ตอนพิเศษ 26-1 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (2)
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยังไม่รู้เรื่องสะเทือนเลื่อนลั่นที่หลิงจือทำไว้ในลานประลอง นางไปหลบอยู่ที่ลานด้านหลังแท่นประลอง ที่ลานแห่งนี้มีห้องสุขา มีบ่อน้ำ มีการสร้างเป็นอาคารห้องพัก หลักๆ คือมีไว้ให้ผู้มาร่วมประลองใช้งานตามความต้องการในชีวิตประจำวัน
ทุกคนไม่ออกไปร่วมการประลองก็ออกไปชมการประลอง คนที่เหลืออยู่จริงๆ มีเพียงเด็กสาวรากปราณสวรรค์
นางยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ตักน้ำมาเต็มถัง เอามือซ้ายแช่ลงไปในน้ำ พยายามขัดถูเต็มที่แต่ขัดไม่ออก นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดก็เช็ดไม่หลุด กลุ่มควันสีดำตรงกลางฝ่ามือยังคงติดแน่นอยู่บนมือนาง
“อาจารย์อาฉิน อาจารย์อาหลิงจือชนะแล้ว คนต่อไปจะเป็นเจ้าแล้ว เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง” ที่หน้าประตูเรือน ศิษย์หญิงของสำนักเชียนหลันส่งยิ้มพลางเอ่ยเรียก
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กำลังพะวักพะวนจนลืมใส่ใจเรื่องที่หลิงจือชนะอีกยกหนึ่งแล้ว นางเอาสองมือแช่ลงในน้ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ข้าใกล้เสร็จแล้ว เจ้าไปก่อนเถิด”
ศิษย์หญิงจึงกลับไปด้วยความปรีดา
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ดึงมือที่แช่น้ำจนเหี่ยวย่นขึ้นมา ร้อนใจจนอยากร้องไห้ นางไปหาสบู่มาก้อนหนึ่งมาถูฝ่ามืออย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไม่มีประโยชน์หรอก”
เสียงเบาๆ ของบุรุษดังขึ้นด้านหลังนาง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตกใจจนทะลึ่งตัวขึ้น รีบหันไปพลางเอามือซ่อนไว้ด้านหลัง
นางกวาดตามองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครสักคน
นางขมวดคิ้วอย่างระแวดระวัง “ใครน่ะ อย่าทำลับๆ ล่อๆ ออกมาเดี๋ยวนี้!”
บุรุษในเสื้อคลุมสีดำคลายคาถาซ่อนกายแล้วปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ หัวไหล่กว้าง สวมหน้ากากสีเงินอยู่บนใบหน้า รูปลักษณ์เขาถูกบนบังเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาที่นิ่งสงบราวกับขุมนรก
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองระดับการฝึกตนของอีกฝ่ายไม่ออก แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าคนผู้นี้อันตรายยิ่งนัก!
ด้วยระดับชั้นของนางในเวลานี้ จะสู้ก็คงไม่ชนะ จะหนี… ก็น่าจะหนีไม่รอด
เด็กสาวรากปราณสวรรค์บังคับตัวเองให้ใจเย็นไว้ก่อน “นี่เป็นถิ่นฐานของสหพันธ์ เจ้าอย่าได้ทำอะไรตามอำเภอใจ”
บุรุษผู้นั้นหัวเราะทีหนึ่ง ไม่ได้ตอบอะไรแต่มองไปด้านข้างตัวนาง คล้ายตั้งใจอยากมองอ้อมไปให้เห็นมือข้างซ้ายที่เกิดเรื่องของนาง “ข้าช่วยเจ้าได้”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถอยตัวไปด้านหลัง
บุรุษผู้นั้นกลับเดินเข้ามาหลายก้าว เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถูกกดดันจนถอยไปที่มุมกำแพง ปลายจมูกได้แต่กลิ่นอายอีกฝ่าย บุรุษผู้นั้นจับมือนางดึงออกมา เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองด้วยสายตาหวาดผวา บุรุษผู้นั้นแตะปลายนิ้วลงเบาๆ กลุ่มควันสีดำนั้นก็สายไปเสียเฉยๆ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองมือตนเองอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าทำได้อย่างไร”
ไม่มีเสียงตอบ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เงยหน้ามอง จึงเห็นว่าภายในลานไม่มีเงาของบุรุษผู้นั้นอยู่แล้ว
…
ศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็คือผู้ฝึกตนมารผู้นั้น เมื่อเอาชนะผู้ฝึกตนมารได้แล้ว อีกสองคนที่เหลือก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ นางเอาชนะได้ไม่ง่ายนัก แต่สุดท้ายก็เอาชนะจนได้
นางได้สิทธิ์เข้าร่วมการประลองรอบสุดท้ายอย่างราบรื่น
หลังจากนางประลองทั้งสามยกจบแล้ว ร่างกายผ่อนคลายลงแล้วถึงได้ยินลูกศิษย์ใหม่พูดคุยกันถึงการใช้พลังปราณไม้ของหลิงจือ
นางเคยเห็นหลิงจือแอบฝึกวิชาสายไฟ ถึงแม้นั่นจะเป็นการทำลายอนาคตตนเอง แต่หลิงจือดื้อรั้นจะรนหาที่ตายให้ได้ นางก็ไม่ห้ามปราม ตอนหลิงจือใช้เวลาสายไฟออกมาจริงๆ ถึงแม้นางจะตกใจที่หลิงจือทำได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เคยฝึกมา นับว่าพอจะอธิบายได้
แต่พลังปราณไม้นั้นมาได้อย่างไร
หลิงจือไม่ได้แอบฝึกวิชาสายไม้ด้วยนี่!
หรือว่าหลิงจือมีสามรากปราณ น้ำ ไฟ ไม้? นางใช้วิธีการอะไรปิดบังรากปราณอีกสองประเภทที่นางมี ทำเป็นว่ามีรากปราณน้ำมาหลอกว่าเป็นลูกศิษย์สายตรงของผู้พิทักษ์ใหญ่กัน
สามรากปราณนั้นคุณสมบัติด้อยกว่ารากปราณเดี่ยวมากทีเดียว หากหลิงจือมีสามรากปราณ เช่นนั้นนางไม่มีทางได้เป็นศิษย์สายตรงของผู้พิทักษ์ใหญ่แน่นอน!
แต่…เป็นสามรากปราณอื่นก็แล้วไม่เถิด เหตุใดถึงมีคนที่มีรากปราณน้ำกับรากปราณไม้ในตัวคนเดียวได้ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ชัดๆ!
อีกอย่าง หากหลิงจือมีสามรากปราณจริง เช่นนั้นนางจะเลื่อนระดับได้เร็วเพียงนั้นได้อย่างไร
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ขมวดคิ้ว “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เด็กคนนั้นมีความลับอะไรกัน”
หลิงจือหลังจากประลองเสร็จก็เป็นฝ่ายเข้าไปหาผู้พิทักษ์ใหญ่เพื่ออธิบายเรื่องราวในวันนี้ “…อาจารย์ ข้าไม่ได้ลักลอบฝึกวิชาสายไม้ ข้าไม่ได้ทำจริงๆ ตอนนั้นข้า…ตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คิดแค่ว่าไม้ชนะดิน หากข้ามีพลังปราณไม้…”
คำพูดหลังจากนั้นนางไม่ได้พูดต่อ ตัวนางเองยังรู้สึกว่าช่างเป็นคำพูดที่เลื่อนลอย คนที่ไม่เคยฝึกวิชาสายไม้จะใช้พลังปราณไม้ได้อย่างไร
แต่นางไม่ได้แอบฝึกจริงๆ!
นางแค่คิดขึ้นมาเฉยๆ พลังปราณไม้ก็มาเสียแล้ว
ที่น่าประหลาดใจก็คือ ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยแต่อย่างไร ผู้พิทักษ์ใหญ่พยักหน้า “อาจารย์รู้แล้ว เรื่องในวันนี้เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ พรุ่งนี้เป็นการประลองรอบสุดท้ายแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง”
หลิงจือพลันตาเป็นประกาย นี่อาจารย์…เชื่อนางหรือ
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยว่า “ไปเถิด รีบไปพักผ่อน”
“เจ้าค่ะ ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์ขอตัวก่อน!” หลิงจือจากไปด้วยความยินดี
เจ้าสำนักสวี่ ผู้พิทักษ์รอง ประมุขเหลยรวมถึงลู่หยวนเจิ่นเดินออกมาจากห้องของตน
ทั้งสี่มองหลิงจือที่กระโดดโลดเต้นจากไป สีหน้าพวกเขาแตกต่างกันออกไป
ผู้พิทักษ์ใหญ่บอกว่า “ข้ารู้ว่าหลิงจือเป็นคนอย่างไร นางบอกว่าไม่ได้แอบฝึกก็ไม่ได้แอบฝึกจริงๆ”
ประมุขเหลยบอกว่า “คิดจะแอบฝึกก็ต้องมีความสามารถนั้นก่อน” ไม่มีรากปราณอื่นแต่กลับดันทุรังจะฝึกวิชาสายอื่น อย่างไรก็ไม่มีวันฝึกได้ ต่อให้โชคดีฝึกสำเร็จก็จะสร้างแรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงของวิชาให้กับร่างกายตัวเอง แต่ดูจากท่าทางของหลิงจือที่ยังกระโดดโลดเต้นได้นั่นแล้ว เหมือนคนถูกแรงสะท้อนกลับหรือ
“จะทดสอบรากปราณนางเมื่อใด” ลู่หยวนเจิ่นถาม
เวลานี้สิ่งที่พวกเขาคิดถึงมากที่สุดก็คือหลิงจือจะใช่บุคคลในตำนานที่ไม่รากปราณผสมที่ไม่ได้พานพบมานับหมื่นหมื่นปีหรือไม่