“ยังไม่รีบไปรายงานผู้บัญชาการกองจอมพลดูแลกิจกรรมทางทหารอีก!” ในที่สุดทหารหนึ่งในนั้นก็ได้สติขึ้นมา
ทุกคนต่างตื่นตระหนกโดยพลัน รีบลงจากศาลาบนประตูเมืองไปรายงานเบื้องบน
จนกองทัพด้านล่างหยุดลง เฉินจ้าวก็เดินนำทหารกองจอมพลดูแลกิจกรรมทางทหารของเมืองหลวงขึ้นมายังศาลบนประตูเมืองแล้ว
“ผู้บัญชาการเฉิน!” ทหารบนประตูเมืองยกคบเพลิงขึ้น ส่องไปทางด้านคูเมืองให้สว่าง ให้ผู้บังคับบัญชาเห็นภาพอันน่าตกใจภายใต้ราตรีกาล
เฉินจ้าวใจกระตุก ทราบแล้วว่าผู้มาใหม่เป็นใคร กองทัพใหญ่ปักหลักอยู่ที่เขตพระราชฐาน เขาทอดสายตามองไป ทันใดนั้นก็เห็นคนจำนวนมากมายเนืองแน่น คล้ายคลื่นม้วนตลบที่สาดซัดมา
บนอานสีแดงของม้าพันธุ์ดีตรงกลาง มีชายหนุ่มถอดเข็มขัดหยกชุดคลุมปักลายมังกรของราชสำนักออก ปลดความสุภาพมีมารยาทสูงศักดิ์ลง ยามนี้ศีรษะสวมหมวกสำริด แผ่นอกคลุมด้วยเกราะใบหลิว รองเท้าเหล็กหุ้มยาวถึงเข่าควบท้องม้าไว้สองข้าง ขายาวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อยืดเหยียดตรง ทั่วทั้งร่างถูกทองสำริดเหล็กกล้าขับให้ดูแข็งแกร่ง คิ้วคมอันหล่อเหลาทั้งสองพาดเรียวยาว อาจเพราะทหารข้างกายถือคบเพลิงไว้ จึงสะท้อนให้ดวงตาทั้งสองเป็นสีแดงชาด เหมือนสัตว์ร้ายหลบซ่อนตัวอยู่ในยามราตรี
เห็นคนคุ้นเคยบนกำแพงเมือง เสียงเกรงอกเกรงใจของบุรุษก็กำจายอยู่นอกเขตพระราชฐานอันกว้างใหญ่ “ผู้บังคับบัญชาเฉิน ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่”
เฉินจ้าวคิ้วผูกเป็นปม “ไร้ราชโองการรับสั่ง ฉินอ๋องนำทหารมาเขตพระราชฐานโดยพลการ ทราบหรือไม่ว่ามีโทษหนัก”
ซย่าโหวซื่อถิงหยอกเย้าเสียงก้อง “พบกันคราก่อนกลับมาจากเยี่ยนหยาง เจ้ากับข้าไปรับบำเหน็จที่ตำหนักซานชิงด้วยกันอยู่เลย คิดไม่ถึงว่า เพียงไม่กี่เดือนสั้นๆ ตำแหน่งและยศของใต้เท้าเฉินผู้บัญชาการกองจอมพลดูแลกิจกรรมทางทหารแห่งเมืองหลวงจะเลื่อนขึ้นมาเสียแล้ว”
เฉินจ้าวแววตาทะมึน “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าฉินอ๋องทางดีๆ มีไม่เดิน ดันมาออกนอกลู่นอกทาง หากฉินอ๋องไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมล่ะก็ ขอโปรดจงรีบกลับไป!”
ได้ยินเสียงคนหนึ่งในกองทัพดังขึ้นว่า “ใครว่าไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมกัน ฉินอ๋องเข้าวังเพื่อจะพบรัชทายาท”
“เช่นนั้นก็ควรมาแจ้งก่อน ได้รับอนุญาตค่อยเข้าวัง บุ่มบ่ามนำทหารเข้าวังดึกๆ ดื่นๆ จะโดนโทษประหาร! ฮ่องเต้เพิ่งจะสวรรคต เป็นช่วงที่ทั่วทั้งแผ่นดินกำลังประกาศกฎอัยการศึกให้ไว้ทุกข์ ฉินอ๋องทำเช่นนี้จะยิ่งมีโทษเพิ่มหนักขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง” เฉินจ้าวหันไปมองตามเสียง คนที่เอ่ยเมื่อครู่นี้คือซือเหยาอัน เขาจึงตะหวาดคืน
ขุนนางทหารกองจอมพลดูแลกิจกรรมทางทหารแห่งเมืองหลวงทยอยกำดาบกำธนูแน่น เพื่อเตรียมป้องกัน
“ข้ารอให้พระโกศออกจากวังไป จะได้ไม่ล่วงเกินเสด็จพ่อเข้า” บุรุษด้านล่างศาลาบนประตูเมืองยกบังเหียนขึ้น เร่งม้าให้เดินเข้ามา “ในเมื่อส่งพระศพแล้ว ข้าก็ไม่มีอันใดให้ต้องกังวลอีก จึงได้กล้าเข้าวังมาปรึกษาเรื่องการทหารเร่งด่วนกับไท่จื่อ”
“ได้ยินหรือไม่ ผู้บัญชาการเฉิน โปรดเปิดประตูเมืองด้วย!” ซือเหยาอันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เหล่าทหารก็ตะโกนตามกันขึ้นมา “เปิดประตู เปิดประตู”
พาทหารเข้าเขตพระราชฐานมาปรึกษาเรื่องการทหารดึกดื่นค่อนคืนป่านนี้น่ะรึ ความทะเยอะทะยานอันโหดเหี้ยมยังสามารถเปิดเผยเปลือยเปล่าออกมาได้เพียงนี้เชียวหรือ ทหารบนศาลาประตูเมืองกำดาบกำธนูกันแน่นขึ้นกว่าเดิม รอเพียงคำสั่งของผู้บังคับบัญชาคำเดียวก็เตรียมขับไล่คนได้เลย
“ไม่ทราบว่าฉินอ๋องกับไท่จื่อมีแผนการศึกใดให้ปรึกษาหรือ เหตุใดจึงต้องพาทหารมาด้วย” เฉินจ้าวสีหน้าเรียบนิ่ง
“ในเมื่อเป็นความลับทางการทหาร ผู้บัญชาการเฉินกำลังจะให้ข้าป่าวประกาศให้โลกรับรู้ที่ศาลาประตูเมือง ให้คนสัญจรไปมาได้รับรู้กันหมดหรือ” ซย่าโหวซื่อถิงมุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มเย็น สีหน้ากลับปกปิดซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด แม้ว่าระหว่างทัพใหญ่แสงไฟจะโชติช่วง แต่ก็ส่องสว่างให้เห็นอารมณ์ใดไม่ได้เลย “ส่วนเหตุใดจึงพาทหารมาด้วยนั้น...เช้าวันพรุ่งนี้ ชายาข้าต้องร่วมฝังไปในสุสานเซี่ยนหลิงกับฮ่องเต้ด้วย ข้าอยากจะนำทหารเดินทางไปส่งด้วยตัวเอง”
สีหน้าไม่เห็นถึงความโศกเศร้าใด มีเพียงความสงบนิ่ง พูดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
เฉินจ้าวคลายฝ่ามือลงเล็กน้อย ฝักดาบก็ลื่นลงมาหลายคืบ เรื่องร่วมฝังนั้น วันก่อนได้ยินว่าในวังมีคนที่ต้องไปร่วมฝังพร้อมกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาบ้างเหมือนกัน ยังไม่ทันจะกระจ่างชัด ยามนี้ได้ฟังจึงได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงอย่างคาดไม่ถึง
นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะทรงต้องการให้หมอหญิงหอจื่อกวงร่วมฝังกับพระองค์ด้วย และอวิ๋นหว่านชิ่นก็เป็นหนึ่งในนั้นพอดี
ในขณะนั้นเอง เสียงอ้อแอ้ที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกของผู้ช่วยหนุ่มน้อยคนหนึ่งก็ดังขึ้นข้างกายเฉินจ้าว “ผู้บัญชาการเฉิน พระชายาฉินอ๋องอยู่ในรายชื่อผู้ร่วมฝังจริงๆ…พรุ่งนี้ก็ต้องสิ้นชีพลงแล้ว! ทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดีขอรับ…”
คนที่กล่าววาจานี้เป็นเว่ยเสี่ยวเถี่ย ตั้งแต่ถูกสกุลเฉินเก็บมา จากจิ่งหยางมายังเมืองหลวง ก็ติดตามข้างกายเฉินจ้าว เฉินจ้าวเพราะมีคุณูปการปราบปรามความไม่สงบที่จิ่งหยางได้ ครานั้นหลังจากถูกเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการกองนายพลทหาร เว่ยเสี่ยวเถี่ยก็ติดตามเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างกายเขา
ทั้งด้านบนด้านล่างประตูเมืองเงียบงันลง บรรยากาศกดดันจนทำคนแทบหายใจไม่ออก
ในขณะที่เหล่าขุนนางทหารของกองนายพลทหารแห่งเมืองหลวงลูกธนูอยู่บนสาย ครู่ต่อมาก็เตรียมจะยิงไป กลับได้ยินเสียงเบื้องบนดังขึ้นท่ามกลางราตรี
“เปิดประตูเมือง”
เปิดประตูเมืองรึ
เหล่าทหารคิดว่าหูฝาด ทหารนายหนึ่งไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง “เปิดประตูเมืองหรือ ฉินอ๋องมีเจตนาใดทุกคนต่างรู้ ปรึกษาเรื่องการทหารอันใดกัน เดินทางไปส่งอันใดกัน เห็นได้ชัดๆ ว่ามีเจตนาไม่ดี! ท่านอย่าได้เชื่อนะขอรับ! เกิดเข้าวังไปมีอันใดเกิดขึ้น เราทั้งหมดได้ถูกไต่สวน ต่อให้มีเก้าชีวิตก็ขวางไว้ไม่ได้แน่ขอรับ!”
เว่ยเสี่ยวเถี่ยเข้าใจเจตนาของเฉินจ้าวดี
มารดามันเถิด ตายเป็นตาย พระชายาฉินอ๋องเป็นผู้มีพระคุณของตน ทั้งยังส่งเสริมอนาคตของเขาอีก ที่จิ่งหยางก็นับว่าเคยร่วมผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันกับเขา ชีวิตนี้เดิมทีก็เป็นของพระชายาฉินอ๋องอยู่แล้ว!
เขาตำหนิด้วยความร้อนใจว่า “ให้เจ้าเปิดเจ้าก็เปิดเสีย! จะชักช้ายืดยาดหาอันใด! ฉินอ๋องบอกว่าเรื่องทางการทหารอันเร่งด่วน หากชักช้าพวกเราได้ตายแน่!”
“เปิด!” เฉินจ้าวเอ่ยเสียงเข้มขึ้น
แม้เหล่าขุนนางทหารจะตกตะลึง แต่ก็ขัดขืนผู้มีตำแหน่งสูงกว่ามิได้ ทหารที่ดูแลกุญแจนายหนึ่งจำต้องฝืนใจไปปลดกลอน
เสียง แอ๊ดดด ดังขึ้นประตูข้างเก้าบานที่เชื่อมกับที่อยู่ของฮ่องเต้ ค่อยๆ เปิดออก
“ลำบากผู้บัญชาการเฉินแล้ว” ซย่าโหวซื่อถิงทำสัญญาณมือ ทหารก็กรูกันเข้าประตูเมืองไปดั่งน้ำหลาก
เฉินจ้าวยืนนิ่งอยู่บนศาลาประตูเมือง มองกองทัพด้านล่างเหยียบย่างเข้ามาในคูเมืองอย่างเงียบๆ โรมรันบุกตะลุยเข้ามา ข้างหูเป็นเสียงทอดถอนใจอย่างกังวลของเหล่าขุนนางทหาร เสียงถามของเว่ยเสี่ยวเถี่ยดังขึ้นมาอีกครั้ง “ผู้บัญชาการเฉิน จะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพระชายาฉินอ๋องหรือไม่ขอรับ”
ยามนี้คนที่จะสามารถช่วยนางได้ มีแต่เขาเท่านั้น
ณ สถานที่ว่างเปล่าด้านนอกตำหนักกระดิ่งทอง ทหารฉินอ๋องปักหลักอยู่ตรงนั้น
ภายในตำหนักแสงไฟสว่างไสว ประตูมีองครักษ์ยืนตระหง่านมั่นคงอยู่เต็มไปหมด เตรียมพร้อมสำหรับคืนนี้ตั้งนานแล้ว รอให้คนมา แม้จะรู้แต่แรกว่าคืนนี้ฉินอ๋องอาจจะมา แต่ก็ต้องมีแรงช่วยสักหน่อย มิฉะนั้นคงไม่อาจเข้ามาได้ง่ายดายเพียงนี้แน่
คิดไม่ถึงว่ากองนายพลทหารแห่งเมืองหลวงที่ดูแลองครักษ์ของเขตพระราชฐานจะเปิดประตูให้เข้ามาโดยตรง
ซือเหยาอันเหลือบมองตำหนักกระดิ่งทองที่อยู่ด้านบน “ดูท่าแล้วไท่จื่อมีแผนการไว้แต่แรกจริงๆ คืนนี้รอแค่ให้เราติดเบ็ดดังคาดจริงๆ”
ซย่าโหวซื่อถิงมุมปากขยับ เขาจะเดาไม่ออกได้อย่างไร
เสด็จพ่อสุดท้ายก็ไม่ยอมเขา ในที่สุดก็ไม่อาจปล่อยเขาที่อาจจะเป็นองค์ชายชาวเป่ยเหรินต่างแคว้นต่างชาติคนนี้ไปอยู่ดี
ต่อให้สวรรคตไป ก็ต้องทิ้งหลุมพรางเอาไว้เพื่อจับเขา
ใช้การตายของนางมาบีบบังคับเขาให้นำทัพบุกวัง เพื่อให้ไท่จื่อจับเขาได้สะดวกขึ้นในคราเดียว
ทว่า จุดนี้ของเสด็จพ่อช่างฉลาดเฉลียวจริง ต่อให้รู้ว่านี่คือแหเขาก็ต้องเข้ามาติด
ภายในตำหนัก ขันทีอาวุโสนายหนึ่งเร่งรีบลงบันไดมา วิ่งเข้ามาบอกว่า “ไท่จื่อเชิญฉินอ๋องเข้าไปด้านใน…”
ซย่าโหวซื่อถิงพลิกกายลงจากม้า เดินตรงไปยังตำหนักกระดิ่งทองตัวคนเดียว
รองเท้าเหล็กอันเย็นเยียบดังกระทบกับบันไดหินข้างบันไดหยกขาว เหล็กแข็งเยียบเย็น