เวลานี้ที่บ้านท่านย่าหม่า ยังไม่ถึงกลางดึก ในบ้านไม่มีใคร
ไม่ต้องพูดถึงท่านย่าหม่า ตอนนี้งานยุ่งเสียยิ่งกว่าใคร
แม้ในช่วงสองวันนี้จะรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่เวลาว่างก็จะไปที่บ้านซ่งฝูเซิง อยู่ที่นั่นนานยิ่งกว่าอยู่บ้านตัวเอง ขาดก็แค่ย้ายไปนอนบ้านลูกสามแล้ว
เหอซื่อ ต้ายา เอ้อร์ยา ทำขนมเค้ก ก็แทบจะใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่าเหมือนกัน วันๆ อยู่แต่ในห้องทำขนมไม่กลับบ้าน
อบออกมาได้หนึ่งก้อนก็ได้กำไรของหนึ่งก้อนแล้ว
พอดูเอ้อร์ยาที่ทำออกมาได้ดี ช่วงนี้ได้รับการสนับสนุน ขัดหูขัดตาเหลือเกิน มีหนึ่งสมองกับสองเท้าเหมือนกัน มีสิทธิ์อะไร เหอซื่อกับต้ายาเหนื่อยยิ่งกว่า อยากเรียนรู้หลายๆ แบบให้มากหน่อย ทำขนมที่ซับซ้อนขึ้น แบบนั้นก็จะได้เงินเยอะขึ้นใช่ไหมล่ะ ทำขนมที่ซับซ้อน ส่วนแบ่งก็จะแตกต่างออกไป
งานยุ่งเสียจนบางครั้งเหอซื่อไม่มีเวลา เสื้อผ้าสกปรกของครอบครัวซ่งฝูไฉต้องให้เอ้อร์หลังที่เพิ่งจะโตไม่เท่าไรเป็นคนซัก
ในสมัยโบราณ การให้เด็กผู้ชายไปซักล้างทำความสะอาด แสดงให้เห็นว่าหมดหนทางแล้วจริงๆ
ส่วนซ่งฝูไฉ ซ่งฝูสี่ ต้าหลัง ต่างถูกจัดอยู่ในประเภทแรงงานหลัก
งานของแรงงานหลักก็คือ ที่ไหนมีงานหนักก็ไปทำงานที่นั่น
วันนี้ตัดต้นไม้ผ่าฟืน พรุ่งนี้ไปขนหิน ลุงซ่งไม่เคยปล่อยให้แรงงานหลักอยู่ว่าง เวลาเขาเห็นแรงงานหลักอยู่ว่างจะรู้สึกไม่สบายใจ กินตั้งเยอะไม่ทำงาน เลี้ยงเสียข้าวสุก
ต่อให้บรรดาแรงงานหลักจะมีเวลาว่างเพียงเล็กน้อย บางครั้งพี่ใหญ่ซ่งฝูไฉก็จะไปช่วยน้องชายทำงานไม้ บางครั้งช่วยลูกชายสานเข่ง ครั้งนี้มีงานเพิ่มเข้ามาก็คือช่วยภรรยาตีไข่
สรุปว่าตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ได้กลับบ้าน พอกลับบ้าน หัวถึงหมอนก็หลับ
รวมถึงซ่งจินเป่าก็ด้วย
ซ่งจินเป่าต้องผลัดกันลาดตระเวนกับเด็กอีกสองคนที่โตกว่าเขาไม่กี่ปี แบ่งเป็นสามผลัด
ต่อให้เป็นเด็กอายุน้อยแค่ไหนก็ทำงานใช้แรงงานแลกเงินเหมือนกัน มีงานทำอย่างเป็นทางการ
สร้างกระท่อมเล็กๆ ให้พวกเขาอยู่เป็นพิเศษตรงบริเวณไม่ไกลจากริมน้ำ ข้างในมีถ่านเผาให้ความอบอุ่น ปกติต้องอยู่เฝ้าห้ามออกไปไหน
แม้จะเปลี่ยนเวรแล้ว ซ่งจินเป่าก็ยังต้องเล่น ยังต้องไปป้วนเปี้ยนกับพี่พั่งยาเพื่อขอคำชม ขอของกินอร่อยๆ ก็ไม่มีเวลากลับบ้านเหมือนกัน ขนาดสระผมยังสระที่บ้านอาสาม
สรุปได้ว่า จูซื่อที่อยู่ในบ้านจึงกลายเป็นคนว่างไปโดยปริยาย
เมื่อเทียบกับทุกคน นางว่าง
ทว่านางไม่ยอม จูซื่อก็ไม่อยากอยู่ว่างเหมือนกัน
นางโมโหจวนจะบ้าตายเต็มที รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน
คนอื่นงานยุ่ง หาเงินได้มากขึ้น แต่นางล่ะ อยู่ว่างๆ วันๆ เอาแต่นอนอย่างนั้นรึ ไม่ใช่เสียหน่อย
ทำงานเสร็จกลับมา น้ำที่ใช้ดื่มกินในบ้านก็ต้องไปขนกลับมา เตียงนอนในบ้านก็ต้องจุดไฟให้ความอบอุ่น บ้านต้องเช็ดล้างทำความสะอาด งานทุกอย่างตกอยู่กับนาง
เสื้อผ้าของแม่สามี นางก็ซักอยู่คนเดียว
ช่วงนี้ท่านย่าหม่าก็ใช้น้ำเปลืองเป็นพิเศษ สระผมบ่อย ล้างเท้าบ่อย เปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย ทั้งยังชอบจับผิดว่าในบ้านฝุ่นเยอะอยู่ตลอด เสื่อบนเตียงก็ต้องทำความสะอาด
ในสายตาของจูซื่อ นางทำงานตั้งมากขนาดนี้ ไม่มีสักคนที่พูดชมนาง เงินก็ไม่ได้สักเหวิน ทำอย่างสูญเปล่า
ให้ตายเถอะ ไม่สู้หาเวลาว่างไปนั่งตีไข่
ดูสิ นี่เอางานมาให้อีกแล้ว ให้นางเย็บเสื้อผ้าให้พั่งยา
เวลานี้ จูซื่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ภายในบ้านที่ว่างเปล่า นางนั่งเย็บชุดคลุมให้ซ่งฝูหลิงพลางพูดพึมพำกับตัวเอง
“เฉียนซื่อก็เก่งงานเย็บปักมิใช่หรือ
คนเมือง ปกติกลับบ้านที งานเย็บปักไม่ได้ขาด ทำลวดลายสารพัด เสื้อผ้าที่สวมใส่พบเจอได้ยากจะตาย นางกับพี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ
แล้วนี่ทำไมมาบอกว่าทำงานเย็บปักไม่ได้แล้วล่ะ
จะโกหกทั้งทียังไม่รู้จักใช้คำพูด บอกมาเลยว่าไม่อยากทำ อยากจะรังแกข้า
อีกอย่าง ตอนนั้นน้องสามพูดไว้ไม่ใช่หรือว่า เฉียนซื่อไม่ขอทำงานรับส่วนแบ่งด้วยเพราะจะไปเย็บกระเป๋าหาเงิน
ตอนนี้แม้แต่เย็บเสื้อผ้า เฉียนซื่อก็ขี้เกียจทำแล้ว จะเย็บกระเป๋าหาเงินได้อีกรึ
คิดจะหลอกใครกัน
อย่ามาพูดนะว่า ตอนนั้นมือขวาบาดเจ็บ ต่อมาก็เลยเย็บผ้าไม่ได้แล้ว ทำไม เจ็บไปถึงกระดูกเลยหรืออย่างไรก็แค่มีรอยแผลเป็น”
จูซื่อใช้เข็มเกาศีรษะ เกาเสร็จก็เย็บต่อและก็พูดต่อ
“ข้าว่ามือไม่ได้เจ็บหรอก เจ็บที่หัวมากกว่ากระมัง ไม่ลืมแม้กระทั่งเวลากินข้าวไปเลยล่ะ”
เอาเป็นว่าในสายตาของจูซื่อ ที่เฉียนซื่อบอกว่าฝีมือไม่ดี หลังจากที่มือบาดเจ็บก็ทำงานไม่ค่อยได้ ล้วนเป็นข้ออ้างของความขี้เกียจ ไม่ให้เกียรตินางที่เป็นพี่สะใภ้รองคนนี้แล้ว
ทว่าต่อให้นางบ่นมากกว่านี้ยังจะทำอะไรได้ ขอเพียงแต่เฉียนซื่อพูดกล่อมท่านย่าหม่าได้ ก็เท่ากับมีภูเขาลูกใหญ่กดทับบนหัวนางอยู่
“ไอ๊หยา” จูซื่อรีบวางเข็มลงด้วยความระมัดระวัง เอามือลูบผ้า แย่แล้ว สองมือของนางหยาบกระด้างเกินไป ทำผ้าเป็นรอยจนมองเห็นได้ชัดแล้ว
ไม่ได้การ ต้องลงไปหาน้ำมันมาทามือสักหน่อยแล้วค่อยทำต่อ
ถ้าทำแบบนี้ต่อไปจนเสร็จแล้วส่งไป ไม่ต้องเสียเวลาประจบอีกต่อไป ต่อให้แม่สามีบ้านอื่นด่านางว่าคิดไม่ดี เฉียนซื่อก็ต้องนินทากับแม่สามีลับหลังเหมือนกัน พูดถึงนางไม่ดี บอกว่านางจงใจอะไรทำนองนั้น
นางก็อยากจงใจเหมือนกัน แทบอยากจะเอากรรไกรมาตัด ทำกับผีสิ ทำไมนางต้องมานั่งเย็บผ้าให้ด้วย เอาเวลาว่างไปตีไข่ยังได้ตั้งสองเหวิน
แต่นางกล้าหรือ สามีของนางได้ทุบนางตาย
จินเป่าก็คงพูดว่า ท่านแม่ทำไมใจร้ายแบบนี้ ต้ายาเอ้อร์ยาก็คงไม่ต้องทำขนมเค้กแล้ว
ชีวิตช่างขมขื่นเหลือเกิน
จูซื่อลงจากเตียง เดินหารอบใหญ่ก็ยังไม่เจอน้ำมันบำรุงผิวหน้าที่ซ่งฝูหลิงให้ต้ายากับเอ้อร์ยา จะใช้น้ำมันงาก็ไม่ได้ ทำได้เพียงเปิดน้ำมันฆ่าเหาที่ย่าหม่าใช้ทาผมมาถูมือหน่อย
กลับไปนั่งบนเตียงแล้วเย็บชุดคลุมให้ซ่งฝูหลิงต่อ
โรงเพาะปลูกพริก
เฉียนเพ่ยอิงไม่ได้อยู่ว่างอย่างที่จูซื่อคิด ถึงได้บอกปัดงานออกไป
นางนั่งอยู่ข้างกำแพงไฟ กำลังทำเสื้อตัวในสำหรับให้บุตรสาวใส่พรุ่งนี้อย่างเก้ๆ กังๆ คอเสื้อแขนเสื้อต้องเย็บขนสัตว์ติด
ขนที่ใช้เป็นขนสุนัขจิ้งจอก
นางดึงมาจากเสื้อกันหนาวขนแกะในพื้นที่พิเศษ
อันที่จริงเสื้อผ้าของนางในยุคโบราณก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่บุขนสัตว์ พกมาตลอดทางที่หนีภัย เดิมทีจะรื้อขนออกมา แต่ซ่งฝูเซิงบอกว่าเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกเถอะ
นั่นเป็นเสื้อที่ท่านตาเฉียนในสมัยโบราณซื้อให้
ของที่ซื้อให้มีหลายอย่าง ทว่าตอนลี้ภัยได้พกติดออกมาแค่ชิ้นเดียว เก็บเอาไว้ดีกว่า
ด้วยเหตุนี้ จึงไปรื้อคอเสื้อกันหนาวขนแกะที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ
ฆ่าตัวมิงค์เพื่อเอาขนไม่ลง ไม่เช่นนั้นบ้านนางคงมีขนมิงค์แล้ว
บุตรสาวของนางสามารถใส่เสื้อขนมิงค์ไปพบพี่สาวคนที่สามของแม่ทัพเล็กได้ ใส่ชุดเครื่องทองทั้งสามของนางไปได้ นั่นก็คือ ต่างหู สร้อยคอ กำไล อย่าว่าแต่เครื่องทองพวกนี้เลย สร้อยข้อเท้า แหวนเพชร ล้วนมีหมด
แต่ว่าก็ยังพูดเหมือนเดิม พวกเรามีฐานะแบบไหน ตอนนี้ทำไม่ได้
เอาเถอะ ใช้ขนสุนัขจิ้งจอกไปก่อนแล้วกัน
เอาแค่เรื่องขนจิ้งจอก ซ่งฝูหลิงก็พูดเกลี้ยกล่อม อย่ามัวแต่ทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ใส่ของแบบนั้นแล้วจะทำให้ดูเป็นคนชั้นสูงได้หรือ ไม่ได้
ที่นี่ถือเรื่องชนชั้นยิ่งกว่ายุคสมัยปัจจุบัน คนจะมองว่าสูงส่งหรือไม่ ให้ดูกันที่บิดา
ท่านพ่อของนางต้องเป็นคนที่สูงส่งมาก่อน แบบนั้นต่อให้นางแต่งตัวเป็นขอทาน คนก็มีแต่จะชมว่านั่นน่ะแฟชั่น
แต่ตอนนี้ท่านพ่อของนางเป็นแค่คนปลูกพริก แล้วจะอย่างไรต่อ
ซ่งฝูเซิงถลึงตาใส่ “เจ้ารังเกียจพ่ออยู่รึ”
“เปล่านะ”
“ถ้าเปล่าก็เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว มาเรียนกับพ่อ อย่างน้อยก็ต้องมีมารยาทขั้นพื้นฐาน แต่งตัวเรียบร้อย ทำความเคารพอีกฝ่าย นี่ถือเป็นการให้เกียรติ”
ซ่งฝูหลิงพยักหน้า ได้ๆ ต้องตั้งใจเรียน ท่านสอนมาเลย
เห็นเพียงซ่งฝูเซิงบีบนิ้วมือหยาบกระด้างของตัวเอง จากนั้นก็เอาสองมือแนบลำตัว คุกเข่าลงพลางพูด “ข้าน้อยซ่งฝูหลิง น้อมทักทายคุณนายใหญ่”
“อุ๊บ”
“ฮ่าๆๆ”
สองแม่ลูกหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล หันมาหัวเราะใส่กัน
บอกให้สอน แต่ไม่ได้ให้ดัดเสียงด้วยเสียหน่อย
ซ่งฝูเซิงมองสองแม่ลูกที่เหมือนกำลังหัวเราะเยาะคนซื่อบื้อ รู้สึกเหนื่อยใจ
โมโหสองคนนี้ไม่ลง
ไม่หลงเหลือความทรงจำเลยสักนิด เขาจะค่อยๆ สอนก็แล้วกัน ยังจะเอาแต่หัวเราะอีก