พออันอวี้เฉียนได้เงินจากเริ่นเสี่ยวซู่ปุ๊บ เขาก็ออกไปซื้อกระดานดำที่ตลาดมือสอง หลังจากเอากลับมาที่ห้องสมุดแล้ว สถานที่ก็พร้อมพรักจะจัดสอน
ตอนแรก ดูจากที่เขารู้จักเริ่นเสี่ยวซู่มา เขานึกว่าจะสอนได้อย่างยากลำบากมากเสียอีก ขนาดหัวหน้าห้องยังเรียนวิชาของชั้นมัธยมศึกษาที่สี่อยู่ นักเรียนคนอื่นๆ คงไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไร
อย่างมากพวกเขาก็น่าจะดีกว่าเริ่นเสี่ยวซู่หน่อยล่ะมั้ง ถึงที่ผ่านมาพวกเขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิศวกรรมเครื่องกลที่อยู่เหนือระดับตัวเองขึ้นไปก็เถอะ นี่ทำให้อันอวี้เฉียนมองพวกเขาในแง่ลบ ว่าเรียนที่จะวิ่งก่อนที่จะเดินเป็น
แต่พอเริ่มสอนไป อันอวี้เฉียนก็ได้รู้ว่าพวกหวังอวี่ฉือนั้นมีพื้นฐานดีมาก
แม้ว่าเขากำลังปูพื้นฐานคณิตศาสตร์กับฟิสิกส์ชั้นสูงอยู่ ซึ่งไม่ใช่เนื้อหาที่นักเรียนมัธยมปลายจะตามทันได้ง่ายๆ ทว่าหวังอวี่ฉือและนักเรียนคนอื่นๆ กลับเข้าใจได้อย่างไม่ลำบากเลย
ไม่ว่าจะนักเรียนคนไหนก็นับได้ว่าเป็นนักเรียนหัวกะทิของโรงเรียนมัธยมปลาย เป็นนักเรียนประเภทที่มีสิทธิ์ได้เข้าไปเรียนในระดับมหาวิทยาลัย!
อันอวี้เฉียนขมวดคิ้วแล้วถาม “พวกเธอทุกคนเตรียมจะเข้ามหาวิทยาลัยกันใช่ไหม พวกเธอไม่จำเป็นต้องเรียนพวกนี้สำหรับการสอบนี่”
หวังอวี้ฉือตอบ “พวกเราไม่คิดจะเข้ามหาวิทยาลัยครับ”
“อ้อ” อันอวี้เฉียนไม่พูดอะไรอีก น่าเสียดายจริงๆ ที่นักเรียนหนุ่มสาวชั้นดีพวกนี้ไม่คิดจะเข้ามหาวิทยาลัย
แต่ถ้าพวกนักเรียนไม่คิดจะเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาจะเรียนพวกนี้ไปทำไมล่ะ ทว่านั่นไม่ใช่เรื่องของอันอวี้เฉียน เขาแค่สอนและก็รับค่าสอน
แต่อันอวี้เฉียนพบว่าทุกครั้งพวกหวังอวี้ฉือจะมาถึงห้องสมุดในตอนบ่ายด้วยเหงื่อเปียกโชก ราวกับว่าเพิ่งออกกำลังกายเสร็จกันมา
เขาถาม “ไปทำอะไรกันมาน่ะ”
“ออกกำลังกายครับ” หวังอวี้ฉือตอบสั้นๆ
นี่ทำให้อันอวี้เฉียนงุนงงกว่าเดิม “ฝึกร่างกายไปทำไมน่ะ จะเข้ากองทัพเหรอ”
“เปล่าครับ”
“แล้วจะออกกำลังกายเพื่อ?” อันอวี้เฉียนยังคงไม่เข้าใจ
“คุณจะถามไปทำไม” หวังอวี้ฉือระแวงขึ้นมา “พวกเราแค่ฝึกไปตามที่หัวหน้าห้องบอก”
เพราะตอนนี้อันอวี้เฉียนเป็นอาจารย์พวกเขา หวังอวี้ฉือย่อมสุภาพต่อผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่พวกตน แต่ถ้าอันอวี้เฉียนยังคงจี้ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน เขาก็อดระแวดระวังขึ้นมาหน่อยไม่ได้
อันอวี้เฉียนรู้สึกว่ามันแปลกๆ “เขาเป็นแค่หัวหน้าห้องพวกนายไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องฟังคำของเขาขนาดนั้นด้วยล่ะ”
ทำไมพวกเขาต้องเชื่อฟังคำพูดของเริ่นเสี่ยวซู่ขนาดนี้กัน ไหนจะเรียน ไหนจะการฝึกร่างกาย
พูดก็พูด สมัยเขาอยู่โรงเรียน อันอวี้เฉียนก็เป็นหัวหน้าห้องเหมือนกัน แต่ตอนนั้นมีใครเห็นหัวเขาด้วยเหรอ ทำไมหัวหน้าห้องสองคนนี้ถึงมีช่องว่างใหญ่ขนาดนี้ล่ะ
…
หลายวันมานี้ เริ่นเสี่ยวซู่จะออกนอกบ้านไปทุกเช้าและกลับมาอีกครั้งตอนฟ้ามืด
เป็นวันเวลาแห่งความสงบสุขที่หายากนัก
เริ่นเสี่ยวซู่ชื่นชอบวันแบบนี้นะ แต่มันจะดีกว่านี้มากถ้าไม่มีคนคอยตามจับตาเขา
ถึงมีคนอ้างว่าทหารนอกเครื่องแบบที่คอยจับตาอยู่นั้นกลับไปหมดแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็พบในวันที่สามว่าทุกวันที่เขาออกไปข้างนอกจะมีคนสลับสับเปลี่ยนกันตามเขา
เพื่อจะตามจับตาดูเขา ระหว่างทางมีการเปลี่ยนคนกันด้วยซ้ำ พอถึงทางแยกเมื่อไร คนที่ตามเขาก็จะเปลี่ยนเส้นทางและปล่อยให้อีกคนทำหน้าที่ติดตามต่อ
วิธีการที่คนกลุ่มนี้ลงมือเป็นมืออาชีพไม่น้อยเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมที่พัฒนามาในแดนรกร้างล่ะก็ เขาคงสัมผัสถึงตัวตนพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
ใครกันนะที่อยากจับตาดูเขา และจับตาไปทำไม
เริ่นเสี่ยวซู่มั่นใจมากว่าคนพวกนี้ยังไม่รู้ตัวตนของเขา ซึ่งคนส่วนใหญ่น่าเห็นเขาเป็นเพียงผู้อพยพธรรมดาคนหนึ่ง
แถมหยางเสียวจิ่นก็น่าจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย เพราะถ้าเธอเป็นคนจัดการเรื่องนี้ ก็น่าจะรู้ว่าถ้าเริ่นเสี่ยวซู่คิดหนีจริงๆ คนธรรมดาพวกนี้ก็ตามจับเขาไม่ทันหรอก
คนพวกนี้ยังคนตามเขาต่อในทุกวัน กระดูกแตกหักของเริ่นเสี่ยวซู่ฟื้นตัวมากแล้ว มีหลายแห่งที่ไม่ต้องใช้นาโนแมชชีนคอยเชื่อมอีก
หลังจากอาการบาดเจ็บหายสนิทดีแล้ว เขาก็สามารถแบ่งเวลาไปเข้าเรียนวิชาต่อสู้ได้ เขาเฝ้ารอชั้นเรียนนั้นมาก
อันอวี้เฉียนเห็นเริ่นเสี่ยวซู่นั่งเงียบๆ ในห้องสมุดตลอด นอกจากจะลุกขึ้นไปหยิบหนังสือเล่มอื่นก็ไม่ขยับเขยื้อนอะไรอีก
อีกด้านหนึ่ง คือเริ่นเสี่ยวซู่ทุ่มสมาธิอ่านหนังสือ อีกด้านหนึ่งคือขยับทีไรก็ปวดแปลบ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะขยับเขยื้อนโดยไม่จำเป็น
ตอนนี้ระหว่างมาห้องสมุด เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะทำให้พวกที่ตามเขามาตื่นตัว ถึงไม่รู้ว่าพวกเขาทำเช่นนี้ทำไม แต่ให้พวกเขาคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนธรรมดานั้นดีที่สุดแล้ว
จางจิ่งหลินเองก็เคยสอนกลเม็ดที่ต้องทำยามถูกติดตามมานิดหน่อย ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ก็ให้ชะงักและก้มมองนาฬิกาข้อมือ พอทำแบบนั้นไป คนที่ตามตัวเขาอยู่ก็จะก้มมองนาฬิกาข้อมือตามสันชาตญาณไปด้วย
แต่ประเด็นคือเริ่นเสี่ยวซู่ทำไม่ได้เพราะว่าไม่มีนาฬิกาข้อมือนี่สิ
…
ในคฤหาสน์ตระกูลหยาง หยางอวี้อันกำลังอ่านเอกสารอย่างตั้งใจ เขาสายตาสั้นเล็กน้อย เวลาอ่านเอกสารจึงต้องสวมแว่นตาคู่หนึ่ง
แต่ปกติเขาจะไม่สวมแว่นตาขณะออกไปข้างนอก ด้วยว่าสายตาสั้นไม่มากนัก ราวๆ สองสามร้อย
ทันใดนั้นพ่อบ้านก็เดินเข้ามาและเอ่ย “นายท่าน มีคนจากหน่วยข่าวกรองมาครับ”
หยางอวี้อันคิดพักหนึ่งก่อนจะตอบ “ให้เข้ามา”
ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอยังสาวมาก น่าจะอยู่ในวัยยี่สิบต้นๆ เธอไม่ได้หน้าตาสวยสด แต่ทว่ามีกลิ่นอายความชดช้อยอยู่ในตัว ถ้าไม่นับตัวตนสายลับของเธอแล้ว ยามออกไปบนถนนก็ดูเหมือนหญิงสาวมากเสน่ห์ทั่วไป
เธอเดินเข้ามาหาหยางอวี้อันที่โต๊ะและพูดอย่างนอบน้อมว่า “นายท่าน ฉันตามดูเจ้าเด็กนั่นมาหลายวันแล้วแต่ยังไม่พบอะไรผิดปกติ นอกจากไปกลับห้องสมุดกับบ้านทุกวันแล้วก็ไม่ได้ไปไหนอีก”
“เหนื่อยหน่อยนะอิ๋งเสวีย เคยคลาดสายตาเขาหรือเปล่า” หยางอวี้อันถาม
“ไม่เคยค่ะ” หญิงสาวนามโจวอิ๋งเสวียว่า “เขาโง่มาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังตามเขาอยู่ อย่างที่ท่านทราบ นี่เป็นเรื่องที่ฉันเชี่ยวชาญที่สุด ฉันเชื่อในสายตาตัวเองค่ะ”
“ดีมาก” หยางอวี้อันว่า เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าเริ่นเสี่ยวซู่อาจจะเป็นเพียงผู้อพยพธรรมดาจริงๆ
เขาเคยได้ยินชื่อเริ่นเสี่ยวซู่ครั้งหนึ่งบนหมายจับของสมาคมตระกูลชิ่ง แต่ว่าเขาก็ถูกถอนออกไปจากรายชื่ออย่างรวดเร็ว หลังจากสมาคมตระกูลชิ่งตรวจสอบเป็นการภายในแล้วก็พบว่าเป็นเพียงแค่ผู้อพยพจริงๆ จึงถูกถอนหมายจับไป
หยางอวี้อันเคยไปถามลู่หย่วนเกี่ยวกับเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เขาพูดเพียงว่าไม่เคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มาก่อน หยางอวี้หยวนถามเขาว่าเป็นหยางเสียวจิ่นที่ห้ามไม่ให้บอกตนใช่ไหม แต่ลู่หย่วนก็ปฏิเสธ
หยางอวี้อันขมวดคิ้วมุ่น เริ่นเสี่ยวซู่เป็นแค่ผู้อพยพจริงๆ อย่างนั้นเหรอ แต่เขามีลางสังหรณ์ว่ามีคนกำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากตนอยู่ทว่ายังไม่มีหลักฐาน แต่ดูไปแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็น่าจะเป็นแค่ผู้อพยพคนหนึ่งจริงๆ
หยางอวี้อันมองโจวอิ๋งเสวียและว่า “ตั้งใจสืบล่ะ ฉันยังมีความรู้สึกอยู่ว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล ผู้อพยพธรรมดาจะทำให้หยางเสียวจิ่นสนใจได้ยังไง ถ้าจำเป็นก็ลองไปทดสอบเขาดูได้”