บทที่ 429 ตัวตนถูกเปิดเผย
ไม่มีใครหาหน่วยลาดตระเวนของมนุษย์หมาป่าพบ
ศพของพวกมันถูกโยนทิ้งลงไปจากภูเขา ประเมินได้ว่าคงถูกสัตว์ร้ายกัดกินไปหมดแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม หวงเซิงต้องการใช้โอกาสนี้แสดงความมุ่งมั่นให้ทุกคนได้เห็น
มันนำลูกน้องตรงไปยังที่พักของเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่า
ตัวแทนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดของมนุษย์หมาป่าตายไปแล้ว มนุษย์หมาป่าระดับหัวหน้าที่เหลืออยู่ คือตัวที่มีขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ตัวเดียวเท่านั้น
“เจ้าพวกมนุษย์หมาป่า ถ้าวันนี้พวกแกไม่สามารถมอบเหตุผลที่ฉันพอใจได้ ฉันจะฆ่าพวกแกไม่ให้เหลือ”
หวงเซิงประกาศกร้าว
บรรดามนุษย์หมาป่าโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ตัวแทนของพวกมันโดนฆ่าตาย ตอนนี้กลับยังโดนกดดันหนักอย่างต่อเนื่อง
“พังพอนปีศาจ พวกแกเหิมเกริมมากเกินไปแล้วนะ”
เปรี้ยง!
หวงเซิงแผ่รังสีอำมหิต ซัดพลังลมปราณใส่มนุษย์หมาป่าที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 8
มนุษย์หมาป่ากระเด็นออกไปไกล ความแข็งแกร่งของพวกมันแตกต่างกันมากเกินไป
“จงฟังให้ชัดเจน ตอนนี้แกมีหน้าที่ตอบคำถามของฉัน ฉันไม่ได้มีหน้าที่มาฟังคำถามของแก”
ค่งหยิงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูค่งเถิงเฟยว่า “พังพอนปีศาจเป็นคนฆ่าพวกเราจริง ๆ นะเจ้าคะ”
ค่งเถิงเฟยส่ายศีรษะและทำท่าทางให้เธอเงียบ
บัดนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป ต่อให้พวกพังพอนปีศาจเป็นฆาตกรตัวจริง ฝ่ายมนุษย์หมาป่าก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ขืนพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าออกไปในตอนนี้ พวกพังพอนปีศาจคงไม่มีทางยอมรับความผิด เว้นเสียแต่ว่าจะหาหน่วยลาดตระเวนของมนุษย์หมาป่าเจอเท่านั้น
แต่ไม่เหลือร่องรอยของกลุ่มมนุษย์หมาป่าอยู่ในลานหินเลย ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าคงไม่มีใครพบเจอพวกมันอีกต่อไป
“ทุกคนฟังทางนี้ พวกพังพอนปีศาจได้ใจมากเกินไปแล้ว ขอเชิญผู้อาวุโสจากสำนักอื่นๆ ทุกท่านเข้ามาช่วยเหลือพวกเรามนุษย์หมาป่าด้วย” มนุษย์หมาป่าขั้นจักรพรรดิระดับ 8 พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด
แต่ถึงตอนนี้ อย่าว่าแต่เผ่าพันธุ์อื่นจะกล้าพูดอะไร ขนาดคนของสำนักมังกรดำที่เป็นมิตรสหายกับเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่ามาตลอด ก็ยังปิดปากเงียบ
มนุษย์หมาป่าตัวนั้นจึงได้แต่ร่ำร้องออกมาด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวดใจ
“ไอ้พวกพังพอนโสโครก ตอนแรกแกฆ่าตัวแทนของพวกฉัน ตอนนี้ก็ยังมาข่มเหงฉันอีก ฉันจะฟ้องคุณหวูให้ตัดสินความยุติธรรม”
หวงเซิงหัวเราะเยาะด้วยความเหยียดหยาม ก่อนพูด “ต่อให้คุณหวูอยู่ที่นี่ มันก็เปลี่ยนความจริงที่พวกแกเป็นฝ่ายรังแกเราก่อนไม่ได้หรอก”
“ทุกคนกรุณามารวมตัวกันที่ห้องโถงใหญ่”
น้ำเสียงที่สงบสุขุมเสียงหนึ่งดังขึ้น แต่กลับทำให้สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไปแล้ว
นี่คือคำสั่งจากหวูเค่อจิน
ตัวแทนจากสำนักต่างๆ รีบรุดไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที
“คุณหวู”
ทุกคนตรงเข้าไปประสานมือทำความเคารพหวูเค่อจินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยความนอบน้อม
“คุณหวูครับ ได้โปรดมอบความยุติธรรมให้พวกเรามนุษย์หมาป่าด้วย พวกพังพอนปีศาจละเมิดกฎของคุณ เข่นฆ่าตัวแทนของสำนักเรา นับเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด”
มนุษย์หมาป่าขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ร่ำร้องออกมาทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง
“ฉันรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว” หวูเค่อจินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หวงเซิงกําหมัดแน่น พูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพว่า “คุณหวูครับ เป็นพวกมนุษย์หมาป่านั่นแหละที่รังแกผู้อื่นมากเกินไป พวกมันมาหาเรื่องพวกเราก่อนนะครับ”
หวูเค่อจินยังคงมีท่าทีเยือกเย็น แต่สังเกตจากสีหน้าก็รู้ว่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย มันโบกมือให้ทุกคนนั่งลง
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่แล้ว หวูเค่อจินก็กวาดสายตามองรอบกาย
“เหล่าสือของเผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจอยู่ที่ไหน?”
“เหล่าสือของเราได้รับบาดเจ็บครับคุณหวู ผมบอกให้เขากลับไปพักรักษาตัว” หวงเซิงเป็นคนให้คำตอบ
หวูเค่อจินพยักหน้า
“เหตุการณ์มันเกิดขึ้นไปแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญสุดคือการจัดการจอมมารฉู่ชวิ๋น เรื่องนี้เราสามารถพักเอาไว้ก่อนชั่วคราว รอให้พบเจอตัวของหน่วยลาดตระเวนมนุษย์หมาป่าเสียก่อน แล้วฉันจะเรียกทุกคนมาไต่สวนคดีใหม่อีกครั้ง”
บรรดาตัวแทนจากสำนักต่าง ๆ มีสีหน้าแตกต่างกันไป หวูเค่อจินจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปหรือนี่
แต่มันก็เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ไม่ยาก ตัวแทนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่าตายไปแล้ว มีแต่ผู้อยู่รอดเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์พูด
เผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจได้พิสูจน์แล้วว่าพวกมันมีฝีมือแข็งแกร่งขนาดไหน
ขณะนี้เป็นเวลาใช้งานคน หวูเค่อจินไม่มีทางมีปัญหากับกลุ่มพังพอนปีศาจเด็ดขาด
“คุณหวูมีวิสัยทัศน์กว้างไกลยิ่งนัก เมื่อพวกเราเจอตัวหน่วยลาดตระเวนของมนุษย์หมาป่า คำตอบทุกอย่างก็จะออกมาเอง” หวงเซิงพูดพร้อมกับประสานมือ
เผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจลงมือสังหารคนของสำนักมนุษย์หมาป่า พวกมันอาศัยจังหวะนี้ยกระดับตัวเองขึ้นมา ซ้ำหวูเค่อจินยังไม่เอาความ หวงเซิงไม่มีทางหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองอีกอย่างแน่นอน
หวงเซิงฉลาดไม่น้อย แต่พวกมนุษย์หมาป่าก็ไม่ใช่ตัวโง่งม
“คุณหวู ตัวแทนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดของพวกเราถูกฆ่าตายไปแล้ว เรื่องนี้คุณจะตัดสินโทษอย่างไร?” มนุษย์หมาป่าขั้นจักรพรรดิระดับ 8 ถาม
หวูเค่อจินหรี่ตาลง ดวงตาของเขาส่อแววรำคาญใจเล็กน้อย
“ก็อย่างที่บอก รอให้เจอตัวหน่วยลาดตระเวนของพวกนายก่อน หลังจากนั้น ฉันจะสอบปากคำพวกเขาเอง”
“แต่พวกพังพอนโสโครกพวกนี้มันฆ่าตัวแทนของเรา ต่อให้เราพบเจอหน่วยลาดตระเวนและสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันจะทำให้ตัวแทนของเราฟื้นชีวิตขึ้นมาได้หรือ?”
สีหน้าของหวูเค่อจินเคร่งเครียดมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว มันเป็นสีหน้าที่ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย
หวงเซิงรอคอยโอกาสนี้อยู่ก่อนแล้ว มันลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “ไสหัวไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของมนุษย์หมาป่า แกกล้าทำตัวอวดดีได้อย่างไร”
“หวงเซิง อย่าเพิ่งได้ใจให้มากเกินไปนัก รอให้เจ้าสำนักของเราตื่นจากการจำศีลเสียก่อนเถอะ เรื่องยังไม่จบแค่นี้หรอก” มนุษย์หมาป่าขั้นจักรพรรดิระดับ 8 คำรามด้วยความโกรธแค้น
ดวงตาของหวงเซิงเป็นประกายแวววาวด้วยความขบขัน “นี่แกกำลังข่มขู่ฉัน?”
“ข่มขู่แกแล้วทำไม? ใครใช้ให้แกมาฆ่าตัวแทนของพวกฉันล่ะ? รอให้เจ้าสำนักตื่นจากการจำศีลเสียก่อนเถอะ พังพอนโสโครกอย่างพวกแกมีแต่ต้องรอคอยความตายเท่านั้น” พูดจบ มนุษย์หมาป่าก็เดินฟึดฟัดออกไปจากห้องโถงใหญ่
หวูเค่อจินยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด
หวงเซิงมีแววตาเป็นประกายตื่นเต้น
ตัวแทนจากสำนักต่างๆ ที่เหลืออยู่ภายในห้องรู้ดีว่าหวูเค่อจินกำลังบันดาลโทสะ
“ตอนนี้ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันก่อน อีกไม่นานเดี๋ยวก็ถึงกำหนดการต่อสู้แล้ว”
หลังจากนั้น ทุกคนก็ร่ำลากันและแยกย้ายกลับที่พักของตนเอง
……
……
หวงเซิงกลับมายังที่พักของเผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจ
มันตรงไปยังห้องพักของ “เหล่าสือ” ตัวจริง
มีเวรยามอารักขาอยู่หน้าห้อง
หวงเซิงเดินเข้าไปที่ลานหน้าห้องพัก เวรยามเหล่านั้นหันมาทำความเคารพ
หลังจากไล่ให้เวรยามไปพักผ่อน หวงเซิงก็ยกมือเคาะประตูห้อง
“เข้ามาได้”
หวงเซิงเปิดประตูและก้าวเท้าเข้าไปในห้อง
จึงได้เห็นฉู่ชวิ๋นกำลังนั่งโคจรพลังเยียวยาอาการบาดเจ็บอยู่บนเตียง
“เหล่าสือ เป็นยังไงบ้าง?”
ฉู่ชวิ๋นลืมตาขึ้นมาและส่ายศีรษะ “ข้าน้อยไม่เป็นไร”
“บอกความจริงมา เจ้าเป็นคนฆ่าพวกมนุษย์นกยูงใช่ไหม?” หวงเซิงถามในขณะที่จ้องหน้าฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า
หวงเซิงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ก่อนพูดออกมาด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไมทำอะไรไม่คิดซะบ้าง”
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาด้วยความโกรธแค้น “ข้าน้อยทนให้ผู้อื่นดูถูกเผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะไอ้พวกมนุษย์นกยูง พวกมันหยิ่งยโสจนน่าหมั่นไส้นัก”
“นี่…” หวงเซิงยังคงไม่พอใจ แต่เพียงพริบตาเดียวก็ระเบิดเสียงหัวเราะร่วน “ช่างมันเถอะ ถือว่าคราวนี้เป็นการสอนบทเรียนให้พวกเผ่าพันธุ์อื่นๆ ได้รู้ก็แล้วกันว่า พวกเราพังพอนปีศาจไม่ใช่คนที่จะยอมถูกรังแกได้ง่ายๆ”
ฉู่ชวิ๋นไม่พูดอะไร
“อ้อ แล้วนี่ซ่อนศพพวกมนุษย์นกยูงไว้ที่ไหน?”
ฉู่ชวิ๋นหันมองหน้าหวงเซิง และพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งมีแววตาสงสัยใคร่รู้
“โยนทิ้งลงหน้าผาไปครับ ตอนนี้คงถูกพวกสัตว์ร้ายด้านล่างกัดแทะจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกแล้ว” ฉู่ชวิ๋นตอบ
“เสียของหมด!” หวงเซิงมีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมาทันที “ฉันยังไม่เคยกินเนื้อพวกมันเลยนะ”
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกขบขันยิ่งนัก เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าหวงเซิงคิดถึงแต่เรื่องเนื้อของมนุษย์นกยูงเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น เราหาโอกาสฆ่าพวกมันอีกสักตัวดีไหมครับ” ฉู่ชวิ๋นว่า
หวงเซิงรีบปฏิเสธโดยเร็ว “เดี๋ยวก็จบเห่กันพอดี ที่เหตุการณ์คราวนี้ผ่านพ้นไปได้ก็นับว่าสวรรค์เมตตามากแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณหวูไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง”
“เราฆ่าอีกแค่ตัวเดียวก็ไม่ได้เหรอครับ?” ฉู่ชวิ๋นพยายามกระตุ้นหวงเซิง
“ไม่ได้ เราจะทำความผิดซ้ำสองไม่ได้อีกแล้ว” หวงเซิงส่ายหน้า พูดต่อว่า “เจ้าพักผ่อนเถอะ วันพรุ่งนี้ข้าจะรีบออกเดินทางตั้งแต่เช้า ส่วนพวกเราที่เหลือฝากให้เจ้าดูแลด้วยก็แล้วกัน”
“จะไปไหนหรือครับ?” ฉู่ชวิ๋นถามโดยไม่รู้ตัว
หวงเซิงที่เดินไปถึงประตูห้องแล้ว พลันหันหน้ากลับมา กระพริบตาปริบๆ
ไม่นะ ฉู่ชวิ๋นไม่ควรถามคำถามเมื่อสักครู่นี้เลย อีกฝ่ายหนึ่งพบความผิดปกติแล้ว
เปรี้ยง!
โต๊ะและเก้าอี้รวมถึงชุดน้ำชาภายในห้องลอยกระเด็น คลื่นพลังจิตที่มองไม่เห็นพวยพุ่งเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นตอบโต้กลับไปตามสัญชาตญาณ คลื่นพลังจิตของเขาพุ่งกระแทกเข้าใส่คลื่นพลังจิตของหวงเซิงที่พุ่งปะทะเข้ามา
“แกไม่ใช่เหล่าสือ แกเป็นใครกันแน่?” หวงเซิงคำรามด้วยความเดือดดาล
ที่แท้หวงเซิงก็สงสัยเขาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว จึงได้ลองหยั่งเชิงเพื่อค้นหาคำตอบ สุดท้ายฉู่ชวิ๋นกลับเป็นฝ่ายเปิดเผยตัวตนออกมาเองโดยไม่รู้ตัว
ไม่ต้องคิดอะไรอีกแล้ว ฉู่ชวิ๋นรวบรวมพลังจิตระเบิดพลังออกไป
วูบวาบ!
ลำแสงสว่างสีขาวปกคลุมทั่วห้องพักทันที
“เห็นว่าพวกพังพอนปีศาจเป็นตัวร้ายกาจขี้ขโมย ไม่นึกเลยนะว่าจะพอมีสมองอยู่บ้างเหมือนกัน” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ
“แกเป็นใคร?” หวงเซิงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นกลัว
“แกเป็นฝ่ายตอบคำถามของฉันดีกว่า ไม่แน่ฉันอาจจะไว้ชีวิตแกก็ได้” ฉู่ชวิ๋นพูดเสียงราบเรียบ
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี ไม่ว่าแกเป็นใคร วันนี้อย่าหวังเลยว่าจะรอดไปได้” หวงเซิงปล่อยม่านพลังสีเหลืองออกมาห่อหุ้มร่างกาย ก่อนที่จะกระโดดเข้าใส่ฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือต่อยหมัดออกไป เพียงแค่หมัดเดียวก็ทำให้หวงเซิงม้วนกระเด็นกลับไปแล้ว
เปรี้ยง!
หวงเซิงลอยกระเด็นไปกระแทกกับม่านพลังที่กั้นเอาไว้ในห้อง ส่งผลให้ม่านพลังระเบิดแสงสว่างเป็นประกาย ก่อนที่จะดีดร่างของมนุษย์พังพอนลอยกลับมาหาฉู่ชวิ๋นอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นยกมือขึ้นซัดพลังลมปราณใส่หวงเซิงจนตัวกระเด็นไปอีกหน
เปรี้ยง!
ร่างของหวงเซิงกระแทกพื้นห้องอย่างแรง ทำให้พื้นเกิดรอยแตกร้าวเป็นรูปร่างมนุษย์ชัดเจน มิหนำซ้ำลำตัวครึ่งท่อนล่างของหวงเซิงยังจมหายลงไปใต้ดินหมดแล้ว
“ขอแนะนำให้แกตอบคำถามฉันตามความจริงดีกว่านะ ถ้าแกเล่นตุกติก ฉันจะทำให้แกรู้จักสิ่งที่ทรมานและน่ากลัวยิ่งกว่าความตาย” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“แกเป็นใครกันแน่?” หวงเซิงหวาดกลัวจนควบคุมสติไม่ได้แล้ว
มันมีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ที่ผ่านมาเรียกว่ามีฝีมือสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่เคยมองเห็นฉู่ชวิ๋นอยู่ในสายตา แต่ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในขณะนี้ กลับทำให้หวงเซิงถึงกับตัวสั่นเทาแล้ว
อีกฝ่ายหนึ่งสามารถฆ่ามันได้ง่ายดายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
“ในเมื่อแกอยากจะรู้เหลือเกินว่าฉันเป็นใคร ฉันก็จะตอบให้ก็ได้”
พูดจบ กล้ามเนื้อบนใบหน้าของฉู่ชวิ๋นก็เต้นระริก โครงกระดูกของเขาเริ่มเปลี่ยนสภาพอีกครั้ง
“จอมมารฉู่ชวิ๋น”
หวงเซิงอุทานออกมาด้วยความสยองขวัญเมื่อเห็นโฉมหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งชัดเจนเต็มสองตา ผมสีเหลืองเหมือนฟางข้าวแห้งของมันชี้ชันเหมือนคนเจอผี
“ฉันตอบคำถามของแกแล้ว” ฉู่ชวิ๋นเดินมาย่อกายลงตรงหน้ามันและถามว่า “ทีนี้บอกฉันมา แกตั้งใจจะทำอะไรกับฉันกันแน่?”
หวงเซิงรู้สึกอับอายยิ่งนัก อย่าว่าแต่มันจะสามารถฆ่าฉู่ชวิ๋นได้เลย อีกฝ่ายหนึ่งปลอมตัวเป็นเหล่าสือและมาวนเวียนอยู่ใกล้ตัวมันได้โดยที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ํา
มิน่าเล่า เหล่าสือที่ปกติขี้ขลาดตาขาวจะตาย กลับสามารถฆ่ามนุษย์นกยูงได้อย่างนี้ ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมถูกมนุษย์หมาป่าซัดพลังใส่ถึงสามครั้งซ้อนแบบนั้น แล้วเหล่าสือยังรอดชีวิตมาได้อีก
“ถ้าบอก แกจะยอมปล่อยฉันไปหรือเปล่า?” หวงเซิงพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มันพยายามทำเป็นว่าตัวเองใจเย็น แต่ความจริงแล้วไม่เลย เมื่อเผชิญหน้าอยู่กับเทพเจ้าแห่งการฆ่าคน ยังจะมีใครใจเย็นอยู่ได้อีกหรือ
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแกตอบคำถามตามความจริงหรือเปล่า แล้วคำตอบนั้นมีมูลค่ามากแค่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง
“แกอยากรู้เรื่องอะไร?”
ฉู่ชวิ๋นจ้องเข้าไปในดวงตาของมันขณะถามว่า “เมื่อกี้แกบอกว่าจะรีบเดินทางตั้งแต่เช้า แกตั้งใจจะไปที่ไหน?”
“พวกเราจะไปที่สำนักภูพาทมิฬ”
“ตั้งใจจะไปโจมตีที่นั่นหรือไง?”
“เดิมทีเราอยากจะเริ่มโจมตีที่ภูเขาเฉียนหลง แต่ก็รู้ดีว่าแกสร้างม่านพลังที่แข็งแกร่งเอาไว้ พวกเราคงไม่มีทางทลายม่านพลังเข้าไปได้แน่ๆ” หวงเซิงตอบ
“พูดต่อ”
“พวกฉันจะรวบรวมมือดีของเผ่าพันธุ์พังพอนปีศาจไปบุกยึดสำนักภูพาทมิฬให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก จากนั้นก็จับตัวพวกของหยานอี้เดินทางไปที่ภูเขาเฉียนหลง ใช้พวกมันเป็นตัวประกันต่อรองให้พ่อแม่ของแกสลายม่านพลังรอบภูเขาทิ้งไปซะ”
ผลั่ก!
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นซัดพลังลมปราณใส่หวงเซิง ซึ่งทำให้แขนข้างหนึ่งของมนุษย์พังพอนระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปทันที
หวงเซิงได้แต่เพียงส่งเสียงกรีดร้องออกมาเท่านั้น แต่เสียงของมันก็ถูกกักอยู่ในม่านพลัง จึงไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของมันเลยแม้แต่นิดเดียว
คำว่าหวาดกลัวสุดชีวิต ยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของหวงเซิงในตอนนี้ได้เลย
สำนักภูพาทมิฬมีนักรบมังกรเงินกับจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 คอยคุ้มกันอยู่แค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น หากต้องรับมือกลุ่มมนุษย์พังพอนคนนี้ที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 สำนักภูพาทมิฬย่อมไม่อาจต้านทานได้แน่นอน
โดยเฉพาะถ้าพวกของหยานอี้ถูกจับกุมตัว เพื่อใช้ข่มขู่ให้คนในภูเขาเฉียนหลงสลายม่านพลัง ด้วยนิสัยใจดีมีเมตตาของพ่อแม่เขา ฉู่ชวิ๋นรู้ดีว่าพวกท่านคงไม่ยอมเห็นพวกของหยานอี้ตกตายไปต่อหน้าต่อตาแน่นอน
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกหวาดหวั่นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แต่ถือเป็นโชคดีที่เขาตัดสินใจขึ้นมาสำรวจหุบเขาอเวจีในคืนนี้ ไม่อย่างนั้นผลร้ายที่ตามมาอาจรุนแรงเกินคาดคิด