ตอนพิเศษ 20-2 เวยเวยผู้เก่งกาจ เจ้าสำนักคิดจะฉวยโอกาส
ประมุขเหลยที่ใช้พลังฝ่ามือผลักผู้ฝึกตนมารคนหนึ่งออกไปหันกลับมามองด้วยความตกใจ “เสี่ยวซิว? เวยเวย? พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เฉียวเวยเวยซบสวี่หลีเย่ว์หลับไปแล้ว ใบหน้าน้อยๆ วางอยู่บนไหล่ น้ำลายไหลจนเปียกไหล่อีกฝ่ายไปหมด
ประมุขเหลยกดพลังการฝึกตนไว้ในอยู่ในขั้นผสานตัน แต่ช่วยไม่ได้ที่เขามีใบหน้าที่ดุดัน สวี่หลีเย่ว์จึงนึกหวาดกลัวเขาขึ้นมาตามสัญชาตญาณ เหวินเหรินเฟิงก้าวขึ้นหน้าไปบังนางไว้ด้านหลัง
จีเสี่ยวซิวเอ่ยราวกับเป็นผู้ใหญ่ว่า “เรื่องนี้ข้าควรถามท่านนะ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่ได้บอกว่าจะอยู่เฝ้าที่สำนักถึงได้ไม่ไปการประลองลูกศิษย์ใหม่กับพวกเราหรอกหรือ”
ประมุขเหลยถูกพูดใส่หน้าจนไม่อาจบ่ายเบี่ยง
จีเสี่ยวซิวพูดต่อว่า “ท่านอีกคน ศิษย์พี่ลู่ ไม่ต้องหลบแล้ว”
ผู้พิทักษ์สามของยอดเขาเหลียนเฟิงเดินหน้าตาประดักประเดิดออกมาจากหลังต้นไม้
ลู่หยวนเจิ่นเป็นลูกศิษย์ของเล่อหยางเจินเหริน หลังจากเล่อหยางเจินเหรินเสียชีวิตไปก็มีเขามารับช่วงดูแลยอดเขาเหลียนเฟิงต่อ อายุจริงของเขาไม่น้อยแล้วแต่ดูเผินๆ เขาคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่อายุไม่ถึงสามสิบปี
ลู่เจินหย่วนกระแอมเบาๆ “ศิษย์น้องเล็ก บังเอิญเสียจริง”
ศิษย์พี่คนนี้มาที่การประลองศิษย์ใหม่ด้วยกัน จีเสี่ยวซิววัยสามขวบเอาสองมือกอดอก ทำหน้าจริงจัง “ศิษย์พี่ลู่ ท่านหนีมา!”
การโดนเด็กสามขวบจับได้ขายหน้าเอามากๆ ลู่หยวนเจิ่นพลันร้อนหน้าผาก “ศิษย์…ศิษย์พี่หญิงรองก็หนีมาเหมือนกัน!”
ผู้พิทักษ์รองที่ใช้วิชาซ่อนตัวพลันโงนเงน กลิ้งกลุกกลักๆ ลงมาจากเนินเขา
ใบหน้าน้อยๆ ของจีเสี่ยวซิวเคร่งขรึมจนถึงขีดสุด “ศิษย์พี่หญิงรอง เหตุใดท่านก็มากับเขาด้วย พวกท่านแต่ละคนเป็นผู้ใหญ่กันอย่างไร พวกท่านหนีมาเช่นนี้ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ทราบหรือไม่”
ผู้พิทักษ์รองเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ท่านจะว่าอย่างไร”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ถูกขายเสียแล้ว
ผู้พิทักษ์ใหญ่ “มองอะไร ข้ามาพร้อมกับเจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักสวี่ก็ถูกขายเช่นกัน
…
พวกเขาไม่เฝ้ากันอยู่ ณ ที่ประลองก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงขั้นกดพลังฝึกตนกันไว้ แสร้งทำเป็นศิษย์ในขั้นผสานตัน… เจ้าสำนักสวี่เลวร้ายที่สุด เขาแสร้งทำเป็นว่าตนอยู่ในขั้นฝึกปราณขั้นกลางเลยด้วย!
นี่พวกเขากะฉวยโอกาสหรือ!
จีเสี่ยวซิวยังทนมองพวกเขาตรงๆ ไม่ได้
“แค่ก พักครึ่งแรก พวกเราจะรีบกลับไปก่อนช่วงบ่ายเริ่ม” เจ้าสำนักสวี่เอ่ยหน้าแหยๆ
ศิษย์พี่น้องเหวินเหรินเฟิงมองระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่ออก ยังคิดว่าพวกเขาเป็นยอดฝีมือทั่วไปของสำนักเชียนหลัน แต่ก็ยังส่งตัวจีเสี่ยวซิวกับเฉียวเวยเวยให้พวกเขาอย่างนอบน้อม พร้อมทั้งบอกไปตามตรงว่าทั้งสองเดินหลงกันกับศิษย์พี่แล้วจึงบังเอิญมาเจอพวกเขาเข้า ส่วนเรื่องมังกรเขียวน้อยกับยอดฝีมือที่ไม่ยอมเปิดเผยตัวนั่น หลังจากเหวินเหรินเฟิงใคร่ครวญดูแล้วก็คิดว่าควรละไป
ยอดฝีมือเป็นคนของสำนักเชียนหลัน หากเขายินดีให้สำนักเชียนหลันรู้ย่อมต้องบอกพวกเขาเอง หากเขาไม่อยากให้สำนักเชียนหลันรู้ เช่นนั้นการที่เหวินเหรินเฟิงพูดออกไปคงมีแต่จะยุ่งไม่เข้าเรื่อง
เขาถึงขั้นไม่เอ่ยถึงตอนที่ถูกฉือเฟิงกับอสูรต้านน้ำขวางเอาไว้ ถึงอย่างไรเด็กสองคนนี้ก็ไม่ได้เห็น
จีเสี่ยวซิวรู้สึกว่าเหวินเหรินเฟิงยังนับว่าฉลาด ช่วยเขาไม่ต้องอธิบายไปเยอะเลย
ในเมื่อเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเด็กทั้งสองไว้ เจ้าสำนักสวี่จึงเชื้อเชิญให้พวกเขาร่วมเดินทางไปด้วยกันอย่างใจกว้าง ผลผูถีเมื่อออกผลแล้วจะไม่ได้มีแค่ลูกเดียว หากพวกเขาได้มาจะแบ่งให้อีกฝ่ายส่วนหนึ่ง
มีผู้ฝึกตนที่เก่งกาจคาดเดาทิศทางที่ข่ายอาคมจะฉีกขาด ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้และฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ทุกด้านถูกคนออกันอยู่หมดแล้ว ทางฝั่งเหนือใต้ก็มีคนไปอออยู่ไม่น้อยเช่นกัน มีเพียงฝั่งตะวันตกที่ว่างโล่ง
จีเสี่ยวซิวก็เคยเห็นข่ายอาคมมาก่อน ซึ่งทางฝั่งตะวันออกจะแข็งแรงน้อยที่สุดจริงๆ อีกเดี๋ยวเมื่อพลังของผลผูถีระเบิดออก จะต้องเป็นฝั่งนั้นที่ฉีกขาดก่อนแน่ ดังนั้นผู้ฝึกตนที่เลือกยืนทางฝั่งตะวันออกจึงไม่ได้อยู่ผิดที่
แต่น่าเสียดายทางฝั่งตะวันออกถูกคนของสหพันธ์กับสำนักว่านเซี่ยงยึดครองไปแล้ว สำนักอื่นที่เป็นมิตรกับพวกเขาบางทีอาจได้ส่วนแบ่งพื้นที่ไปบ้าง แต่หากสำนักเชียนหลันเข้าไปจะต้องถูกคนของสำนักว่านเซี่ยงฆ่าตายแน่นอน
“ครึ่งเซียนของเขาก็มาด้วย เขากดพลังของตนจนเหลือเพียงขั้นบรรลุญาณ” เจ้าสำนักสวี่บอก
เมื่อมีครึ่งเซียนอยู่ คนทั้งสำนักเชียนหลันรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เฉียวเวยเวยรู้สึกตัวตื่นเพราะปวดธุระเบา นางเอามือจับก้นแล้วเริ่มบิดตัวลงมาจากแขนของสวี่หลีเย่ว์
นางจะเดินไปทำธุระเบา
ผู้พิทักษ์ใหญ่เตือนนางว่า “อย่าเดินไปไกลนะ เวยเวย”
เฉียวเวยเวยขยี้ตา “อื้อๆ”
นางก็ไม่ได้เดินไปไกลจริงๆ เดินไปแค่เจ็ดแปดเก้าเท่านั้น แต่ระหว่างที่เดินไปนั้น ทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไป
แน่นอนว่าตัวนางเองไม่รู้ตัว
นางหลับตาเดินไปเรื่อยๆ จนหัวกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
นางลุกขึ้นแล้วฉี่ใต้ต้นไม้จนกลายเป็นบ่อฉี่มังกรน้อย
วินาทีต่อมาผลไม้เหล่านั้นที่ยังพยายามเต็มที่ในการเติบโตก็พากันสุกงอมด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ กลิ่นหอมที่เย้ายวนพลันกระจายไปทุกพื้นที่
เฉียวเวยเวยขยี้ตาที่หรี่เล็ก เงยหน้ามองผลไม้ลูกแล้วลูกเล่าที่ส่องประกาย นางเอียงศีรษะ “หือ?”
ด้านนอกข่ายอาคม ทุกคนรับรู้ได้ว่าข่ายอาคมมีการเปลี่ยนแปลง ข่ายอาคมเริ่มทอประกายแล้ว
ชิวอีซานของสำนักว่านเซี่ยงพูดขึ้นว่า ผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขั้นบรรลุญาณจงถอยไป ข่ายอาคมจะฉีกขาดแล้ว!”
ทุกครั้งที่ต้นผูถีออกลูกจะระเบิดพลังมหาศาลออกมา จนกระทั่งเด็ดผลของมันจนหมดแล้วพลังนั้นถึงจะค่อยๆ หายไป
ช่วงที่ฉีกขาดนั้น พลังที่ระเบิดออกมาจะรุนแรงที่สุดและน่ากลัวที่สุด ซึ่งเพียงพอที่จะทำลายยอดฝีมือขั้นอมตะได้เลยทีเดียว กระทั่งผู้ประเสริฐขั้นบรรลุญาณก็มีโอกาสได้รับบาดเจ็บ แต่เพื่อผลผูถี ลองเสียงสักครั้งก็ไม่เป็นไร
ผู้ฝึกตนที่ระดับต่ำกว่าบรรลุญาณพากันถอยหลัง!
ชิวอีซานเดินพลังปราณอันยิ่งใหญ่ที่มีเฉพาะในคนเป็นครึ่งเซียน ทิวเขาทั้งหมดถูกปกคลุมอยู่ภายในพลังปราณของเขา เจ้าสำนักสวี่เดิมคิดจะอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครทันระวังในการฉวยโอกาส คิดไม่ถึงว่าชิวอีซานจะพบเข้าเสียได้
ชิวอีซานกดตัวเจ้าสำนักสวี่ไว้อย่างไร้ความเกรงใจ!
ชิวอีซานเอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ไม่รู้จักประมาณตน!”
พลังที่ผลผูถีแผ่ออกมายังคงดำเนินต่อไป ข่ายอาคมพร้อมที่จะถูกฉีกขาดได้ทุกเมื่อ ชิวอีซานไม่กังวลว่าจะมีใครสามารถแย่งผลผูถีไปจากเขาได้ หากเขาไม่อนุญาต ทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่าว่าแต่แย่งไปเลย กระทั่งเดินสักก้าวก็อย่าได้หวัง!
แต่ชั่วขณะที่เขาคิดว่าข่ายอาคมจะฉีกขาดนั้น จู่ๆ ขุมพลังนั้นก็มลายหายไป ข่ายอาคมที่เมื่อครู่พร้อมจะฉีกขาดก็กลับไปเป็นปกติอีกครั้ง!
ชิวอีซานงุนงงไปหมด “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ใต้ต้นไม้ เฉียวเวยเวยมองผลไม้ที่อยู่เหนือศีรษะ นางสูดน้ำลาย กระแทกตัวใส่ดังพลั่ก บนฟ้าก็พลันเกิดฝนผลไม้ตกลงมา…