ่านอีกเพียบ เออใช่แล้วก็เรื่องของ ยานามิ
ผมเอนตัวลงบนเก้าอี้ขณะ คำนวณเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋าเงินและคำนวณค่าอาหารกลางวันในสัปดารห์หน้า
ผมสามารถเซฟค่าอาหารไว้ได้ เงินในส่วนนี้น่าจะกันไว้สำหรับนิยายซีรีย์ใหม่
ที่ผมยังไม่ได้ซื้อมันมา
“อันดับแรก อยากได้<ชอบพี่สาวที่เก่งต่อสู้ระยะประชิดไหม คะ?>ก่อนเพราะ อนิเมะทำออกมาน่าสนใจ”
แต่เดียวก่อนน่ะ <รุ่นพี่อกกระดาน> ทั้งแบบนิยายและมังงะก็ใกล้ออกแล้วนิผมคงต้องเซฟเงินไว้เพื่อซื้อมันด้วย
ผมถูมือไปมาด้วยความโลภ หลังจากปรับแก้รายการของที่อยากได้
“ท่านพี่ลืม <เธอคือ innocent queen of darkness>ได้ไงค่ะ? ตัวละครที่หนูชอบกำลังเข้าด้านมืด ในช่วงเล่ม5เลยน่ะ ท่านพี่อย่าลืมซื้อให้หนูด้วยน่ะ”
“คาจู ทำไมถึงมาอยู่ที่ห้องของพี่”
“ก็ท่านพี่ไม่สนใจหนูเลยแถมหนูก็อยู่ที่นี่ตั้งแต่ท่านพี่เดินเข้ามาแล้วด้วย”
คนที่พูดคำพูด อันตรายๆอยู่นั้นคือ คาจูน้องสาวของผมเธอเด็กกว่าผม2ปี ถ้าดูจากรูปร่างของเธอด้วยoni-chan filter แล้วล่ะก็ เธอนั้นเป็นสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดเธอก็เพิ่งจะเข้าสภานักเรียนไปเมื่อไม่นานมานี้เอง นี้พวกเราใช่สายเลือดเดียวกันใช่ไหมเนี้ย
“แต่พี่ต้องการ <รุ่นพี่หน้าอกแบน> มากกว่า”
“เรื่องนั้นหนูก็ว่าน่าสนใจน่ะคะ, แต่ว่ามันลามกมากไปหน่อยเพราะงั้นไม่ได้คะ มันจะทำให้ท่านพี่เสียคนได้”
“ทำไมถึงถึงรู้ได้ล่ะว่ามันลามก?”
“คาจูเคยอ่านมันจาก เพื่อนของหนูค่ะ มันลามกมากเลย”
นั้นฟังดูน่าสนใจดีนิ ให้ท่านพี่คนนี้ยืมต่อหน่อยได้ไหม
ในเวลาที่ผมกำลังบ่น ปากของผมก็ได้ถูกอุดไปด้วยคุกกี้ รสชาติดีเหะอันนี้
หลังจากนั้นก็จะมีชาเย็นๆมาส่งที่ทางเข้าปากของผม ด้วย เน้..เดียวนี้ดูแลกันเป็นผู้ป่วยติดเตียงกันแล้วหรอ
“พี่ดื่มเองได้น่า”
“ท่านพี่ค่ะ ท่านพี่หาเพื่อนที่โรงเรียนได้รึยังคะ”
“…เอ่อ ยังไม่ได้เลย…”
“หนูน่ะ เป็นห่วงน่ะเพราะท่านพี่ก็เป็นนักเรียนม.ปลายแล้วแต่คาจูก็ยังจะต้องสัมผัสได้ถึงความไร้เพื่อนของท่านพี่จนกว่าท่านพี่จะเรียนจบจริงหรอคะ”
ความไว้เนื้อเชื่อใจในสายตาของน้องสาวนี้แทบจะไม่มีแล้วสิน่ะเนี้ย
“วันนี้เป็นอย่างไงบ้างคะ วันนี้นอกจากอาจารย์คนอื่นแล้วได้คุยไปบ้างไหมคะ?”
…ว่าแต่ว่าวันนี้เราได้คุยกับคนอื่นไปกี่คนกัน? ยานามิ โคมาริ รุ่นพี่สึกิโนกิที่เป็นรองประธาน และชิกิยะซังจากสภานักเรียน
“4น่ะ เท่าที่จำได้”
“….4?”
ดวงตาของคาจูโตขึ้นด้วยความประหลาดใจ เห็นไหมท่านพี่ของคุณถ้าเอาจริงก็ทำได้น่า ก็อีแค่เรื่อง-
“ท่านพี่คะ การไม่มีเพื่อนไม่ใช่เรื่องน่าอายน่ะคะ”
“แต่นี่..ไม่เชื่อใจกันเลยหรอ”
“ถึงอย่างงั้น..หนูไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านพี่จะโกหกน้องสาวสุดที่รักได้ลงคอ มันทำให้หนูโมโหนะ”
“ฮะ? พี่ไม่ได้โกหกสักหน่อย”
คำพูดของฉันมันไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยหรอ?
“อีกอย่างทางคาจูก็รู้สึกแย่เหมือนกันที่ต้องบังคับให้ท่านพี่ต้องโกหกเพื่อคาจู”
คาจูน้ำตาไหล ขณะที่ป้อนคุกกี้ให้ฉัน
“พี่บอกแล้วไง พี่กินเองได้น่า”
“ผ่อนคลายเถอะค่ะ ท่านพี่ไม่ต้องห่วง หนูจะหาเพื่อนให้ท่านพี่เอง”
คาจูเช็ดน้ำตาของเธอเองพร้อมกับกอดหัวของผมเอาไว้แน่น แบบนี้มันร้อนน่ะ
pic
คาจู นุคุมิซึ เป็นบราค่อนหรือแค่วิตกกังวลมากจนเกินไปกันแน่? แต่ยังไงก็ตามที่ทำไปแบบนั้นเป็นเพราะทางน้องก็แค่เป็นห่วงผมก็เท่านั้น
แต่การที่ไม่มีเพื่อนมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายจริงๆหรอ? ตามปกติผมก็รู้สึกชินไปกับอะไรแบบนี้แล้วน่ะ เช่น ไม่มีใครบอกผมเกี่ยวกับวันหยุดที่เปลี่ยนไป หรือบางครั้งก็ถูกคนอื่นลืมบ้างนะ
ผมถอนหายใจกับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นขณะที่จิบชาไปด้วย
<หนี้คงเหลือวันนี้ 3,617เยน (ประมาณ845บาท)>
*
ในช่วงพักกลางวัน ผมขึ้นมาที่บันไดฉุกเฉินเพื่อที่จะเอาเบนโตะที่ได้รับปากไว้ และนี้ก็คือสิ่งที่ยานามิพูดครั้งแรกเมื่อเธอเห็นผม
“ไม่คิดว่านายใจร้ายไปหน่อยหรอ?”
เดี่ยวๆ หมายความว่าไงอย่าบอกน่ะว่าเรื่อง จำพวกนั้นอีกแล้วน่ะ?
“หมายถึงเรื่องอะไรหรอ?”
“หมายถึงเรื่องที่เมื่อวานที่ฉันขอร้องให้นายช่วยฉันจำได้ไหม? ฉันโดนทารุณในห้องคาราโอเกะนั้นเลยน่ะ นายรู้ไหม”
แล้วทำไมยานามิต้องมานั่งข้างผมด้วยล่ะเนี้ย? ผมก็แค่อยากนั่งชิวๆคนเดียว
“แล้วผมจะทำช่วยอะไรได้ ล่ะเนี้ย?”
“สาวน้อยเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความเข้าอกเข้าใจน่ะ เพราะงั้นลองคิดถึงความรู้สึกของฉันที่ต้องทนฟังสองคนนั้น ร้องเพลงFrozenดูสิ”
เพลงFrozen หรออะไรล่ะนั้น?
“ใช่ ช่วงปล่อยมันไปอย่างที่เป็น ใช่ไหม”
น่าจะไม่ถูก
“ไม่ใช่ มันเป็นท่อนของแอนที่ร้องเพลงกับเจ้าชายน่ะ จังหวะท่อนสุดท้ายมันหลอนหูชั้นมากเลยล่ะ” ***อยากเก็ทฟิลนี่ครับเพลง (รักมาเปิดโลกสดใส เหม็นความรัก)
อ้าอันนั้นผมจำได้ บทของเจ้าชายคือ-
“ขอพูดอะไรบ้าๆหน่อยได้ไหม แต่งงานกับชั้นหน่อยได้ไหม”
“แล้วแอนนาก็พูดออกมาว่า ชั้นขอพูดอะไรที่บ้ากว่าได้ไหม “ได้เลย” อ่าาา”
ยานามิพูดในขณะที่เธอเอามือโอบรอบศีรษะ เอาน่าก็แค่เปิดประตูลงสู่นรกเองน่า
“มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ยัยนั้นกำลังบอกให้ฉันยอมแพ้ ยัยแม่มดน้ำแข็งนั้น…”
“ มันก็แค่การเดท กันธรรมดาเองอย่าใส่ใจเลย ว่าแต่ว่าเบนโตะของผมอยู่ที่ไหน”
ผมจะเข้าประเด็นหลักที่มาวันนี้ แน่นอนว่าผมไม่ปฎิเสธว่าผมตื่นเต้นที่ได้รับเบนโตะ จากยานามิ เบนโตะ ที่เพื่อนร่วมชั้นทำมาให้ แถมยังเป็นผู้หญิงด้วย มันค่อนข้างพิเศษ-
“ได้ๆ…เชิญตามสบายเลยน่ะ”
เธอหยิบกล่องเบนโตะ ที่ห่อด้วยกระดาษสีรุ้งออกมา พร้อมเศษป้าย “น่องไก่98เยน” แถมยังมีเศษใบปลิวติดไว้อีกด้วย แสดงว่านี้เธอเพิ่งเกาะเอาใบปลิวออกมาใช่ไหม? ผมเคยเห็นมาจากบ้านคุณยายครั้งหนึ่ง
“ผมขอถามได้ไหม ไอ้นี้น่ะมันคืออะไร”
“ เบนโตะของฉันกับของนุคุมิซึคุงไง ฉันทำมันเมื่อเช้า”
“อันนั้นน่ะ ผมเข้าใจ แต่ทำไมมันถึงออกมาเป็นอะไรแบบนี้ได้ล่ะ?”
“ตอนฉันกำลังหยิบกล่องเบนโตะออกมาสองกล่อง แม่ฉันก็ทักว่า ‘โซสึเกะคุงจะต้องมีความสุขมากแน่ๆเลย’…”
… หยุดเลยน่ะ น้ำตาผมจะไหลออกมาแล้ว อย่าโยนคีย์เวิร์ด อย่าง “แม่ของฉัน” เชียวน่ะ
ผมรีบอยู่เงียบๆ และเปิดกล่องขึ้นมา ในนั้นมีแซนวิทที่ถูกพันด้วยพลาสติกอย่างดี
“นี้มันของจากร้านสะดวกนิ?”
“เน้ ได้ฟังกันไหมเนี้ย? ฉันบอกแล้วไงว่าฉันเตรียมเบนโตะสำหรับ2คนไม่ได้น่ะ”
เอาจริงดินี้มันเบนโตะ ทำมือจริงๆ ใช่ไหมคงใช่เหละ? ถึงแม้แพ็คเกจมันจะเป็นของทำมือก็ตาม
“นุคุมิซึคุง อันนี้ราคาเท่าไรดี”
“นั้นสิน่ะงั้น268 เยน”
“มันไม่ถูกไปหน่อยหรอ”
สาวน้อย ป้ายราคามันยังแปะอยู่ตรงนั้นอยู่เลยน่ะ หลังจากนั้นยานามิก็มอบไข่ม้วนจากเบตโตะของเธอมาให้ผม
“…ได้เป็น300เยนแล้ว”
หลังจากที่ยานามิได้ยิน เธอก็พยายามยื่นคาราเกะให้ผม ผมเลยหยิบเบนโตะหนีไปทันที
“ลืมเรื่องนั้นไปเลย ผมคงต้องเว้นระยะห่างแล้วสิ ใช่ไหม? คุณยานามิก็มีเพื่อนเยอะซ่ะด้วยสิ?”
คำว่า “หลอกลวง” แวบขึ้นมาในหัวของผม ผมเอาไข่ม้วนเข้าปาก แม้มันจะไหม้บ้างเล็กน้อยแต่รสชาติก็ยังดีอย่างน่าประหลาดใจดูเหมือนว่าไข่ม้วนของยานามิ นั้นจะเน้นไปทางหวาน
“ทุกคนชอบเป็นห่วงฉันเวลาอยู่ในห้องเรียนน่ะ”
ยานามิคลี่ไข่ม้วนของเธออย่างเศร้าๆ
“จำได้ไหมปกติโชสึเกะมักจะตัวติดกับฉันเสมอเลย แต่ตั้งแต่คาเรนจังย้ายเข้ามา มันก็จะมีอะไรแบบ ‘เดี่ยวน่ะคุณยานามิโดนทิ้งเหรอ?’ ประมาณนั้น”
“….ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยน่ะเนี้ย”
ผมพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็มีคาราอาเกะชิ้นหนึ่งปรากฎขึ้นในกล่องเบนโตะของผม
“เพิ่มคาราเกะไปอีกชิ้นได้เท่าไรหรอ?”
“…350เยน”
ยัยนี้ ผมมันโง่จริงๆที่สงสารเธอ
“พอคิดดูแล้ว หลังเลิกเรียนนุคุมิสึคุงไปไหนมาหรอ ฉันไม่เห็นที่ชั้นวางรองเท้าเลย”
“นี้จับตามองกันอยู่หรอ”
“มันยากน่ะที่จะไม่สังเกตุเห็นหรือเมินเธอ เวลาที่เธอไปเอารองเท้าที่ชั้นวางอยู่คนเดียวน่ะ”
…what? แค่นี้ต้องพูดแทงใจดำกันขนาดนี้เลยหรอ เจ็บเป็นน่ะ?
ก็น่ะที่ไม่เห็นเพราะผมจบการศึกษาจาก ชมรมกลับบ้านแล้ว ผมเคี้ยวแซนวิชด้วยหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย
“ตอนนี้ผมอยู่ในชมรมวรรณกรรมแล้ว พวกเค้าอยากให้ผมไปอยู่ที่นั้นสักพักนะ”
“อย่างงี้นี้เอง ไม่รู้เลยน่ะเนี้ยว่านุคุมิสึคุงสนใจอะไรแบบนั้นด้วย”
ยานามิเพลิดเพลินไปกับไส้กรอกปลาหมึกของเธอ
“ฉันน่าจะเข้าชมรมนั้นได้น่ะ ฉันขอเข้าชมรมด้วยคนสิ”
“ก็ไม่มีปัญหาน่ะ คุณยานามิสนใจในชมรมนี้ด้วยหรอ?”
“ใช่ ดอกไม้มันน่าสนใจออก”
“…อันนั้นมันชมรมทำสวน ผมอยู่ชมรมวรรณกรรม”
ผมเข้าใจแล้วล่ะทำไม ยัยนี้ถึงถูกทิ้ง แม้กระทั้งตอนนี้ข้าวยังติดแก้มเธอยู่เลย
*
และแล้ววันนี้ก็จบลง
ผมอยากออกจากห้องเรียนให้เร็วที่สุดแต่มันก็เป็นไปไม่ได้ นี่คือคำแนะนำจาก “นักสังเกตุการ์ณ”ในห้องเรียน
ในช่วงเวลานี้ควรจำเป็นที่จะต้องรอที่สุด มันคือช่วงเวลาที่กลุ่มคนมักจะมาออกันอยู่ที่หน้าประตูห้อง ถือว่าตรงจุดนั้นคือพื้นที่อันตรายมาก
เรามาเริ่มจากประตูของห้องเรียนกันดีกว่า เพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นักเฝ้าประตู จึงต้องปกป้องประตูห้องเอาไว้ พวกเขาจะไม่หลีกทางให้แม้แต่น้อยจนกว่าตัวประกอบอย่างผมจะเดินเข้าไป
แน่นอน เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณจ้องมองไปยังตัวประกอบตัวประกอบก็จะจ้องมองกลับด้วยเช่นกัน หากต้องการที่จะอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้วล่ะก็ต้องยอมรับการมีอยู่ของตัวประกอบด้วยเช่นกัน
ผมสังเกตุการเพื่อนร่วมชั้นขณะที่ผมค่อยๆ เก็บของบนโต๊ะ
คนที่เฝ้าหน้าประตูกำลังที่จะค่อยถยอยกันออกไป
แต่ในจุดนี้อย่าเพิ่งลดความระมัดระวังลง คนกลุ่มนั้นที่เฝ้าหน้าประตูแค่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น และในจุดนั้นก็คือชั้นวางรองเท้า ผู้คนที่รอคนอื่นหรือคนที่ไม่ต้องการบอกลากันมักจะรวมตัวกันอยู่ที่จุดนั้น
สถาณการ์ณที่เลวร้ายที่สุดคือการที่พวกเขาเริ่มที่จะคุยกันที่ขั้นวางร้องเท้าของผมตอนนี้ก็เดือนกรกฎาคมแล้ว รูปประโยคเลี่ยงอย่าง “ชั้นวางรองเท้าอยู่ตรงไหนกันน่ะ” จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป
…เดี่ยวน่ะ ผมลืมคิดไปเลยผมยังรีบกลับไม่ได้ ผมต้องโผล่ไปที่ห้องชมรมก่อน
ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาห้องเรียนแล้วเดินปรีเข้ามาหาผม
“เฮ้ นุคุมิสึคุง ผมได้ยินมาว่านายเข้าชมรมวรรณกรรมแล้วหรอ”
“เอ่อ”
ชายที่คุยกับผมมาจาก ห้อง1D มิซึกิ อายาโนะ เรามาจากม.ต้นที่เดียวกัน เขาเป็นเพื่อนของผ-ไม่ใช่ ผมคิดว่าไม่น่าใช่ พวกเราแค่คุยกันบ้างในบ้างโอกาศเพราะเราดันเรียนกวดวิชาที่เดียวกันเท่านั้น
ถึงพวกเราจะเรียนกวดวิชาที่เดียวกันแต่เกรดของเจ้าหมอนี่ดันดีกว่าผม และเค้ายังสวมแว่นตาด้วย
“อืม ผมอยู่ที่ชมรมวรรณกรรมแล้วน่ะ”
“ผมได้ยินจากอาจารย์ว่าพวกเขามีซี่รี่ยของอาจารย์ kobo abe ด้วยครั้งหน้าเป็นไปได้ขอไปยืมอ่านหน่อยได้ไหม”
โอ้ ชมรมเรามีหนังสืออะไรแบบนั้นด้วยหรอ? แต่ยังไงทางนี้ก็สนใจแต่ไลท์โนเวลอยู่ดี
“นั้นสิน่ะเดี่ยว ขอถามพวกรุ่นพี่ก่อน”
“ขอบใจมากเลยน่ะ”
อายาโนะยิ้มอย่างสบายใจให้กับผมขณะที่เขาตบไหล่ของผมก่อนที่จะเดินจากไป
ในช่วงเวลานั้น มีร่างผิวข้าวสาลีเข้ามาในสายตาของผม
คนที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าผมคือตัวของ เรมง ยากิชิโอะ (นกเบอร์3) เธอวางมือผิวสีแทนสุภาพดีของเธอลงบนโต๊ะ
“รอก่อนสิ มิซึกิ!”
ยากิชิโอะโน้มตัวไปข้างหน้าไปทางอายาโนะ ส่วนผสมของโรออนและเหงื่อผสมกันลอยโชยมา
…ใกล้ไปแล้ว แถมยังบังกันอีก
“คือว่าวันนี้ฉันไม่มีกิจกรรมชมรม ไปหาอะไรกินกันหน่อยไหม?”
“ขอโทษน่ะ พอดีวันนี้ผมมีเรียนกวดวิชาน่ะ”
อายาโนะยกมือพนมแล้วขอโทษ
“เอ้ ตอนนี้ยังไงพวกเราก็เป็นแค่ปี1ไม่ใช่เหรอ? ถ้าสนใจแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวจะเป็นบ้าเอาน่ะ”
“เธอต่างหากที่ต้องตั้งใจเรียนซ่ะบ้างน่ะ ไม่อย่างงั้นจะซ้ำชั้นเอาน่ะรู้ไหม”
…เจ้าพวกคนธรรมดานี้(เรจู) หยุดจีบข้ามหัวกันไปมาได้ไหม?
“คุณมิซึกิคะ เราจะไปโรงเรียนกวดวิชาสายเอานะถ้าไม่รีบไปตอนนี้ล่ะก็!”
จู่ๆ เด็กสาวร่างผอมก็ปรากฎตัวขึ้นข้างประตูห้องเรียน
อืม ผมจำได้ว่าเธอคือคนที่มักจะตัวติดกับอายาโนะเสมอตอนอยู่ในกวดวิชา เธอน่ารักและมีผลการเรียนที่ดีด้วย เธอค่อนข้างมีชื่อเสียงในโรงเรียนกวดวิชา จำไม่เห็นได้ว่าพวกเราอยู่โรงเรียนเดียวกันด้วย
“มาแล้วๆ ฉันจะไปแล้ว จิฮายะ โทษทีน่ะ เรม่อน รอบหน้าน่ะ”
“เอ๊ะ…โอเค บ๊าย-บ๊าย”
ยากิชิโอะไม่ได้ปิดปังความผิดหวังของเธอเลย เธอโบกมือของเธออย่างไม่มีชีวิตชีวา
ผมอยากกระโดด ออกไปจากทีนี้ให้เร็วที่สุด เพราะผมสัมผัสได้เลยเรื่องยุ่งยากกำลังเข้ามา
แต่ก็เพราะยากิชิโอะขวางไม่ให้ผมเอากระเป๋านักเรียนอยู่เลยไปไหนไม่ได้
“เอ้ ขอโทษน่ะ คุณยากิชิโอะ กระเป๋าน่ะกระเป๋า”
“นี้ นุคุมิสึคุงกับมิซึกิเป็นเพื่อนกันหรอ? ถึงจะอยู่กันคนล่ะห้องหรอ”
ยากิชิโอะกระพริบตาของเธอ ขนตาของเธอยาวมาก เธอมองมาที่ผมด้วยสายตาที่ไม่เชื่ออะไรบางอย่าง.
S แห่งชมรมกรีฑาเรมง ยากิชิโอะ เธอเป็นดาวเด่นในชั้นเรียน
ผมสั่น หุ่นผอมเพียวใต้ชุดเครื่องแบบ ผิวสีแทนสวยงาม ผมสับสนอยู่ครู่หนึ่งกับคำถาม แต่ในเวลาถัดมาผมก็สามารถค่มใจลงและตอบเธอกลับไป
“ไม่ใช่เพื่อนกันหรอกครับ ที่โรงเรียนกวดวิชาก็แค่คุยด้วยกันบ้างในบ้างครั้งในเองครับ”
แต่ดวงตาของยากิชิโอะ เปล่งประกายขึ้นมาในทันที
“ทั้งคู่อยู่โรงเรียนกวดวิชาที่เดียวกันหรอ!? งั้นก็รู้จักผู้หญิงคนนั้นเหมือนกันใช่ไหม!?”
“อึก เธอคนนั้นคือคุณอาซากุโมะ เธอเป็นหัวกระทิคู่ไปกับอายาโนะพวกเค้ามีเกรดที่ดีมาก”
“ง งั้นหรอ นั้นสิ สุดท้ายแล้วมิทซึกิก็ชอบผู้หญิงฉลาดสิน่ะ”
โอ้ววว? อย่าบอกน่ะว่า ยากิชิโอะก็เป็นไอ้นั้นด้วยน่ะ……
“เป็นเพราะทั้งคู่อยู่ในโรงเรียนกวดวิชาที่เดียวกัน บ้างครั้งพวกเค้าเลยตัวติดกันนะ ผมรู้สึกได้เลยว่าพวกเป็นเพื่อนกัน”
“เนอะ! ก็แค่เพื่อนกันเนอะ!”
ยากิชิโอะแสดงรอยยิ้มสดใสออกมา
เฮ้ ผมยังไม่รู้ลึกถึงขั้นว่าพวกเขามักจะไปทำอะไรกันหลังสอบน่ะ โอเค๊?
“เอ่อ ผมจะเอากระเป๋านักเรียนน่ะ”
“อา ขอโทษนะ นุคุมิสึคุง เอาหล่ะ ฉันต้องไปชาร์จกำลังใจตัวเองด้วยการวิ่งแล้ว”
ยากิชิโอะเริ่มยืดตัวทันที ขาสีแทนของเธอนั้นช่างมีเสน่ห์
ผมมองดูเธอจากไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น ขณะยืนขึ้นพร้อมกับกระเป๋านักเรียน
ดูเหมือนมีจะมีผมแค่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนั้น สิน่ะ ผมคิดว่าละครเรื่องนี้น่าจะเล่นมานานแล้ว
…อ่า น่ารำคาญ ผมขอใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ไหม?
“คุยกันเสร็จแล้วหรอ ป็อปปูล่า-คุง?”
ใช่แล้ว ยังมีผู้หญิงน่ารำคาญอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง ยานามิยืนอยู่ข้างหลังผมพร้อมกับกระเป๋านักเรียนของเธอ
“เอ๊ะ คุณยานามิมีอะไรให้ผมช่วยหรอ?”
ยากิชิโอะ แล้วก็ยานามิใช่ไหม ผมไม่อยากเชื่อเลยว่า ตอนนี้มีสาวๆดาวเด่นเข้าแถวเพื่อที่จะรอพบผมกันหมด พวกเธอต้องการอะไรกันแน่? อย่าบอกน่ะคราวนี้เธอเงินไม่หมดอีกแล้วน่ะ
ผมเริ่มระแวงแล้ว แต่ยานามิก็ยิ้มตอบกลับมา
“นายจะไปชมรมไม่ใช่หรอ? ไม่ใช่ว่าสัญญาจะพาฉันไปด้วยนิ?”
ยัยนี้เอาจริงดิ? ชมรมวรรณกรรมกับ ยานามิ อันนะ- ผมล่ะนึกภาพนั้นแทบไม่ออกเลยว่ามันจะเป็นยังไง แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อเธอขอมาแล้ว
ผมพยักหน้าให้เธอเงียบๆ