ฉินมู่มองยังทั้งการสัประยุทธ์แห่งสภาสวรรค์จากมุมมองของภูติบดี ตั้งแต่เมื่อภูติบดีเข่นฆ่าล้างผลาญบุกมาจากประตูสวรรค์ทักษิณไปยังสระหยก ก่อนที่จะทุบทำลายแท่นประหารเทพและทำลายล้างวังสวรรค์ทีละวังๆ
เขาไปยังอัครนครหยก สถานที่พำนักของจักรพรรดิฟ้า แต่ทว่า ตอนนั้นมีโซ่มากมายอันได้รัดรึงเขาไว้อย่างแน่นหนา โซ่เหล่านั้นคือหลักกฎเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ เขาถูกพันธนาการเอาไว้อย่างหนักหนาสาหัส แต่ก็ยังคงบุกโจมตีไปข้างหน้าอย่างดุดัน
ยิ่งมาเขาก็ยิ่งถูกรัดเอาไว้แน่น โซ่เหล่านั้นมิได้มาจากแดนใต้พิภพเท่านั้น มันยังคงคล้ายกับว่าจะทะลวงออกมาจากข้างในร่างกายของเขาเอง
ในเมื่อเขาคือร่างประทับของเต๋า การกระทำของเขาจึงจะต้องสอดคล้องกับเต๋าอันยิ่งใหญ่ ยิ่งเทพบรรพกาลแข็งแกร่งเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งถูกจำกัดเอาไว้ด้วยหลักกฎแห่งร่างกายของตนเอง
ภูติบดีก็เป็นเช่นนั้น
แม้ว่าเขาจะกลับชาติมาเกิด แต่เขาก็ยังคงเป็นร่างประทับแห่งเต๋า เมื่อเขากลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เขาก็ยังคงมีเขาวัวและศีรษะพยัคฆ์
หลักกฎแห่งแดนใต้พิภพจะจำกัดพลังอำนาจของเขาเอาไว้ในโลกแห่งคนเป็น ต่อให้เขาปลุกพลานุภาพแดนใต้พิภพขึ้นมาได้ พลานุภาพแห่งร่างกายของเขาก็จะจำกัดตัวของเขาเอาไว้เสียเอง
ยิ่งเขาต่อสู้อย่างดุดันมากเท่าไร ยิ่งเขาเข่นฆ่าไปมากเพียงใด ก็ยิ่งเจ็บปวดลึกล้ำมากขึ้นเท่านั้น
สภาสวรรค์ตกอยู่ในความหวาดกลัวแตกตื่น และเทพเจ้าแห่งสภาสวรรค์ทั้งหลายก็ถูกสังหารจนหัวใจของพวกเขาเย็นเฉียบ สำหรับทวยเทพแห่งสภาสวรรค์แล้ว พวกเขาไม่เข้าใจความเกลียดแค้นของภูติบดี
เทพบรรพกาลมีอายุขัยเท่ากับสวรรค์และพิภพ พวกเขาดำรงอยู่คู่กับโลกหล้า พวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับชีวิต ความตาย ความรัก และความชังของมนุษย์ปุถุชน พวกเขาไม่รู้ถึงบุญคุณ ความแค้น ความรู้สึก และความพยาบาท
ชีวิตและความตายของคนธรรมfkนั้นเพียงแค่หนึ่งร้อยปี และหนึ่งร้อยปีนั้นเท่ากับพริบตาเดียวของเทพบรรพกาล ไม่ทันที่พวกเขาจะได้สังเกตเห็นมดปลวกเล็กๆ ที่น่าเวทนาเหล่านั้น มดปลวกพวกนั้นก็ตายไปด้วยความชราเสียแล้ว
ร่างกลับชาติของภูติบดีเริ่มเข่นฆ่าสังหารก็เพราะความตายของภรรยาและลูกๆ นี่นับว่าเป็นเหตุผลอันอุกอาจเหลวไหลที่เขาใช้ในการฆ่าล้างผลาญมาถึงสภาสวรรค์
ที่ยิ่งเกินเลยไปกว่านั้น ก็คือเขาถึงกับลงมือสังหารทวยเทพแห่งสภาสวรรค์ ทำให้พวกเขาล้มตายและหนีเอาตัวรอดกันไปหมด
มนุษย์ธรรมดาเป็นเพียงแค่มดปลวกที่อาศัยอยู่ในแดนต่ำใต้ และสำหรับเทพบรรพกาลที่ไปลองใช้ชีวิตแบบมดปลวก ก่อนที่จะเริ่มต้นเข่นฆ่าก็เพราะความตายของมดปลวกไม่กี่ตัว นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจได้
การใช้สายเลือดของเทพบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่และครึ่งเทพทั้งหลายมากลบฝังเซ่นไหว้ให้แก่มนุษย์ธรรมดาๆ นี่หมายความว่าภูติบดีได้เสียสติไปแล้วจริงๆ
กระนั้นแม้แต่อัครนครหยก อันมีการรักษาความปลอดภัยและการป้องกันที่เข้มงวดที่สุด ก็ยังคงไม่สกัดขัดขวางภูติบดีพิโรธได้ ประตูอัครนครหยกถูกบุกทำลาย และเทพเจ้าทั้งหลายก็หวีดร้อง พวกเขาหนีตายไปทั่วทุกสารทิศ
ภูติบดีไม่สนใจพวกเทพเจ้าที่หลบหนีกระจัดกระจาย และเขายังคงเดินตรงไปยังอัครนครหยก ข้างหลังเขา ครึ่งหนึ่งของสภาสวรรค์ได้ถูกกลบกลืนไปด้วยปราณมารใต้พิภพแล้ว
และในปราณมาร ก็มีโซ่ที่เจาะเข้ามาร้อยกายเนื้อของเขา
โซ่เหล่านั้นตึงเขม็งจากการถูกลาก และมีโลหิตไหลออกมาจากร่างกายของเขาไม่หยุด โลหิตเหล่านั้นร่วงลงกับพื้นและแปรเปลี่ยนไปเป็นไฟมารใต้พิภพ
เขานั้นยังคงยืนกรานที่จะเคลื่อนต่อไปข้างหน้า และมุ่งหน้าไปยังราชวังเกียรติคู่ และท้องพระโรงมังกรซ่อน
ราชวังเกียรติคู่และท้องพระโรงมังกรซ่อนเป็นส่วนหนึ่งในสามสิบหกวังสวรรค์และเจ็ดสิบสองท้องพระโรง มันคือสถานที่ที่องค์ชายและองค์หญิงอาศัยอยู่
บุตรและธิดาของจักรพรรดิฟ้าอาศัยอยู่ที่นั่น
เป้าหมายของภูติบดีชัดเจนยิ่งนัก เขาหมายที่จะมุ่งหน้าไปและทำลายสถานที่แห่งนั้น
พลานุภาพของกระถางสังหารแข็งแกร่งเกินไป กระถางนี้หลอมมาจากมีดปริศนาประหารเทพ และเดิมทีมันก็เป็นอาวุธที่อันตรายร้ายกาจที่สุดในสภาสวรรค์อยู่แล้ว บัดนี้เมื่อมันถูกหลอมสร้างไปเป็นกระถางสังหารด้วยน้ำมือของภูติบดี ไม่ว่าเทพบรรพกาลหรือครึ่งเทพเต็มวัยตนใดก็ยากที่จะหลบหนีความตาย เมื่อถูกกระถางสังหารลงมือ
กระถางยักษ์นี้ดูดซับเอาพลังอำนาจทั้งหมดของทวยเทพที่ตกเป็นเหยื่อ และพลานุภาพของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นทุกที
ท้องพระโรงมังกรซ่อนและราชวังเกียรติคู่อยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่พลังอำนาจของภูติบดีก็มาถึงขีดจำกัด
เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราด และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเคลื่อนต่อไปข้างหน้า แต่ทว่า เขาไม่มีวันทลายฝ่าการพันธนาการของเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งแดนใต้พิภพ
ภูติบดีร้องโหยหวนด้วยความเศร้าโศก และเขาก็เหวี่ยงฟาดกระถางสังหารตรงไปยังท้องพระโรงและราชวัง กระถางยักษ์เปล่งพลานุภาพอันอาจบดขยี้สภาสวรรค์เมื่อมันหมุนปั่นไปและร่วงกระแทกลงมา!
นั่นคือการโจมตีที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นเดือดดาล เช่นเดียวกับความปรารถนาจะล้างแค้นของอาโฉ่ว เขาอยากจะทำลายทุกชีวิตที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุตรธิดาของจักรพรรดิฟ้า ไม่ว่าบาปกรรมของเขาจะมากมายจนท่วมสวรรค์!
กระนั้นมือหนึ่งก็ยื่นออกมาจับกระถางสังหารอันปริ่มไปด้วยฤทธานุภาพเอาไว้อย่างมั่นคง และทำให้พลานุภาพของอาวุธอันตรายนี้ไม่อาจจะระเบิดปะทุไปได้
“สหายเต๋า การที่เจ้าเข่นฆ่าล้างผลาญมาจนถึงที่นี่ โทสะของเจ้าคงโรยราลงไปแล้ว ข้าพูดถูกหรือไม่”
จักรพรรดิฟ้ายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าตำหนักชิดฟ้า และเขาคว้าจับกระถางสังหารไว้ด้วยมือเดียว สายตาของเขาจ้องไปยังภูติบดี และเสียงของเขาดังมาแต่ไกลๆ “เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ยับยั้งเจ้าก็เพราะรู้ว่าพวกเขาได้กระทำความผิด ดังนั้นเจ้าถึงต่อสู้บุกตะลุยมาถึงที่นี่ เจ้าสามารถปลดปล่อยโทสะออกมาได้ แต่ทำไมเจ้าถึงจะทำลายล้างบุตรธิดาของข้าล่ะ”
ข้างหลังเขา เทพบรรพกาลมากมายปรากฏตัว และพวกเขาก็ล้วนแต่เป็นตัวตนอันแข็งแกร่งไร้เปรียบปาน
ภูติบดีหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เลือดสดๆ ของเขาไหลลงไปตามโซ่ที่ร้อยอยู่บนร่าง ไฟมารแผดเผาไปทั่วทุกหนแห่ง
จักรพรรดิฟ้ากล่าวพลางถอนหายใจ “เทพเหล่านั้นสมควรตาย แต่ตอนนี้เจ้าถูกควบคุมด้วยโทสะของตน ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือร่างกลับชาติของเจ้า เจ้าได้สูญเสียเหตุผลและจิตเต๋าไปแล้ว เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นถูกต้อง แต่ทันทีที่เจ้าจิตเต๋าของเจ้าคืนกลับมาตอนที่เจ้ากลับไปยังแดนใต้พิภพ เจ้าก็จะรู้ว่าตัวเจ้านั้นอุกอาจสักเพียงไหน เจ้าคือสหายเต๋าของข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก จงกลับไปเถอะ”
ภูติบดีดิ้นรนกับโซ่ของเขาและหอบหายใจอย่างหนักหน่วง เพลิงไฟพวยพุ่งออกมาจากรูจมุกของเขาประดุจมังกร และดวงตาทั้งสามของเขาก็หลั่งไหลทั้งเลือดและอัคคี
จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจและกล่าวอย่างนุ่มนวล
“การกลับชาติลงไปเกิดนั้นเป็นเพียงการฝึกบำเพ็ญดวงวิญญาณ แต่เจ้าจมดิ่งลึกจนเกินไป ให้ข้าช่วยเจ้ากลับไปยังแดนใต้พิภพก็แล้วกัน”
เขาสะบัดแขนเสื้อ และภูติบดีก็ไม่อาจยืนได้มั่นอยู่บนสภาสวรรค์อีกต่อไป เขาถูกโซ่เหล่านั้นดึงลากเข้าไปในความมืด และแผ่นดินแห่งแดนใต้พิภพข้างหลังเขาก็จมดิ่งลงไปในแดนใต้พิภพอนธการ
ในแดนใต้พิภพ ร่างเดิมอันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบของภูติบดีก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในที่สุด และดวงตาทั้งสามของเขาก็ลืมขึ้นมาทีละดวง เขามองขึ้นไปยังสภาสวรรค์จากข้างในความมืด
ภูติบดีที่เคยเป็นอาโฉ่วนั้นยังคงร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องพร้อมๆ กับแผ่นดินแดนใต้พิภพที่เขาถูกโซ่ล่ามติดเอาไว้ เขาตกลงไปในเบื้องลึกที่สุดของความมืดมิด และร่วงลงไปข้างๆ เท้าของภูติบดี แปรเปลี่ยนเป็นดินแดนมืดทมิฬ
โซ่ทั้งหลายพันรอบตัวเขา และพันธนาการเขาเอาไว้ที่นั่น
ไม่นานนัก มหานครทมิฬมหึมาก็จะถูกก่อสร้างบนแผ่นดินแห่งนี้ และมันถูกสร้างขึ้นมาจากหยกดำ มันถูกขนานนามว่าด่านกุญแจหยก และมันถูกใช้ตรึงสะกดตัวตนที่บาปหนา
ร่างกลับชาติของภูติบดี คือนักโทษคนแรกที่นั่น
“สหายเต๋า”
เหนือสภาสวรรค์ สายตาของจักรพรรดิฟ้าฉายโชนลงมา และพบกับภูติบดีที่เพิ่งฟื้นตื่น เสียงของจักรพรรดิฟ้าดังมาจากสวรรค์ชั้นเก้าเบื้องบน และเขากล่าว “เจ้าได้ตื่นขึ้นมาแล้วหรือ เจ้าได้คิดดูหรือยังว่าที่ข้าพูดนั้นมันจริงหรือไม่ ตอนนี้เมื่อเจ้ากลับคืนสู่แดนใต้พิภพและปลุกจิตเต๋ากลับมาอีกครั้ง เจ้าตัวจริงก็คงจะได้กลับมาแล้ว และเจ้าก็คงจะสำเหนียกแล้วว่าพฤติการณ์ของเจ้านั้นเหลวไหลเพียงใด”
สายตาของภูติบดีมหึมามองลงไปและจับไปที่บ่าของอาโฉ่ว
บ่าของอาโฉ่วว่างเปล่า
สายตาของเขาช้อนขึ้นบนอีกครั้ง และเขามองไปยังสภาสวรรค์
เมื่อเขาถูกฟาดกลับลงมาในแดนใต้พิภพ ทารกหญิงที่บ่าของเขาได้ร่วงลงไปและตกในมือของจักรพรรดิฟ้า
“ข้าตามืดบอดจากความรู้สึกของปุถุชน ขอบคุณมากสำหรับการชี้แนะของท่าน ฝ่าบาท” ภูติบดีกล่าว
จักรพรรดิฟ้าเผยยิ้มและกล่าว “ข้าค่อยเบาใจหน่อยเมื่อเจ้าได้สติกลับคืนมา แต่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกข้าว่าฝ่าบาท พวกเราเป็นสหายกันมานานหลายปี และแม้ว่าเจ้าจะถือกำเนิดมาช้ากว่าข้าสักเล็กน้อย พวกเราก็ยังคงเรียกกันและกันว่าสหายเต๋า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแปลกหน้าต่อกันเพียงเพราะข้าขึ้นครองบัลลังก์”
“ข้ามิกล้า” ภูติบดีก้มศีรษะ “ในอดีตข้าไม่รู้ดีรู้ชั่ว แต่บัดนี้ข้ารู้กระจ่างแล้ว ระหว่างนายเหนือหัวกับข้าราชบริพารย่อมมีความแตกต่างกันอยู่ ดังนั้นข้าจึงมิอาจไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
จักรพรรดิฟ้าถอนหายใจ “เจ้านั้นทำตัวเหินห่างอีกแล้ว นี่คือกระถางของเจ้า”
เขาโยนกระถางสังหารลงไป และปล่อยให้มันร่วงลงสู่แดนใต้พิภพ
ภูติบดีไม่เปลืองแรงไปรับมือและปล่อยให้กระถางนี้ร่วงลงไปยังแผ่นดินใต้เท้าของเขา “กระถางสังหารนี้เข่นฆ่ามากเกินไป ข้ามิกล้ารับมันเอาไว้”
“ข้าราชบริพารจะกล้าไม่รับของจากนายเหนือหัวหรือ”
จักรพรรดิฟ้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ถึงอย่างไร จะทิ้งกระถางไว้กับเจ้าก็ไร้ประโยชน์จริงๆ นั่นแหละ ทำไมข้าถึงไม่ส่งเทพเจ้าจำนวนหนึ่งลงไปในแดนใต้พิภพ และให้พวกเขาปกป้องกระถางนี้ให้แก่เจ้าเป็นการชั่วคราวสักหน่อยล่ะ”
ภูติบดีรับคำและกล่าว “ตามที่ฝ่าบาทบัญชา”
สายตาของเขาตกไปที่มือของจักรพรรดิฟ้า และจักรพรรดิฟ้าก็ส่งทารกหญิงให้เทพบรรพกาลตนหนึ่งข้างๆ เขาอุ้มเอาไว้ “เจ้าทำตัวเหินห่างอีกแล้ว”
ภูติบดีหลับตาลง และฉินมู่ก็รู้สึกว่าทัศนียภาพของเขาจมลงไปในความมืด เขาไม่อาจมองเห็นภาพอันน่าตื่นตระหนกเหล่านั้นอีกต่อไป
“ความทรงจำของกระถางสังหารมาถึงจุดจบในที่สุด”
ฉินมู่ตกอยู่ในภวังค์ ตอนที่กำลังอยู่ในกระถางสังหาร ปราณมารใต้พิภพไหลเข้าไปในร่างกายของเขา และเขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะระเบิด ทันใดนั้นเขาก็แปลงเป็นภูติบดีอาโฉ่ว และเห็นชีวิตของเขาจากมุมมองของอาโฉ่ว
“อันที่จริง เมื่อภูติบดีตื่นขึ้นมาด้วยความพิโรธ อาโฉ่วได้ตายไปแล้ว”
อาโฉ่วตายไปเรียบร้อยแล้วในตอนนั้น หลงเหลือก็แต่ภูติบดีที่ต้องการทวงความแค้น
ลูกของอาโฉ่ว ทารกหญิงผู้นั้น ได้กลายเป็นตัวประกันของสภาสวรรค์ เป็นจุดอ่อนของภูติบดี
นางจะต้องมีชีวิตอยู่ดี สภาสวรรค์จะไม่ทำร้ายนาง สายเลือดของภูติบดีจะสามารถสืบทอดต่อไป
ฉินมู่คิดอยู่กับตนเอง ข้าสงสัยว่าภูติบดีจะได้เจอนางอีกสักครั้งไหม วิธีการของจักรพรรดิฟ้าร้ายกาจทรงพลังจริงๆ วิญญูชนสวรรค์อวิ๋นไม่สามารถเอาชนะเขาได้ และวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็อาจจะทำไม่ได้เช่นกัน ถ้าเช่นนี้ จักรพรรดิฟ้าแห่งสภาสวรรค์นอกโลกจะเป็นเขาไหม
เขารู้สึกงุนงง
ปราณมารในกระถางสังหารไม่ไหลเข้ามาอีกต่อไป และมันกลายเป็นเงียบสงัด รอบๆ ฉินมู่ ใบหน้ามหึมาลอยไปในความมืด และใบหน้าเหล่านั้นมองมาที่เขา พวกมันวนอ้อมเขาอย่างเงียบเชียบ และดูน่าสยองไม่น้อย
“อาโฉ่ว”
ทันใดนั้น ใบหน้าหนึ่งก็ลอยมาตรงหน้าเขา และอ้าปากส่งเสียงร้องประหลาด
ใบหน้าอื่นๆ ก็พลันส่งเสียงคร่ำครวญออกมาด้วย “อาโฉ่ว”
ฉินมู่แค่นเสียง “ข้าไม่ใช่อาโฉ่ว ภูติบดีอาโฉ่วสามารถปลุกพลังแดนใต้พิภพหลังจากที่เขาตาย แต่ข้าไม่จำเป็นต้องเช่นนั้น เขามีข้อจำกัดและพันธนาการมากมาย แต่ข้าไม่มี!”
“อาโฉ่ว!” ใบหน้าต่างๆ ในกระถางสังหารยังคงร่ำร้องเรียก
“ข้าหน้าตาดีกว่าอาโฉ่วตั้งเยอะ”
ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมา และเขาก็อธิบายกับใบหน้าพวกนั้น “ดูสิ ข้าไม่มีเขาวัว และข้าก็ไม่มีลายพาดกลอนบนใบหน้า”
“น้องชาย เจ้าละเมอเพ้อพกอะไรกัน”
ฉินเฟิงชิงตื่นขึ้นมาและตกใจเมื่อเห็นฉินมู่สนทนากับใบหน้าประหลาดเหล่านั้น “เจ้าเสียสติหรือ”
เขาดีใจเริงร่า “ถ้าเจ้าเสียสติไปแล้ว ก็ให้ข้ากินเจ้าสิ!”
ฉินมู่แค่นเสียง “ใบหน้าพวกนี้เรียกข้าว่าอาโฉ่ว และพวกเขาทำยังกับว่าข้าคือภูติบดีผู้ตกอยู่ในความทุกข์ ข้าเพียงแต่ถกเถียงกับพวกเขา กระถางสังหารนี้ไม่ทำร้ายพวกเราก็อาจจะเพราะว่ากระถางเข้าใจว่าพวกเราคืออาโฉ่ว บางทีพวกเราอาจจะหยิบยืมพลังของกระถางเพื่อหลบหนีได้…”
เขาเหาะขึ้นไปขณะที่มีใบหน้าในความมืดมองมายังเขามากขึ้นทุกที
“อาโฉ่ว” พวกมันกล่าว
ใบหน้าของฉินมู่มืดดำราวกับถ่าน ฉินเฟิงชิงสำรวจตรวจตราใบหน้าเหล่านั้นด้วยความสนใจใคร่รู้ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะคว้าใบหน้าหนึ่งมา เขายัดมันเข้าไปในปาก เคี้ยวอยู่สองทีก่อนที่จะพ่นออกมา “ของแบบนี้กินได้ซะที่ไหน! ไม่มีรสชาติเลยสักนิด! นี่ยังแย่กว่ากินดินซะอีก!”
ฉินมู่ถามอย่างสงสัย “พี่ชาย เจ้าเคยกินดินหรือ”
“ข้าเคยลองดู แต่มันไม่ดีเลย” ทารกหัวโตกล่าว
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นมองที่ดาราจักรบนท้องฟ้า ตาข่ายสวรรค์นั้นสงบราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีพลานุภาพใดๆข้างนอกกระถาง ลู่หลีและคนอื่นๆ หยุดมือ และพวกเขาก็มองไปยังกระถาง พวกเขาเห็นว่ากระถางนิ่งสนิท ทุกคนจึงระบายลมหายใจโล่งอก
“โอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ ถึงกับทรหดได้นานขนาดนี้กว่าจะถูกเคี่ยวกรำจนตาย สมแล้วกับที่เป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์”
เอี๋ยนเชียนจ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เขาไม่ขยับเขยื้อนมาสักพักใหญ่แล้ว พวกเราน่าจะสามารถเปิดกระถางสังหารตอนนี้ได้แล้วสินะ?”
สายตาของราชาสวรรค์เกาวูบวาบ “ข้าว่า พวกเราควรหารือกันก่อนว่าโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพจะเป็นของใคร!”
ลู่หลีและผู้บัญชาการแคว้นคนอื่นๆ รู้สึกหวาดหวั่น ทันใดนั้น ลู่หลีก็เกิดจิตเข่นฆ่าขึ้นมา ไอ้พวกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้ เอาแต่คิดจะคัดง้างกับข้า ทำไมข้าไม่ฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาเปิดกระถาง และผลักพวกเขาเข้าไปเคี่ยวกรำให้ตายไปด้วยเสียเลยล่ะ! เคี่ยวกรำพวกเขาให้ตายน่าจะง่ายกว่าจัดการโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพเยอะ!
ในตอนนั้นเอง แผ่นดินก็ปูดสูงขึ้น และประตูบานหนึ่งก็ปรากฏ ประตูนั้นเปิดอ้า พร้อมกับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมาจากข้างใน “ข้าคิดว่า พวกเจ้าควรส่งโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพมาให้ข้า!”
ตูม
ทะเลแห่งแดนบาดาลถล่มลงมา และกดทับลงไปบนผู้มีอิทธิพลแดนใต้พิภพทั้งหลาย!
ในทะเลแดนบาดาลก็ยังมีไฟผีโขมดที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อสังหารราชาสวรรค์เกา เอี๋ยนเชียนจ้ง และคนอื่นๆ
ลู่หลีและพรรคพวกถูกตรึงสะกดเอาไว้ในทะเลบาดาล และกระดูกของพวกเขาก็หักไปหลายท่อน หัวใจของพวกเขาเย็นเฉียบเมื่อเห็นไฟผีโขมดสังหารผู้มีอิทธิพลแดนใต้พิภพไปสิบกว่าตน ทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขา เมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาถูกทำลาย พวกมันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอนุภาควิญญาณละเอียดมากมายเพื่อขยายขอบเขตของทะเลแดนบาดาล
วูชชช
ทะเลไหลบ่าเข้าไปในประตูและหายวับ
ในขณะเดียวกันนั้น ไฟผีโขมดก็ลอยวนไปรอบๆ ลู่หลีและพวกที่เหลือแต่ไม่สังหารพวกเขา
“พวกเจ้าคือผู้บัญชาการแคว้นที่ฝ่าบาทส่งมาประจำการในแดนใต้พิภพ ถ้าข้าสังหารพวกเจ้าไปจะมิใช่เป็นการก่อกบฏหรอกหรือ”
จากประตู บุรุษที่หล่อเหลาจนผิดธรรมดาเดินออกมาพลางไพล่มือไว้ที่หลัง สีหน้าของลู่หลีและพรรคพวกแปรเปลี่ยน “โอรสหยินสวรรค์!”
โอรสหยินสวรรค์เดินตรงไปยังกระถางสังหารและหัวใจของเขาก็รุ่มร้อนไปด้วยความตื่นเต้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพก็จะเป็นของข้า! มหิทธานุภาพของภูติบดี มหิทธานุภาพของข้า…”
มือของเขาวางลงไปบนตาข่ายสวรรค์และสั่นเทิ้มเล็กน้อยขณะที่ค่อยๆ ยกเปิดมันขึ้นมา
…………..
[1] นกขมิ้น มาจากสำนวน ‘ตั๊กแตนตำข้าวย่องตามจั๊กจั่น ไม่รู้เลยว่ามีนกขมิ้นย่องตามมันมาอีกที’